ไทย (Thai): Unlocked Literal Bible Print

Updated ? hours ago # views See on WACS
GENESIS
GENESIS
1

1 ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน 2 แผ่นดินนั้นไม่มีสัณฐาน และว่างเปล่าอยู่ ความมืดปกคลุมอยู่เหนือผิวหน้าของที่ลึก พระวิญญาณของพระเจ้าเคลื่อนไหวอยู่เหนือผิวน้ำนั้น

3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" และความสว่างก็เกิดขึ้น 4 พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี พระองค์ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด 5 พระเจ้าทรงเรียกความสว่างว่า "วัน" และความมืดนั้นพระองค์ทรงเรียกว่า "คืน" มีเวลาเย็น และเวลาเช้าเป็นวันที่หนึ่ง

6 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดภาคพื้นระหว่างน้ำ และให้ภาคพื้นแยกน้ำออกจากกัน" 7 พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้น และแบ่งแยกน้ำซึ่งอยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น ก็เป็นอย่างนั้น 8 พระเจ้าทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า "ท้องฟ้า" มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สอง

9 พระเจ้าตรัสว่า "ให้น้ำที่อยู่ใต้ฟ้ารวมอยู่ในที่ที่เดียวกัน และให้พื้นดินแห้งปรากฏขึ้น ก็เป็นอย่างนั้น 10 พระเจ้าทรงเรียกพื้นดินแห้งว่า "แผ่นดิน" และน้ำที่รวมกันนั้นพระองค์ทรงเรียกว่า "ทะเล" พระองค์ทรงเห็นว่าดี 11 พระเจ้าตรัสว่า "ให้แผ่นดินมีผักเกิดขึ้น พืชต่าง ๆ ที่มีเมล็ด และต้นไม้ผลที่ให้ผลไม้ที่มีเมล็ดข้างในผล แต่ละอย่างตามชนิดของพวกมัน" ก็เป็นอย่างนั้น 12 แผ่นดินได้ให้ผัก พืชต่าง ๆ ที่ให้เมล็ดตามชนิดของพวกมัน และต้นไม้ทั้งหลายที่มีผลที่มีเมล็ดอยู่ในผลตามชนิดของพวกมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 13 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สาม

14 พระเจ้าตรัสว่า "จงมีดวงสว่างในท้องฟ้าเพื่อแยกวันออกจากคืน และให้พวกมันเป็นสัญลักษณ์สำหรับฤดูต่าง ๆ สำหรับวันต่าง ๆ และปีทั้งหลาย 15 ให้มันทั้งหลายเป็นดวงสว่างในท้องฟ้าเพื่อที่จะให้แสงสว่างเหนือแผ่นดิน" ก็เป็นอย่างนั้น 16 พระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างใหญ่สองดวง ดวงสว่างที่ใหญ่กว่าให้ครองวัน และดวงสว่างที่เล็กกว่าครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่าง ๆ ด้วย 17 พระเจ้าทรงตั้งมันทั้งหลายไว้ในท้องฟ้าเพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน 18 เพื่อที่จะครองวัน และคืน เพื่อจะแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 19 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สี่

20 พระเจ้าตรัสว่า "ในน้ำจงเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก และให้นกทั้งหลายบินเหนือแผ่นดิน ในภาคพื้นแห่งท้องฟ้า" 21 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ตามชนิดของพวกมันเช่นเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหว และอยู่ในน้ำทุกแห่ง และนกที่บินได้ทั้งหลายตามชนิดของพวกมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 22 พระเจ้าทรงอวยพรพวกมันทั้งหลาย ตรัสว่า "จงแพร่พันธ์ุ และทวีมากขึ้น จงมีอุุดมในน้ำ ในทะเล ให้นกทั้งหลายทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน 23 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ห้า

24 พระเจ้าตรัสว่า "ให้แผ่นดินเกิดสัตว์ที่มีชีวิตแต่ละอย่างตามชนิดของพวกมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าของแผ่นดินแต่ละอย่างตามชนิดของพวกมัน" ก็เป็นอย่างนั้น 25 พระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ป่าของแผ่นดินตามชนิดของพวกมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของพวกมัน และทุกสิ่งที่เลื้อยคลานบนพื้นดินตามชนิดของพวกมัน พระองค์ทรงเห็นว่าดี

26 พระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามลักษณะของเรา ให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาของทะเล ฝูงนกของท้องฟ้า ฝูงสัตว์เลี้ยง เหนือแผ่นดินทั้งหมด และครอบครองสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน 27 พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างพวกเขาเป็นชายและหญิง

28 พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขา และตรัสกับพวกเขาว่า "จงแพร่พันธ์ุ และทวีมากยิ่งขึ้นจนเต็มแผ่นดิน และครอบครองแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาของทะเล ครอบครองฝูงนกของท้องฟ้า และสิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างซึ่งเคลื่อนไหวบนแผ่นดิน" 29 พระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิดเราได้ให้พืชทุกชนิดที่มีเมล็ด ที่อยู่บนพื้นผิวของแผ่นดินทั้งหมด และต้นไม้ทุกต้นที่ให้ผลซึ่งมีเมล็ดอยู่ข้างใน พวกมันจะเป็นอาหารของพวกเจ้า 30 ของพวกสัตว์ทุกตัวของแผ่นดิน ของนกทุกตัวของท้องฟ้า และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน และของทุกสิ่งซึ่งทรงสร้างที่มีลมหายใจ เราให้พืชสีเขียวทุกอย่างเป็นอาหาร" ก็เป็นอย่างนั้น 31 พระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ดูเถิด มันดีมาก มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หก

2

1 เมื่อฟ้าและแผ่นดิน และสรรพสิ่งที่มีชีวิตซึ่งมีอยู่ในนั้นถูกสร้างเสร็จแล้ว 2 ในวันที่เจ็ด พระเจ้าทรงเสร็จสิ้นงานของพระองค์ที่พระองค์ทรงกระทำ และดังนั้นพระองค์จึงทรงพักจากการงานของพระองค์ทั้งหมดในวันที่เจ็ด 3 พระเจ้าทรงอวยพระพรวันที่เจ็ด และทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ เพราะว่าในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักจากงานทั้งสิ้นของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงได้กระทำในการทรงสร้างของพระองค์

4 เหล่านี้คือเหตุการณ์เกี่ยวกับฟ้าและแผ่นดินเมื่อถูกสร้างขึ้น ในวันที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้า 5 ยังไม่มีพุ่มไม้ของท้องทุ่งเกิดขึ้นบนแผ่นดินเลย ไม่มีต้นไม้ของทุ่งนางอกขึ้น เพราะว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าไม่ได้ทรงทำให้ฝนตกลงมาบนแผ่นดิน และไม่มีผู้คนไถพรวนดิน 6 มีแต่หมอกปกคลุมแผ่นดิน และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้าของพื้นดินทั้งหมด 7 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงสร้างมนุษย์จากผงคลีดิน และระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงกลายเป็นผู้ที่มีชีวิต

8 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงสร้างสวนขึ้นสวนหนึ่งทางทิศตะวันออกในเอเดน และพระองค์ทรงให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างอยู่ที่นั่น 9 จากพื้นดินพระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงทำให้ตันไม้ทุกต้นงอกจากพื้นดินเติบโต สวยงามน่าดู และดีที่จะเป็นอาหาร นี่รวมถึงต้นไม้แห่งชีวิต และต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่วซึ่งอยู่กลางสวนนั้น

10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลมาจากเอเดนไปรดสวนนั้น จากที่นั่นก็แยกออกและกลายเป็นแม่น้ำสี่สาย 11 แม่น้ำสายแรกชื่อปิโชน มันเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านแผ่นดินทั้งหมดของฮาวิลาห์ ที่นั่นมีทองคำ 12 ทองคำของแผ่นดินนั้นเป็นทองคำที่ดี มียางไม้ตะคร้ำ และโมราด้วย 13 แม่น้ำสายที่สองชื่อกิโฮน แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านแผ่นดินทั้งหมดของคูช 14 แม่น้ำสายที่สามชื่อไทกริสซึ่งไหลไปทางตะวันออกของอัสซีเรีย แม่น้ำสายที่สี่คือยูเฟรติส

15 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ให้มนุษย์อยู่ในสวนแห่งเอเดน เพื่อทำงานและดูแลสวน 16 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ตรัสสั่งมนุษย์ว่า "เจ้าสามารถกินผลไม้จากไม้ผลทุกต้นในสวนนี้ 17 ยกเว้นผลจากต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่ว เจ้าอย่าได้กินเพราะว่าในวันที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่นอน"

18 จากนั้นพระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ตรัสว่า "ไม่เป็นการดีที่ผู้ชายจะอยู่คนเดียว เราจะสร้างผู้ช่วยเหลือที่เหมาะสมสำหรับเขา" 19 จากพื้นดินพระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงสร้างสัตว์ทุกตัวของท้องทุ่ง และนกทุกตัวของท้องฟ้า จากนั้นพระองค์ได้นำพวกมันมาให้มนุษย์เพื่อดูว่าเขาจะเรียกพวกมันว่าอะไร ไม่ว่าผู้ชายนั้นจะเรียกสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นว่าอะไร นั่นก็คือชื่อของพวกสัตว์เหล่านั้น 20 ผู้ชายนั้นได้ตั้งชื่อให้บรรดาสัตว์เลี้ยง และนกทั้งหลายของท้องฟ้า และพวกสัตว์ป่าของท้องทุ่ง แต่สำหรับตัวผู้ชายนั้นไม่พบว่ามีผู้ช่วยเหลือที่เหมาะสมสำหรับเขา

21 พระเจ้า พระยาเวห์ ได้ทรงกระทำให้ผู้ชายนอนหลับสนิท ดังนั้นผู้ชายนั้นจึงหลับ พระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา และทรงกระทำให้เนื้อตรงที่พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงออกมานั้นปิดสนิท 22 ด้วยซี่โครงที่ชักออกมาจากผู้ชายนั้นพระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ทรงสร้างผู้หญิง และทรงนำเธอมาพบผู้ชาย 23 ผู้ชายนั้นได้พูดว่า "นี่แหละ นี่คือกระดูกของกระดูกของฉัน และเนื้อจากเนื้อของฉัน เธอจะถูกเรียกว่า 'ผู้หญิง' เพราะว่าเธอถูกนำออกมาจากผู้ชาย" 24 ดังนั้นผู้ชายจะละบิดา มารดาของเขา เขาจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยาของเขา และพวกเขาจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน

25 ผู้ชายและภรรยาของเขา พวกเขาทั้งสองเปลือยกายอยู่ แต่ไม่อายกัน

3

1 ส่วนงูนั้นเป็นสัตว์ที่ฉลาดกว่าสัตว์อื่นของท้องทุ่งซึ่งพระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ทรงสร้าง มันถามผู้หญิงนั้นว่า "พระเจ้าตรัสจริง ๆ หรือว่า 'เจ้าต้องไม่กินผลไม้ใด ๆ ในสวนนี้' " 2 ผู้หญิงนั้นตอบงูว่า "เราสามารถกินผลไม้จากต้นไม้ผลทั้งหลายของสวนนี้ 3 ยกเว้นผลของต้นไม้ซึ่งอยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสไว้ว่า 'เจ้าจงอย่าได้กินหรือแตะต้องมัน มิฉะนั้นเจ้าจะตาย' " 4 งูกล่าวกับผู้หญิงนั้นว่า "เจ้าจะไม่ตายจริงหรอก 5 เพราะพระเจ้ารู้ว่าในวันที่เจ้ากินผลไม้นั้น ดวงตาของเจ้าจะถูกเปิดออกและเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ถึงความดีและความชั่ว" 6 เมื่อผู้หญิงนั้นเห็นว่าต้นไม้นั้นดีที่จะเป็นอาหาร และมันก็น่าดู และต้นไม้นั้นเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาคือที่จะทำให้คนฉลาดขึ้น เธอจึงเก็บผลจำนวนหนึ่งของต้นไม้นั้นและกิน จากนั้นเธอจึงให้ผลไม้บางส่วนแก่สามีของเธอผู้ซึ่งอยู่กับเธอ และเขาก็กินผลไม้นั้นด้วย 7 ดวงตาของพวกเขาทั้งสองก็ถูกเปิดออก และพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาได้เปลือยกายอยู่ พวกเขาจึงเย็บใบมะเดื่อเข้าด้วยกัน และทำเป็นสิ่งที่ใช้ปกคลุมสำหรับพวกเขา

8 ในตอนเย็นพวกเขาได้ยินเสียงพระเจ้า พระยาห์เวห์ กำลังทรงดำเนินอยู่ในสวน ดังนั้นผู้ชายและภรรยาของเขาได้ไปซ่อนตัวให้พ้นจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ พระเจ้าอยู่ท่ามกลางต้นไม้ทั้งหลายในสวน 9 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงเรียกหาผู้ชายนั้น และตรัสกับเขาว่า "เจ้าอยู่ที่ไหน?" 10 ผู้ชายตอบว่า "ข้าพระองค์ได้ยินเสียงพระองค์ในสวน และข้าพระองค์กลัวเพราะว่าข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ ดังนั้นข้าพระองค์จึงได้ซ่อนตัวอยู่" 11 พระเจ้าตรัสว่า "ใครบอกเจ้าว่าเจ้าเปลือยกายอยู่? เจ้าได้กินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งเจ้าว่าอย่ากินแล้วหรือ?" 12 ผู้ชายนั้นตอบว่า "ผู้หญิงผู้ที่พระองค์ทรงให้อยู่กับข้าพระองค์นั้น เป็นผู้ให้ผลจากต้นไม้นั้นแก่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็กินมัน 13 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ตรัสกับผู้หญิงนั้นว่า "เจ้าได้กระทำอะไรลงไปนี่?" ผู้หญิงนั้นตอบว่า "งูได้หลอกลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงกิน"

14 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ตรัสแก่งูนั้น "เพราะว่าเจ้าได้กระทำสิ่งนี้ เจ้าตัวเดียวจะถูกแช่งสาปท่ามกลางสัตว์ใช้งานทั้งหมด และสัตว์ป่าทั้งหลายของท้องทุ่ง เจ้าจะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง และผงคลีดินจะเป็นสิ่งที่เจ้าต้องกินไปตลอดชีวิตของเจ้า 15 เราจะทำให้เจ้ากับผู้หญิงเป็นปรปักษ์กัน และระหว่างพงศ์พันธุ์ของเจ้ากับพงศ์พันธุ์ของเธอ เขาจะทำให้หัวของเจ้าฟกช้ำ และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ 16 พระองค์ตรัสกับผู้หญิงว่า "เราจะเพิ่มความเจ็บปวดอย่างมากมายให้แก่เจ้าในขณะที่เจ้าจะมีบุตรทั้งหลาย มันเป็นความเจ็บปวดที่เจ้าจะคลอดบุตรทั้งหลาย ความปรารถนาของเจ้าจะทำเพื่อสามีของเจ้า แต่เขาจะปกครองเหนือเจ้า" 17 พระองค์ตรัสกับอาดัมว่า "เพราะว่าเจ้าฟังเสียงของภรรยาของเจ้า และกินผลจากต้นไม้นั้น ตามที่เราได้สั่งเจ้าว่า 'เจ้าอย่ากินผลจากต้นไม้นั้น' แผ่นดินถูกสาปเพราะเจ้า เจ้าจะหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานอย่างทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญตลอดชีวิตของเจ้า 18 แผ่นดินจะงอกต้นไม้ที่มีหนาม และพืชที่มีหนามให้เจ้า และเจ้าจะกินบรรดาพืชของท้องทุ่ง 19 เจ้าจะได้กินอาหารโดยหยาดเหงื่อของใบหน้าของเจ้า จนกว่าเจ้าจะกลับไปเป็นดินที่เจ้าถูกสร้างมา เพราะเจ้าเป็นผงคลีดินและเจ้าจะกลับไปเป็นผงคลีดิน"

20 ผู้ชายได้เรียกชื่อภรรยาของเขาว่า "เอวา" เพราะว่าเธอเป็นมารดาของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย 21 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ทำเสื้อผ้าด้วยหนังสัตว์สำหรับอาดัมกับภรรยาของเขา และสวมให้พวกเขา

22 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ตรัสว่า "บัดนี้มนุษย์ได้กลายเป็นคนหนึ่งเหมือนพวกเรา ในความรู้ดีและชั่ว ดังนั้นตั้งแต่นี้ไปเขาจะต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใช้มือปลิดผลของต้นไม้แห่งชีวิต และกิน และมีชีวิตตลอดไป" 23 ดังนั้นพระเจ้า พระยาห์เวห์ จึงทรงส่งเขาออกไปจากสวนแห่งเอเดน เพื่อเพาะปลูกบนพื้นดินจากที่ซึ่งเขาได้ถูกนำมานั้น 24 ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงขับผู้ชายออกไปจากสวน และพระองค์ได้ทรงตั้งพวกเครูปไว้ที่ทางตะวันออกของสวนแห่งเอเดน และดาบเพลิงที่หมุนได้รอบทุกทิศทางเพื่อเฝ้าทางเข้าถึงต้นไม้แห่งชีวิต

4

1 ผู้ชายนั้นจึงหลับนอนกับเอวาภรรยาของเขา นางได้ตั้งครรภ์และให้กำเนิดคาอิน นางกล่าวว่า "ฉันได้ให้กำเนิดชายคนหนึ่งโดยการช่วยเหลือของพระยาห์เวห์" 2 จากนั้นนางได้ให้กำเนิดอาเบล น้องชายของเขา ส่วนอาเบลเป็นคนเลี้ยงแกะ แต่คาอินเป็นคนเพาะปลูกพืช 3 อยู่มาวันหนึ่งคาอินได้นำผลแห่งพื้นดินมาถวายพระยาห์เวห์ 4 ส่วนอาเบลนั้น เขาได้นำแกะหัวปีจากฝูงแกะและไขมันบางส่วนมาถวาย พระยาห์เวห์ทรงยอมรับอาเบลและของถวายของเขา 5 แต่คาอินและของถวายของเขานั้นพระองค์ไม่ทรงยอมรับ ดังนั้นคาอินจึงโกรธมาก และเขาทำหน้าบูดบึ้ง 6 พระยาห์เวห์ตรัสกับคาอินว่า "เจ้าโกรธทำไม และทำไมเจ้าทำหน้าบูดบึ้ง? 7 ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าจะไม่ได้รับการยอมรับหรือ? แต่หากเจ้าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความบาปก็หมอบอยู่ที่ประตู และปรารถนาที่จะควบคุมเจ้า ซึ่งเจ้าจะต้องเอาชนะมัน"

8 คาอินได้พูดกับอาเบลน้องชายของเขา ในขณะที่พวกเขาอยู่ในท้องทุ่ง คาอินได้ลุกขึ้นทำร้ายอาเบลน้องชายของเขาและฆ่าเขา 9 ภายหลังพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับคาอินว่า "อาเบลน้องชายของเจ้าอยู่ไหน?" เขาตอบว่า "ข้าพระองค์ไม่รู้ ข้าพระองค์เป็นผู้ดูแลน้องของข้าพระองค์หรือ?" 10 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "เจ้าได้ทำอะไร? เลือดของน้องชายเจ้ากำลังส่งเสียงจากพื้นดินถึงเรา 11 บัดนี้เจ้าได้ถูกสาปแช่งจากแผ่นดินซึ่งอ้าปากรับเลือดของน้องชายเจ้า จากมือของเจ้า 12 เมื่อเจ้าไถพรวนเพาะปลูกจะไม่เกิดผลมาก เจ้าจะเป็นผู้ที่หลบหนี และพเนจรไปในแผ่นดิน " 13 คาอินทูลกับพระยาห์เวห์ว่า "โทษของข้าพระองค์ก็ใหญ่หลวงนัก เกินกว่าข้าพระองค์จะรับได้ 14 ที่จริงแล้ว วันนี้พระองค์ได้ขับไล่ข้าพระองค์ออกจากแผ่นดินนี้ และข้าพระองค์จะหลบซ่อนจากพระพักตร์พระองค์ ข้าพระองค์จะเป็นผู้ที่หลบหนี และพเนจรไปในแผ่นดิน และใครก็ตามที่พบข้าพระองค์ก็จะฆ่าข้าพระองค์" 15 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเขาว่า "ถ้าใครฆ่าคาอิน ผู้นั้นจะถูกแก้แค้นตอบแทนเจ็ดเท่า" จากนั้นพระยาห์เวห์ได้ทำเครื่องหมายไว้บนคาอิน เหตุนั้นถ้าใครพบเขา ผู้นั้นจะไม่ได้ทำร้ายเขา 16 ดังนั้นคาอินจึงได้ออกไปพ้นพระพักตร์พระยาห์เวห์ และอาศัยอยู่ในแผ่นดินของโนด ทางทิศตะวันออกของเอเดน

17 คาอินได้หลับนอนกับภรรยาของเขาและนางก็ตั้งครรภ์ นางคลอดบุตรชายชื่อเอโนค เขาได้สร้างเมืองหนึ่งและตั้งชื่อเมืองนั้นตามชื่อบุตรชายของเขาคือ เอโนค 18 เอโนคมีบุตรชื่ออิราด อิราดเป็นบิดาของเมหุยาเอล เมหุยาเอลเป็นบิดาของเมธูชาเอล เมธูชาเอลเป็นบิดาของลาเมค 19 ลาเมคมีภรรยาสองคน คนหนึ่งชื่ออาดาห์ อีกคนหนึ่งชื่อศิลลาห์ 20 อาดาห์ให้กำเนิดยาบาล เขาเป็นบิดาของคนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ผู้ซึ่งเลี้ยงสัตว์ 21 น้องชายของเขาชื่อยูบาล เขาเป็นบิดาของคนเหล่านั้นผู้ซึ่งเล่นพิณเขาคู่และเป่าปี่ 22 สำหรับศิลลาห์ นางได้ให้กำเนิดทูบัลคาอินผู้เป็นช่างทำเครื่องทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก น้องสาวของทูบัลคาอิน คือนาอามาห์ 23 ลาเมคได้พูดกับภรรยาทั้งสองของเขาว่า "อาดาห์ และศิลลาห์ จงฟังเสียงของเรา เจ้าผู้เป็นภรรยาของลาเมค จงฟังในสิ่งที่เราจะพูด เพราะว่าเราได้ฆ่าผู้ชายคนหนึ่งผู้ที่ทำให้เราบาดเจ็บ ชายหนุ่มคนหนึ่งผู้ที่ทำให้เราฟกซ้ำ 24 ถ้าทำกับคาอินจะถูกแก้แค้นตอบแทนเจ็ดเท่า ดังนั้นถ้าทำกับลาเมคก็จะถูกแก้แค้นตอบแทนถึงเจ็ดสิบเจ็ดเท่า"

25 อาดัมได้หลับนอนกับภรรยาของเขา และนางได้ให้กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่ง นางเรียกชื่อเขาว่าเสท และกล่าวว่า "พระเจ้าได้ทรงให้บุตรชายอีกคนหนึ่งแก่ฉันแทนอาเบลซึ่งถูกคาอินฆ่า" 26 เสทมีบุตรชายและเขาได้เรียกชื่อว่าเอโนช ในเวลานั้นคนทั้งหลายได้เริ่มออกพระนามของพระยาห์เวห์

5

1 นี่คือบันทึกของเชื้อสายของอาดัม ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างพวกเขาตามพระฉายาของพระองค์ 2 พระองค์ทรงสร้างพวกเขาเป็นชายและหญิง เมื่อพวกเขาได้ถูกสร้างพระองค์ทรงอวยพรพวกเขา 3 เมื่ออาดัมมีอายุได้ 130 ปี เขามีบุตรชายคนหนึ่งในลักษณะตามรูปแบบของเขา และตั้งชื่อเขาว่าเสท 4 หลังจากเขาได้ให้กำเนิดเสทแล้ว เขาได้มีชีวิตอีก แปดร้อยปี เขาได้ให้กำเนิดบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 5 อาดัมมีชีวิตอยู่ได้ 930 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต

6 เมื่อเสทมีอายุได้ 105 ปี เขาได้เป็นบิดาของเอโนช 7 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของเอโนชแล้ว เขาได้มีชีวิตอีก 807 ปี และได้เป็นบิดาของบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 8 เสทมีชีวิตอยู่ได้ 912 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต

9 เมื่อเอโนชมีชีวิตอยู่มาได้ 90 ปี เขาได้เป็นบิดาของเคนัน 10 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของเคนันแล้ว เอโนชได้มีชีวิตอีก 815 ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 11 เอโนชมีชีวิตอยู่ได้ 905 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต

12 เมื่อเคนันมีชีวิตอยู่มาได้เจ็ดสิบปี เขาได้เป็นบิดาของมาหะลาเลล 13 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของมาหะลาเลลแล้ว เคนันได้มีชีวิตอีก 840 ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 14 เคนันมีชีวิตอยู่ได้ 910 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต

15 เมื่อมาหะลาเลลมีชีวิตอยู่ได้หกสิบห้าปี เขาได้เป็นบิดาของยาเรด 16 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของยาเรดแล้ว มาหะลาเลลได้มีชีวิตอีก 830 ปี เขาได้เป็นบิดาบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 17 มาหะลาเลลมีชีวิตอยู่ได้ 895 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต

18 เมื่อยาเรดมีชีวิตอยู่ได้ 162 ปีเขาได้เป็นบิดาของเอโนค 19 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของเอโนคแล้ว ยาเรดได้มีชีวิตอีกแปดร้อยปีเขาได้เป็นบิดาของบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 20 ยาเรดมีชีวิตอยู่ได้ 962 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต

21 เมื่อเอโนคมีอายุ 65 ปีเขาได้เป็นบิดาของเมธูเสลาห์ 22 เอโนคดำเนินกับพระเจ้าสามร้อยปีหลังจากเขาได้ให้กำเนิดเมธูเสลาห์แล้ว เขาได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคน 23 เอโนคมีชีวิตอยู่ได้ 365 ปี 24 เอโนคได้ดำเนินกับพระเจ้าและจากนั้นเขาก็ได้จากไปเพราะพระเจ้าได้ทรงรับเขาไป

25 เมื่อเมธูเสลาห์มีชีวิตอยู่ได้ 187 ปี เขาได้เป็นบิดาของลาเมค 26 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของลาเมคแล้ว เมธูเสลาห์มีชีวิตอีก 782 ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคน 27 เมธูเสลาห์มีชีวิตอยู่ได้ 969 ปี จากนั้นเขาจึงเสียชีวิต

28 เมื่อลาเมคมีชีวิตอยู่ได้ 182 ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชายคนหนึ่ง 29 เขาได้ตั้งชื่อของเขาว่าโนอาห์เพราะว่า "คนนี้จะทำให้เราพักจากงานของเรา และจากการทำงานที่ลำบากของมือของเราซึ่งเราต้องทำ เพราะแผ่นดินที่พระยาห์เวหได้ทรงสาปแช่ง" 30 ลาเมคมีชีวิตอีก 595 ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 31 ลาเมคมีชีวิตอยู่ได้ 777 ปี จากนั้นเขาจึงเสียชีวิต

32 หลังจากโนอาห์มีชีวิตอยู่ได้ 500 ปี เขามีบุตรชื่อ เชม ฮาม และยาเฟท

6

1 ต่อมาเมื่อมนุษย์ได้เริ่มทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน และให้กำเนิดบุตรสาวทั้งหลาย 2 บุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าได้เห็นว่าบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์มีเสน่ห์ พวกเขาจึงเลือกและรับหญิงเหล่านั้นมาเป็นภรรยา 3 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "วิญญาณของเราจะไม่อยู่กับมนุษย์ตลอดไป เพราะพวกเขาเป็นเนื้อหนัง พวกเขาจะมีอายุเพียง 120 ปี 4 มีคนรูปร่างใหญ่โตบนแผ่นดินในเวลานั้น และหลังจากนั้นด้วย นี่เกิดขึ้นเมื่อบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าแต่งงานกับบรรดาบุตรสาวของมนุษย์ และมีบุตร คนเหล่านี้เป็นผู้ชายที่แข็งแรงในสมัยโบราณ เป็นผู้ชายที่มีชื่อเสียง"

5 พระยาห์เวห์ทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากยิ่งขึ้นบนแผ่นดิน และความคิดในจิตใจทุกอย่างของพวกเขาโน้มเอียงไปในสิ่งเลวร้ายอย่างต่อเนื่อง 6 พระยาห์เวห์ทรงเสียพระทัยที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นบนแผ่นดิน และทำให้พระทัยของพระองค์ทรงโทมนัส 7 ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "เราจะกวาดล้างมนุษย์ผู้ที่เราได้สร้างเสียจากพื้นแผ่นดิน ทั้งมนุษย์ และสัตว์ใหญ่ และสิ่งต่าง ๆ ที่เลื้อยคลาน และนกทั้งหลายของท้องฟ้า เพราะเราเสียใจที่ได้สร้างพวกเขาทั้งหลาย" 8 แต่โนอาห์เป็นผู้ที่ชอบในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์

9 เหล่านี้เป็นเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับโนอาห์ โนอาห์เป็นคนชอบธรรม ปราศจากตำหนิท่ามกลางคนทั้งหลายในเวลาของเขานั้น โนอาห์ได้เดินกับพระเจ้า 10 โนอาห์ได้ให้กำเนิดบุตรชายสามคนคือ เชม ฮาม และยาเฟท

11 แผ่นดินถูกทำให้เสื่อมทรามลงต่อพระพักตร์พระเจ้า และเต็มไปด้วยความโหดร้ายรุนแรง 12 พระเจ้าได้ทอดพระเนตรดูพื้นแผ่นดิน ดูเถิดมันเสื่อมทรามลง เพราะว่าเนื้อหนังทั้งหมดเสื่อมทรามลงบนทางของพวกเขาทั้งหลายบนแผ่นดิน

13 พระเจ้าได้ตรัสกับโนอาห์ว่า "เราเห็นว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะนำจุดจบมายังเนื้อหนังทั้งหลาย เพราะว่าแผ่นดินเต็มไปด้วยความโหดร้ายรุนแรงผ่านพวกเขา ที่จริงแล้วเราจะทำลายพวกเขาพร้อมกับพื้นแผ่นดิน 14 จงสร้างเรือเพื่อตัวเจ้าเองจากไม้สน จงสร้างห้องต่าง ๆ ภายในเรือ และปิดผนึกมันด้วยยาชันทั้งภายในและภายนอก 15 ต่อไปนี้คือวิธีการที่เจ้าจะสร้างเรือ ความยาวของเรือสามร้อยศอก ความกว้างของเรือห้าสิบศอก และมีความสูง ของเรือสามสิบศอก 16 จงทำหลังคาสำหรับเรือ จงทำช่องสำหรับมันให้เสร็จห่างจากด้านบนหนึ่งศอก และจงทำประตูบนด้านนั้นของเรือ และทำดาดฟ้าชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 17 จงฟัง เราจะนำน้ำท่วมมาเหนือพื้นแผ่นดิน เพื่อทำลายเนื้อหนังที่มีลมปราณแห่งชีวิตจากภายใต้ท้องฟ้า ทุกสิ่งที่ซึ่งอยู่บนพื้นแผ่นดินจะตาย 18 แต่เราจะตั้งพันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะเข้ามาในเรือนั้น เจ้าและบรรดาบุตรชายของเจ้า และภรรยาของเจ้า และบรรดาภรรยาของบุตรชายทั้งหลายของเจ้า 19 และเจ้าจงนำสิ่งที่ชีวิตแห่งเนื้อหนังทั้งหมด ทุกชนิดอย่างละสองตัวทั้งตัวผู้และตัวเมีย เพื่อให้พวกมันมีชีวิตอยู่กับเจ้า 20 นกทั้งหลายตามชนิดของพวกมัน สัตว์ใหญ่ตามชนิดของพวกมัน สิ่งที่เลื้อยคลานแห่งแผ่นดินตามชนิดของมัน สัตว์ทุกชนิดจะมาหาเจ้าเป็นคู่ ๆ เพื่อพวกมันจะรอดตาย 21 จงจัดเตรียมอาหารทุกชนิดเพื่อที่จะกินและเก็บเอาไว้เพื่อตัวเจ้าเอง ดังนั้นมันจะเป็นอาหารสำหรับเจ้าและพวกมัน" 22 ดังนั้นโนอาห์จึงได้ทำสิ่งนี้ตามที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาแก่เขาทุกอย่าง และเขาก็ได้ทำ

7

1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโนอาห์ว่า "เจ้าและทุกคนในครัวเรือนของเจ้า จงเข้ามาในเรือ เพราะว่าในคนรุ่นนี้เราได้เห็นแล้วว่าเจ้าเป็นคนชอบธรรมต่อหน้าเรา 2 เจ้าจงนำสัตว์สะอาดทุกชนิด ตัวผู้เจ็ดตัว ตัวเมียเจ็ดตัว สัตว์ไม่สะอาดทุกชนิด อย่างละสองตัวคือ ตัวผู้หนึ่งตัวและคู่ของมัน 3 นกทั้งหลายของท้องฟ้าให้นำมา ตัวผู้เจ็ดตัว และตัวเมียเจ็ดตัว เพื่อรักษาพันธุ์ไว้บนพื้นแผ่นดินทั้งหมด 4 เพราะว่าในอีกเจ็ดวันเราจะทำให้ฝนตกบนแผ่นดินนานสี่สิบวันสี่สิบคืน เราจะทำลายสิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างที่เราได้สร้างจากพื้นแผ่นดิน" 5 โนอาห์ได้ปฏิบัติทุกสิ่งตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา

6 โนอาห์มีอายุได้หกร้อยปีเมื่อน้ำท่วมแผ่นดิน 7 โนอาห์ บุตรชายทั้งหลายของเขา ภรรยาของเขา และภรรยาทั้งหลายของบรรดาบุตรชายของเขา ได้เข้าไปในเรือด้วยกันเพราะน้ำท่วมนั้น 8 สัตว์ทั้งหลายทั้งที่สะอาดและไม่สะอาด นกทั้งหลาย และสัตว์ทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนพื้นดิน 9 เป็นคู่ ๆ ตัวผู้และตัวเมียได้มาหาโนอาห์ และเข้าไปในเรือดังที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาโนอาห์ 10 ก็เป็นอย่างนั้นหลังจากเจ็ดวันผ่านไป น้ำก็ได้ท่วมพื้นแผ่นดิน

11 ในปีที่หกร้อยของชีวิตโนอาห์ ในเดือนที่สอง ในวันที่สิบเจ็ดของเดือน ในวันนั้นเองตาน้ำทั้งหลายของที่ลึกมากได้พลุ่งขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน และหน้าต่างทั้งหลายของท้องฟ้าก็ได้ถูกเปิดออก 12 ฝนได้เริ่มตกและตกลงบนพื้นแผ่นดินสี่สิบวันสี่สิบคืน 13 ในวันเดียวกันนั้นโนอาห์และบุตรชายทั้งหลายของเขา เชม ฮาม และยาเฟท และภรรยาของโนอาห์ และภรรยาทั้งสามคนของบรรดาบุตรชายของเขา กับพวกเขาทั้งหลายได้เข้าไปในเรือนั้น 14 พวกเขาได้เข้าไปพร้อมกับสัตว์ป่าตามชนิดของมัน และสัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และบรรดาสิ่งที่เลื้อยคลานบนพื้นดินตามชนิดของมัน และนกทุกชนิดตามชนิดของมัน สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดที่มีปีก 15 สัตว์ทั้งหลายที่มีลมปราณแห่งชีวิตได้มาหาโนอาห์ และเข้าไปในเรือเป็นคู่ ๆ 16 สัตว์ทั้งหลายทั้งหมดที่เข้าไปเป็นตัวผู้และตัวเมีย พวกมันเข้ามาตามที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาแก่เขา จากนั้นพระยาห์เวห์ได้ปิดประตูหลังจากที่พวกเขาเข้าไป

17 จากนั้นน้ำได้ท่วมแผ่นดินเป็นเวลาสี่สิบวัน และน้ำได้เพิ่มขึ้น และยกเรือขึ้นและยกเรือขึ้นเหนือแผ่นดิน 18 น้ำได้ท่วมเหนือแผ่นดินทั้งหมด และเรือได้ลอยอยู่บนผิวน้ำ 19 น้ำได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ดังนั้นภูเขาสูงทั้งหมดซึ่งอยู่ใต้ท้องฟ้ากว้างถูกน้ำท่วมหมด 20 น้ำได้เพิ่มขึ้นสูงสิบห้าศอกเหนือยอดภูเขาทั้งหลาย 21 สิ่งที่มีชีวิตทุกลิ่งที่เคลื่อนไหวบนพื้นแผ่นดินตายทั้งหมดคือ บรรดานกทั้งหลาย สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่าทั้งหลาย ทุกสิ่งที่มีชีวิตจำนวนมากที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน และมนุษย์ทั้งหมด 22 ทุกสิ่งที่มีชีวิตบนแผ่นดินที่หายใจด้วยลมปราณแห่งชีวิตผ่านจมูกของพวกเขาได้ตายหมด 23 ดังนั้นทุกสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่บนพื้นผิวของแผ่นดินถูกกวาดล้างออกไป นับตั้งแต่มนุษย์ไปจนถึงสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า สิ่งที่เลื้อยคลาน และนกทั้งหลายแห้ท้องฟ้า พวกเขาทั้งหลายได้ถูกทำลายไปจากแผ่นดิน เหลือเพียงโนอาห์และคนเหล่านั้นที่อยู่กับเขาในเรือนั้นเท่านัั้น 24 น้ำไม่ได้ลดลงจากแผ่นดินเป็นเวลาหนึ่งร้อยห้าสิบวัน

8

1 พระเจ้าได้ทรงระลึกถึงโนอาห์ สัตว์ป่าทั้งหมดและ สัตว์ใช้งานทั้งหลายที่อยู่กับเขาในเรือนั้น พระเจ้าทรงทำให้ลมพัดมาเหนือแผ่นดิน และน้ำก็เริ่มลดลง 2 น้ำพุของที่ลึก และหน้าต่างทั้งหลายของท้องฟ้าก็ถูกปิด และฝนก็หยุดตก 3 น้ำท่วมได้ลดลงอย่างช้า ๆ จากพื้นดิน และหลังจากหนึ่งร้อยห้าสิบวันผ่านไปน้ำกลดลง 4 เรือได้หยุดลงติดค้างอยู่ที่ยอดเขาอารารัตในเดือนที่เจ็ด ในวันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น 5 น้ำยังลดลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเดือนที่สิบ ในวันที่หนึ่งของเดือนนั้น ยอดเขาต่าง ๆ ก็ได้ปรากฏขึ้น

6 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นหลังจากสี่สิบวันที่โนอาห์ได้เปิดหน้าต่างของเรือซึ่งเขาได้ทำไว้ 7 เขาได้ปล่อยอีกาออกไป และมันได้บินกลับไปกลับมาจนกระทั่งน้ำแห้งจากแผ่นดิน 8 จากนั้นเขาได้ส่งนกพิราบตัวหนึ่งออกไปเพื่อจะดูว่าน้ำได้ลดลงจากจากพื้นผิวของแผ่นดินหรือยัง 9 แต่นกพิราบไม่มีที่จะเกาะ และมันได้กลับมาหาเขาที่เรือ เพราะว่าน้ำยังคงท่วมพื้นแผ่นดินทั้งหมดอยู่ เขาได้ยื่นมือของเขาออก และจับมันและนำมันเข้ามาในเรือกับเขา 10 เขาได้รออีกเจ็ดวัน และเขาได้ส่งนกพิราบออกไปจากเรืออีกครั้ง 11 นกพิราบกลับมาหาเขาในตอนเย็น ดูเถิดในปากของมันมีใบมะกอกเขียวสดด้วย ดังนั้นโนอาห์จึงรู้ได้ว่าน้ำได้ลดลงจากแผ่นดินแล้ว 12 เขาได้รออีกเจ็ดวัน และได้ส่งนกพิราบนั้นออกไปอีกครั้ง และมันไม่ได้กลับมาหาเขาอีก

13 ต่อมาในปีที่หกร้อยหนึ่ง ในเดือนที่หนึ่ง ในวันที่หนึ่งของเดือนนั้นที่น้ำได้แห้งไปจากพื้นดิน โนอาห์ได้เอาสิ่งที่คลุมเรือออก ได้มองออกไปข้างนอกและได้เห็น ดูเถิดผิวพื้นดินได้แห้งแล้ว 14 ในเดือนที่สอง ในวันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนนั้น พื้นแผ่นดินก็แห้ง 15 พระเจ้าตรัสกับโนอาห์ว่า 16 "จงออกไปจากเรือ เจ้า ภรรยาของเจ้า บุตรชายทั้งหลายของเจ้า และภรรยาทั้งหลายของบรรดาบุตรชายของเจ้า กับเจ้า 17 จงนำทุกสิ่งที่มีชีวิตของเนื้อหนังทั้งหมดที่อยู่กับเจ้า ออกไปกับเจ้าคือนกทั้งหลาย สัตว์ต่าง ๆ และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน ดังนั้นพวกมันทั้งหลายจะเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นของสิ่งที่มีชีวิตอย่างมากมายทั่วพื้นแผ่นดิน แพร่พันธุ์ และเพิ่มจำนวนบนแผ่นดิน" 18 ดังนั้นโนอาห์ได้ออกไปกับบรรดาบุตรของเขา ภรรยาของเขา และภรรยาทั้งหลายของพวกบุตรชายของเขา พร้อมกับเขา 19 ทุกสิ่งที่มีชีวิต ทุกสิ่งที่เลื้อยคลาน และนกทุกตัว ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินตามพันธุ์ของพวกมัน ได้ออกจากเรือ

20 โนอาห์ได้สร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์ เขาได้นำสัตว์สะอาดบางตัว และนกที่สะอาดบางตัว และเผาบูชาบนแท่นบูชานั้น 21 พระยาห์เวห์ทรงได้กลิ่นที่พอพระทัย และตรัสในพระทัยของพระองค์ว่า "เราจะไม่แช่งสาปแผ่นดินอีก เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์มีจิตใจที่โน้มเอียงไปในทางที่ชั่วร้ายมาตั้งแต่เด็ก หรือจะไม่ทำลายทุกสิ่งที่มีชีวิตอย่างที่เราได้เคยทำอีก 22 ตราบใดที่พื้นแผ่นดินยังคงอยู่ ฤดูหว่านและฤดูเก็บเกี่ยว เย็นและร้อน ฤดูร้อนและฤดูหนาว และกลางวันและกลางคืนจะยังคงมีเรื่อยไปตราบนั้น"

9

1 จากนั้นพระเจ้าได้ทรงอวยพรโนอาห์และบุตรทั้งหลายของเขา และได้ตรัสกับพวกเขาว่า "จงมีลูกดก ทวีมากขึ้น และเต็มแผ่นดิน" 2 ความหวาดกลัวต่อเจ้า และความเกรงกลัวต่อเจ้าจะมีเหนือสัตว์ทุกตัวที่มีชีวิตบนพื้นแผ่นดิน เหนือนกทุกตัวของท้องฟ้า เหนือทุกสิ่งที่เลื้อยคลานบนพื้นดิน และเหนือปลาทั้งหมดแห่งท้องทะเล พวกมันทั้งหมดได้ถูกมอบไว้ในมือเจ้า 3 สิ่งที่เคลื่อนไหวทุกสิ่งที่มีชีวิตอยู่จะเป็นอาหารสำหรับเจ้า บัดนี้เราให้ทุกสิ่งแก่เจ้า เหมือนที่เราได้ให้พืชสีเขียวแก่เจ้า 4 แต่เจ้าต้องไม่กินเนื้อกับชีวิตของมัน คือเลือดของมัน ในเนื้อนั้น 5 แต่สำหรับเลือดของเจ้า ชีวิตที่อยู่ในเลือดของเจ้า เราจะเรียกค่าตอบแทน จากมือของสัตว์ทุกตัว เราจะเรียกค่าตอบแทนจากมือของมนุษย์ใด ๆ นั่นคือจากมือของใครก็ตามผู้ซึ่งฆ่าพี่น้องของเขา เราจะเรียกคืนเพราะชีวิตของคน ๆ นั้น 6 ใครก็ตามที่ทำให้มนุษย์เลือดไหล เลือดของเขาก็จะไหลโดยมนุษย์ด้วย เพราะว่ามันอยู่ในพระฉายาของพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ 7 สำหรับพวกเจ้า จงแพร่พันธุ์ และเพิ่มจำนวนขึ้น แพร่ออกไปทั่วแผ่นดิน และทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน"

8 จากนั้นพระเจ้าได้ตรัสกับโนอาห์ และกับบุตรชายทั้งหลายของเขาที่อยู่กับเขา ตรัสว่า 9 " จงฟัง สำหรับเรา เราจะยืนยันพันธสัญญาของเรากับเจ้า และเชื้อสายของเจ้าหลังจากเจ้า 10 และสรรพสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่กับเจ้า กับนกทั้งหลาย สัตว์เลี้ยง และสรรพสิ่งแห่งแผ่นดินที่อยู่กับเจ้า จากทั้งหมดที่ออกมาจากเรือ ถึงสรรพสิ่งที่มีชีวิตบนแผ่นดิน 11 เรายืนยันพันธสัญญาของเราที่มีกับเจ้า คือเนื้อหนังทั้งหมดจะไม่ถูกทำลายโดยน้ำท่วมอีก จะไม่มีน้ำท่วมทำลายแผ่นดินอีก" 12 พระเจ้าตรัสว่า "นี่คือเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาซึ่งเราได้ทำขึ้นระหว่างเรากับเจ้า และทุกสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่กับเจ้า สำหรับคนทุกชั่วอายุ 13 เราได้ตั้งรุ้งกินน้ำของเราไว้ที่เมฆ และนี่จะเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญาระหว่างเราและแผ่นดิน 14 จะเป็นอย่างนั้นเมื่อเราให้มีเมฆเหนือแผ่นดิน และเห็นรุ้งกินน้ำที่เมฆนั้น 15 เราก็จะระลึกถึงพันธสัญญาของเราที่ได้ทำระหว่างเรากับเจ้า และทุกสิ่งที่มีชีวิตแห่งเนื้อหนัง น้ำจะไม่ท่วมทำลายเนื้อหนังทั้งหมด 16 รุ้งกินน้ำจะอยู่ที่เมฆและเราจะเห็นเพื่อที่จะระลึกถึงพันธสัญญานิรันดร์ระหว่างพระเจ้าและทุกสิ่งที่มีชีวิตของเนื้อหนังทั้งหมดซึ่งอยู่บนแผ่นดิน" 17 จากนั้นพระเจ้าได้ตรัสกับโนอาห์ว่า "นี่คือเครื่องหมายของพันธสัญญาที่เราได้ยืนยันไว้แล้วระหว่างเรากับเนื้อหนังทั้งหมดที่อยู่บนแผ่นดิน"

18 บุตรทั้งหลายของโนอาห์ทีี่ออกมาจากเรือ คือ เชม ฮาม และยาเฟท ฮามเป็นบิดาของคานาอัน 19 ทั้งสามคนนี้เป็นบุตรของโนอาห์ และด้วยพวกเขาเหล่านี้ทำให้พื้นแผ่นดินทั้งหมดเต็มไปด้วยประชาชน

20 โนอาห์ได้เริ่มเป็นชาวสวน เขาได้ทำสวนองุ่น 21 เขาได้ดื่มเหล้าองุ่นและเมา เขาได้นอนเปลือยกายอยู่ในเต็นท์ของเขา 22 จากนั้นฮาม บิดาของคานาอัน มาเห็นการเปลือยกายของบิดา และได้ไปบอกพี่น้องของเขาที่อยู่ข้างนอก 23 ดังนั้นเชม และยาเฟทจึงได้เอาเสื้อคลุมยาว และพาดบนบ่าของพวกเขาทั้งสอง และเดินถอยหลังเข้าไป และปกปิดการเปลือยกายของบิดาของพวกเขา พวกเขาได้หันหน้าไปทางอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เห็นการเปลือยกายของบิดาของพวกเขา 24 เมื่อโนอาห์ตื่นขึ้นจากการเมาของเขา เขาได้รู้ถึงสิ่งที่บุตรชายคนสุดท้องทำกับเขา 25 ดังนั้นเขาจึงได้พูดว่า "คานาอันจงถูกแช่งสาป ให้เป็นคนใช้ของคนรับใช้ทั้งหลายของพวกพี่น้องเขา" 26 เขายังพูดด้วยอีกว่า "ขอให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเชมได้รับการสรรเสริญ และให้คานาอันเป็นคนรับใช้ของเขา 27 ขอให้พระเจ้าเพิ่มอาณาเขตของยาเฟท และให้เขาสร้างบ้านในเต็นท์ทั้งหลายของเชม ให้คานาอันเป็นคนใช้ของเขา" 28 หลังจากน้ำท่วม โนอาห์มีชีวิตอยู่ได้อีกสามร้อยห้าสิบปี 29 รวมโนอาห์มีอายุได้เก้าร้อยห้าสิบปี และจากนั้นเขาก็ตาย

10

1 เหล่านี้คือเชื้อสายของบุตรชายทั้งหลายของโนอาห์ คือ เชม ฮามและยาเฟท พวกเขาได้ให้กำเนิดบุตรชายทั้งหลายหลังน้ำท่วม

2 บุตรชายทั้งหลายของยาเฟทคือโกเมอร์ มาโกก มาดัย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส 3 บุตรชายทั้งหลายของโกเมอร์คือ อัชเคนัส รีฟาท และโทการมาห์ 4 บุตรชายทั้งหลายของยาวานคือ เอลีชาห์ ทารชิช คิทธิม และโดดานิม 5 จากคนเหล่านี้ ประชาชนตามชายฝั่งได้แยกและเข้าไปในแผ่นดินของพวกเขา แต่ละคนตามภาษาของตน ตามตระกูล โดยประชาชาติทั้งหลายของพวกเขา

6 บุตรชายทั้งหลายของฮามคือคูช มิสรายิม พูต และคานาอัน 7 บุตรชายทั้งหลายของคูชคือ เส-บา ฮาวิลาห์ สับทาห์ ราอามาห์ และสับเทคา บุตรชายทั้งหลายของราอามาห์คือ เชบา และเดดาน 8 คูชเป็นบิดาของนิมโรดซึ่งเป็นผู้พิชิตคนแรกของแผ่นดิน 9 เขาเป็นนายพรานที่ทรงพลังต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ นั่นคือที่มาของคำพูดที่ว่า "เหมือนนิมโรด นายพรานที่ทรงพลังต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์" 10 ศูนย์กลางของอำนาจแห่งแรกของเขาคือเมืองบาบิโลน เมืองเอเรก เมืองอัคคัด และเมืองคาลเนห์ในแผ่นดินชินาร์ 11 นอกจากแผ่นดินนั้นเขาได้ไปยังอัสซีเรียและสร้างเมืองนีนะเวห์ เมืองเรโหโบทอีร์ เมืองคาลาห์ 12 และเมืองเรเสน ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองนีนะเวห์และเมืองคาลาห์ มันเป็นเมืองใหญ่ 13 มิสรายิมได้ให้กำเนิดคนลูดิม คนอานามิม คนเลหะบิม คนนัฟทูฮิม 14 คนปัทรุสิม คนคัสลูฮิม(ต้นตระกูลคนฟีลิสเตีย) และคนคัฟโทริม

15 คานาอันเป็นบิดาของไซดอนซึ่งเป็นบุตรคนแรกของเขา และเฮท 16 และคนเยบุส คนอาโมไรต์ คนเกอร์กาซี 17 คนฮีไวต์ คนอารคี คนสินี 18 คนอารวัต คนเศเมอร์ และคนฮามัธ ภายหลังตระกูลของคนคานาอันได้ขยายออกไป 19 อาณาเขตของคนคานาอันเริ่มจากเมืองไซดอน ไปทางเมืองเกราห์ ไกลไปจนถึงเมืองกาซา และไปทางเมืองโซโดม เมืองโกโมราห์ เมืองอัดมาห์ และเมืองเศโบยิมไปไกลจนถึงเมืองลาซา 20 เหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของฮามโดยตระกูลของพวกเขา โดยภาษาของพวกเขา ในแผ่นดินของพวกเขาและในประชาชาติทั้งหลายของพวกเขา

21 เชม พี่ชายคนโตของยาเฟทได้ให้กำเนิดบุตรชายทั้งหลายด้วย 22 เชมเป็นบรรพบุรุษของคนเอเบอร์ทั้งหมด บุตรชายทั้งหลายของเชมคือ เอลาม อัสซูร์ อารปัคชาด ลูด และอารัม 23 บุตรชายทั้งหลายของอารัมคือ อูส ฮูล เกเธอร์ และมัช 24 อารปัคชาดได้ให้กำเนิดเชลาห์ และเชลาห์ได้ให้กำเนิดเอเบอร์ 25 เอเบอร์มีบุตรชายสองคน คนหนึ่งชื่อเพเลกเพราะว่าในสมัยของเขาได้มีการแบ่งแยกแผ่นดิน น้องชายของเขาชื่อโยกทาน 26 โยกทานได้ให้กำเนิดอัลโมดัด เชเลฟ ฮาซารมาเวท เยราห์ 27 ฮาโดรัม อุซาล ดิคลาห์ 28 โอบาล อาบีมาเอล เชบา 29 โอฟีร์ ฮาวิลาห์ และโยบับ ทั้งหมดเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของโยกทาน 30 ดินแดนของพวกเขาเริ่มจากเมืองเมชาไปทางเสฟาร์ ภูเขาทางทิศตะวันออก 31 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเชม ตามตระกูลของพวกเขาและภาษาต่าง ๆ ของพวกเขา ในแผ่นดินของเขาทั้งหลาย ตามประชาชาติทั้งหลายของพวกเขา

32 เหล่านี้คือตระกูลของบุตรชายทั้งหลายของโนอาห์ ตามพงศ์พันธุ์ของพวกเขา โดยประชาชาติทั้งหลายของพวกเขา จากพวกเหล่านี้ประชาชาติทั้งหลาย ได้แบ่งแยกและไปทั่วแผ่นดินหลังน้ำท่วม

11

1 เมื่อนั้นคนทั้งแผ่นดินใช้ภาษาและคำศัพท์เดียวกัน 2 ในขณะที่พวกเขาได้เดินทางไปทางตะวันออก พวกเขาได้พบที่ราบในแผ่นดินชินาร์ และพวกเขาจึงได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น 3 พวกเขาได้พูดกันว่า "มาเถิด ให้เราปั้นอิฐ และเผาอิฐให้สุก" พวกเขาใช้อิฐแทนก้อนหิน และน้ำมันดินแทนปูน 4 พวกเขาได้พูดว่า "มาเถิด ให้พวกเราสร้างเมือง และหอคอยซึ่งมียอดถึงท้องฟ้าด้วยพวกเราเอง และให้เราสร้างชื่อสำหรับพวกเราเอง ถ้าเราไม่สร้าง เราจะถูกทำให้กระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดิน" 5 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงได้เสด็จลงมาเพื่อทอดพระเนตรเมืองและหอคอยนั้นซึ่งพงศ์พันธุ์ของอาดัมได้สร้างขึ้น 6 พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "ดูเถิด พวกเขาเป็นประชาชนหนึ่งเดียว มีภาษาเดียว และพวกเขากำลังเริ่มต้นทำสิ่งนี้ ในไม่ช้าสิ่งที่พวกเขาตั้งใจจะทำ จะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา 7 มาเถิด ให้พวกเราลงไปและทำให้ภาษาของพวกเขาวุ่นวายที่นั่น เพื่อที่ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน" 8 ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปจากที่นั่น ไปทั่วพื้นแผ่นดินและพวกเขาได้หยุดการก่อสร้างเมืองนั้น 9 ดังนั้นจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่าบาเบล เพราะที่นั่นพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำให้ภาษาของทั้งแผ่นดินวุ่นวาย และจากที่นั่นพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วพื้นแผ่นดิน

10 คนเหล่านี้คือเชื้อสายของเชม เชมมีได้อายุหนึ่งร้อยปี และหลังน้ำท่วมสองปี เขาได้เป็นบิดาของอารปัคชาด 11 เชมได้มีชีวิตต่อไปอีกห้าร้อยปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของอารปัคชาด เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย

12 เมื่ออารปัคชาดมีชีวิตอยู่ได้สามสิบห้าปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเชลาห์ 13 อารปัคชาดได้มีชีวิตต่อไปอีก 403 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเชลาห์ เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย

14 เมื่อเชลาห์มีชีวิตได้สามสิบปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเอเบอร์ 15 เชลาห์ได้มีชีวิตต่อไปอีก 403 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเอเบอร์ เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย

16 เมื่อเอเบอร์มีชีวิตสามสิบสี่ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเปเลก 17 เอเบอร์ได้มีชีวิตต่อไปอีก 430 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเปเลก เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย

18 เมื่อเปเลกมีชีวิตได้สามสิบปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเรอู 19 เปเลกได้มีชีวิตต่อไปอีก 209 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเรอู เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย

20 เมื่อเรอูมีชีวิตได้สามสิบสองปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเสรุก 21 เรอูได้มีชีวิตต่อไปอีก 207 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเสรุก เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย

22 เมื่อเสรุกมีชีวิตได้สามสิบปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อนาโฮร์ 23 เสรุกได้มีชีวิตต่อไปอีกสองร้อยปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของนาโฮร์ เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย

24 เมื่อนาโฮร์มีชีวิตได้ยี่สิบเก้าปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเทราห์ 25 นาโฮร์ได้มีชีวิตต่อไปอีก 119 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเทราห์ เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย

26 หลังจากที่เทราห์ชีวิตได้เจ็ดสิบปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่ออับราม นาโฮร์ และฮาราน 27 คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายของเทราห์ เทราห์ได้เป็นบิดาของอับราม นาโฮร์ และฮาราน และฮารานได้เป็นบิดาของบุตรชื่อโลท 28 ฮารานได้เสียชีวิตขณะที่เทราห์ บิดาของเขายังมีชีวิตอยู่ ในแผ่นดินที่เขาเกิดคือเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย 29 อับรามและนาโฮร์ได้แต่งงาน ภรรยาของอับรามคือซาราย และภรรยานาโฮร์คือมิลคาห์บุตรสาวของฮารานผู้เป็นบิดาของมิลคาห์ และอิสคาห์ 30 เนื่องจากซารายเป็นหมัน นางจึงไม่มีบุตร

31 เทราห์ได้พาอับรามบุตรชายของเขา โลทบุตรชายของฮาราน บุตรชายของเขา และซาราย ลูกสะใภ้ ภรรยาของอับรามบุตรชายของเขาจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดียไปด้วยกัน เพื่อไปยังแผ่นดินคานาอัน แต่พวกเขาได้มาถึงเมืองฮาราน และพักอยู่ที่นั่น 32 เทราห์มีชีวิตได้ 205 ปี และจากนั้นได้เสียชีวิตที่เมืองฮาราน

12

1 เวลานั้นพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอับรามว่า "จงไปจากประเทศของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า และจากครัวเรือนของบิดาเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะแสดงแก่เจ้า 2 เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ และเราจะอวยพรเจ้า และทำให้ชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ และเจ้าจะเป็นพร 3 เราจะอวยพรคนเหล่านั้นที่อวยพรเจ้า แต่ใครก็ตามที่ไม่ให้เกียรติเจ้า เราจะแช่งสาปเขา ผ่านทางเจ้า ครอบครัวทั้งหมดของแผ่นดินจะรับพร"

4 ดังนั้นอับรามจึงได้ไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบอกให้เขาไป และโลทได้ไปกับเขา อับรามมีอายุได้เจ็ดสิบห้าปีเมื่อเขาออกจากเมืองฮาราน 5 อับรามได้นำซาราย ภรรยาของเขา โลท บุตรชายของน้องชายของเขา ทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขาที่พวกเขาได้สะสมไว้ และคนทั้งหลายที่พวกเขาได้มาในเมืองฮาราน พวกเขาได้ออกไปยังแผ่นดินคานาอัน และได้มาถึงแผ่นดินคานาอัน 6 อับรามได้ผ่านเข้าไปในแผ่นดินนั้น เข้าไปไกลถึงเมืองเชเคม ถึงต้นโอ๊คแห่งโมเรห์ ที่เวลานั้นคนคานาอันได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น 7 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏแก่อับรามและตรัสว่า "เราจะมอบแผ่นดินนี้ให้กับเชื้อสายทั้งหลายของเจ้า" ณ ที่นั่น อับรามได้สร้างแท่นบูชาแก่พระยาห์เวห์ พระองค์ผู้ได้ปรากฏแก่เขา 8 จากที่นั่น เขาได้ย้ายไปยังแถบเทือกเขา ไปทางตะวันออกของเมืองเบธเอลที่ซึ่งเขาได้ตั้งเต็นท์ของเขา โดยเมืองเบธเอลอยู่ทางตะวันตก และเมืองอัยอยู่ทางตะวันออก ที่นั่นเขาได้สร้างแท่นบูชาแก่พระยาห์เวห์ และออกพระนามของพระยาห์เวห์ 9 จากนั้นอับรามยังคงได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังเนเกบ

10 ได้เกิดการกันดารอาหารในแผ่นดิน ดังนั้นอับรามได้ลงไปยังอียิปต์เพื่อที่จะอาศัยอยู่ เพราะการกันดารอาหารได้รุนแรงมากขึ้นในแผ่นดิน 11 เมื่อเขาจะเข้าไปในอียิปต์ เขาได้พูดกับซาราย ภรรยาของเขาว่า "ดูเถิด เรารู้ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงสวย 12 เมื่อคนอียิปต์เห็นเจ้า พวกเขาจะพูดว่า 'นี่คือภรรยาของเขา' และพวกเขาจะฆ่าเรา แต่ให้เจ้ามีชีวิตรอด 13 จงพูดว่าเจ้าเป็นน้องสาวของเรา ดังนั้นจะเป็นการดีสำหรับเราเพราะเจ้า และดังนั้นชีวิตของเราจะถูกสงวนไว้เพราะเจ้า" 14 และก็เป็นอย่างนั้นเมื่ออับรามได้เข้าไปในอียิปต์ ชาวอียิปต์ได้เห็นว่าซารายสวยมาก 15 เจ้าชายของฟาโรห์ได้เห็นนาง และทูลยกย่องนางต่อฟาโรห์ นางได้ถูกนำไปยังพระราชวังของฟาโรห์ 16 ฟาโรห์ได้ทรงดูแลอับรามเป็นอย่างดีเพราะเห็นแก่นาง และได้มอบบรรดาแกะ วัว ลาตัวผู้ คนรับใช้ชาย คนรับใช้หญิง ลาตัวเมีย และอูฐทั้งหลายให้กับเขา

17 พระยาห์เวห์ได้ทรงทำให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงกับฟาโรห์และพระราชวงศ์ของพระองค์ เพราะซาราย ภรรยาของอับราม 18 ฟาโรห์ได้ทรงเรียกหาอับรามและตรัสว่า "อะไรกันนี่ เจ้าได้กระทำต่อเรา?" ทำไมเจ้าไม่บอกเราว่านางเป็นภรรยาของเจ้า? 19 ทำไมเจ้าจึงบอกว่า 'นางคือน้องสาวของเจ้า' ดังนั้นเราจึงนำนางมาเป็นภรรยาของเรา? ดังนั้นบัดนี้ นี่คือภรรยาของเจ้า จงนำนางไป และไปตามทางของเจ้า" 20 จากนั้นฟาโรห์ได้ทรงออกคำสั่งแก่คนของพระองค์เกี่ยวกับเขา และพวกเขาได้ส่งเขาไปพร้อมกับภรรยาของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่

13

1 ดังนั้นอับรามได้ออกจากอียิปต์และเข้าไปยังเนเกบ คือ เขา ภรรยาของเขา และทุกสิ่งที่เขามี และโลทก็ได้ไปกับพวกเขาด้วย 2 ขณะนี้อับรามร่ำรวยมากทั้งในด้านของฝูงสัตว์เลี้ยง เงินและทอง 3 เขาได้เดินทางต่อไปจากเนเกบถึงเบธเอล ไปถึงที่ที่เขาตั้งเต็นท์ครั้งก่อน อยู่ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย 4 เขาไปยังที่ที่ตั้งแท่นบูชาที่เขาได้สร้างไว้ครั้งก่อน ที่นี่อับรามได้ร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ 5 ส่วนโลทที่เดินทางมากับอับรามก็มีฝูงสัตว์ ผู้คน และเต็นท์จำนวนมากด้วย 6 แผ่นดินนั้นไม่กว้างขวางมากพอสำหรับพวกเขาที่จะอาศัยอยู่ใกล้กัน เพราะว่าทรัพย์สินของพวกเขามีมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ 7 และเกิดการทะเลาะวิวาทกันระหว่างคนเลี้ยงสัตว์ของอับรามและคนเลี้ยงสัตว์ของโลท ในเวลานั้นคนคานาอัน และคนเปริสซีได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น

8 ดังนั้นอับรามจึงได้พูดกับโลทว่า "อย่าให้มีการทะเลาะวิวาทระหว่างเรากับเจ้า และระหว่างคนของเจ้ากับคนของเราเลย เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน 9 แผ่นดินทั้งหมดอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้วมิใช่หรือ? ไปเถิด เจ้าจงแยกไปจากเรา ถ้าเจ้าไปทางซ้าย เราก็จะไปทางขวา หรือถ้าเจ้าไปทางขวา เราก็จะไปทางซ้าย" 10 โลทก็ได้มองไปรอบ ๆ และได้เห็นว่าที่ราบของแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดเป็นที่มีน้ำบริบูรณ์ทุกแห่งไปจนถึงเมืองโศอาร์ เหมือนสวนของของพระยาห์เวห์ เหมือนแผ่นดินอียิปต์ นี่เป็นสภาพก่อนที่พระยาห์เวห์จะทำลายเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์ 11 ดังนั้นโลทจึงเลือกที่ราบทั้งหมดของแม่น้ำจอร์แดนสำหรับตัวเขาเอง และได้เดินทางไปทางตะวันออก และญาติทั้งสองก็ได้แยกทางกัน 12 อับรามได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินคานาอัน และโลทได้อาศัยอยู่ท่ามกลางเมืองทั้งหลายของที่ราบนั้น เขาตั้งเต็นท์ของเขาอยู่ห่างไกลจากเมืองโสโดม 13 ส่วนชาวเมืองโสโดมนั้นเป็นคนบาปชั่วร้ายต่อต้านพระยาห์เวห์

14 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอับรามหลังจากที่โลทได้แยกตัวออกไปจากเขาแล้วว่า "จงมองดูจากที่ที่เจ้ากำลังยืนอยู่นี้ไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก 15 แผ่นดินทั้งหมดที่เจ้าเห็นนี้ เราจะมอบให้แก่เจ้าและแก่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์ 16 เราจะทำให้บรรดาเชื้อสายของเจ้ามีมากเหมือนผงคลีแห่งแผ่นดิน ดังนั้นถ้าใครสามารถนับผงคลีแห่งแผ่นดินได้ ก็จะนับเชื้อสายของเจ้าได้อย่างนั้น 17 จงลุกขึ้น เดินไปให้ทั่วแผ่นดินนี้ ทั้งด้านยาว และด้านกว้าง เพราะว่าเราจะมอบแผ่นดินนี้ให้เจ้า" 18 ดังนั้นอับรามจึงได้ย้ายเต็นท์ของเขา และมาอาศัยอยู่ที่ต้นโอ๊คแห่งมัมเร ที่ซึ่งอยู่ในเฮโบรน และที่นั่นเขาได้สร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์

14

1 ในรัชสมัยของอัมราเฟลกษัตริย์เมืองชินาร์ อารีโอคกษัตริย์เมืองเอลลาสาร์ เคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์เมืองเอลาม และทิดาลกษัตริย์เมืองโกยิมนั้น 2 พวกเขาได้ทำสงครามต่อสู้กับเบ-รากษัตริย์เมืองโสโดม บิรชากษัตริย์เมืองโกโมราห์ ชินาบกษัตริย์เมืองอัดมาห์ เชเมเบอร์กษัตริย์เมืองเศโบยิม และกษัตริย์เมืองเบ-ลา(ถูกเรียกว่า โศอาร์ ด้วย) 3 ภายหลังกษัตริย์ทั้งห้าพระองค์เหล่านี้ได้ร่วมมือกันที่หุบเขาสิดดิม (ถูกเรียกว่าทะเลเกลือด้วย ) 4 พวกเขาได้รับใช้เคโดร์ลาโอเมอร์มาสิบสองปี แต่ในปีที่สิบสาม พวกเขาได้ก่อการกบฏ 5 จากนั้นในปีที่สิบสี่เคโดร์ลาโอเมอร์ และกษัตริย์ทั้งหลายผู้ที่อยู่ฝ่ายเขาได้มา และโจมตีคนเรฟาอิมที่เมืองอัชทาโรทคารนาอิม คนศูซิมที่เมืองฮาม คนเอมิมที่เมืองชาเวห์คีริยาธาอิม 6 และคนโฮรีที่ดินแดนภูเขาเสอีร์ของพวกเขา ไกลไปถึงเมืองเอลปารานซึ่งอยู่ใกล้ทะเลทราย 7 จากนั้นพวกเขาได้กลับมายังเมืองเอนมิสปัท (ถูกเรียกว่าคาเดชด้วย) และรบชนะดินแดนทั้งหมดของคนอามาเลข และคนอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ที่เมืองฮาซาโซนทามาร์ด้วย 8 จากนั้นกษัตริย์เมืองโสโดม กษัตริย์เมืองโกโมราห์ กษัตริย์เมืองอัดมาห์ กษัตริย์เมืองเศโบยิม และกษัตริย์เมืองเบ-ลา (ถูกเรียกว่า โศอาร์ด้วย) ได้ออกไปและเตรียมตัวทำสงครามในหุบเขาสิดดิม 9 ต่อสู้กับเคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์เมืองเอลาม ทิดาลกษัตริย์เมืองโกยิม อัมราเฟลกษัตริย์เมืองชินาร์ อารีโอคกษัตริย์เมืองเอลลาสาร์ รวมเป็นกษัตริย์สี่พระองค์ต่อสู้กับกษัตริย์ห้าพระองค์ 10 ขณะนั้นหุบเขาสิดดิมเต็มไปด้วยบ่อน้ำมันดิน เมื่อกษัตริย์เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์หนีไปนั้น พวกเขาได้ตกลงไปในบ่อนั้น เหล่าคนที่เหลือได้หนีไปยังภูเขา 11 ดังนั้นพวกข้าศึกได้ยึดเอาเสบียงอาหารและสิ่งของทั้งหมดของเมืองโสโดมและโกโมราห์ และไปตามทางของพวกเข้า 12 เมื่อพวกเขาจากไป พวกเขาได้จับตัวโลท หลานชายของอับรามซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองโสโดม และทรัพย์สินทั้งหมดของเขาไปด้วย

13 มีคนหนึ่งหนีมาได้และได้มาบอกอับราม คนฮีบรู เขาอยู่ที่ต้นโอ๊คที่เป็นของมัมเร คนอาโมไรต์ผู้ซึ่งเป็นพี่น้องของเอชโคล์ และอาเนอร์ คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นมิตรกับอับราม 14 ในขณะนั้นเมื่ออับรามได้ยินว่าพวกศัตรูได้จับตัวญาติของเขาไป เขาได้นำผู้ชายที่ได้รับการฝึกของเขา 318 คนผู้ซึ่งเกิดในบ้านของเขา และเขาได้ไล่ตามพวกเขาไปไกลถึงเมืองดาน 15 เขาได้แบ่งคนของเขาออกต่อสู้กับพวกเขาในเวลากลางคืน และโจมตีพวกเขา และไล่ตามพวกเขาไปไกลถึงเมืองโฮบาห์ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองดามัสกัส 16 จากนั้นเขาก็ได้นำสิ่งที่ถูกยึดคืนมาได้ทั้งหมด และนำญาติของเขาคือ โลท และทรัพย์สินของเขา รวมทั้งบรรดาผู้หญิงและคนอื่น ๆ กลับมาด้วย

17 หลังจากอับรามได้กลับมาจากการทำให้เคโดร์ลาโอเมอร์ และกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเขา พ่ายแพ้แล้ว กษัตริย์เมืองโสโดมได้ออกมาพบเขาที่หุบเขาชาเวห์ (ถูกเรียกว่า หุบเขากษัตริย์ ด้วย) 18 เมลคีเซเดค กษัตริย์เมืองซาเลมได้นำเอาขนมปังและเหล้าองุ่นออกมาให้ เขาเป็นปุโรหิตของพระเจ้าสูงสุด 19 เขาได้อวยพรอับรามว่า "พระพรจงมีแด่อับรามโดยพระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน 20 สรรเสริญพระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงทำให้ศัตรูของเจ้าอยู่ในมือของเจ้า" จากนั้นอับรามได้ถวายหนึ่งในสิบของทุกสิ่งให้แก่เมลคีเซเดค

21 กษัตริย์เมืองโสโดมได้ตรัสกับอับรามว่า "จงให้ประชาชนแก่ข้า และเอาสิ่งของไปสำหรับตัวเจ้าเอง" 22 อับรามได้พูดกับกษัตริย์เมืองโสโดมว่า "ข้าพระองค์ได้ยกมือของข้าพระองค์ต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดินว่า 23 ข้าพระองค์จะไม่เอาเส้นด้ายสักหนึ่งเส้น สายรัดรองเท้าสักหนึ่งเส้น หรือสิ่งใด ๆ ที่เป็นของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จะไม่สามารถตรัสได้ว่า 'เราได้ทำให้อับรามมั่งคั่ง' 24 ข้าพระองค์จะไม่เอาอะไรเลยยกเว้นสิ่งที่บรรดาคนหนุ่มทั้งหลายได้กินและส่วนแบ่งของพวกผู้ชายที่ไปกับข้าพระองค์ ขอให้อาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเร ได้รับส่วนของพวกเขาเถิด"

15

1 หลังจากสิ่งเหล่านี้แล้ว พระดำรัสของพระยาห์เวห์ได้มาถึงอับรามในนิมิต ตรัสว่า "อย่ากลัวเลยอับราม เราเป็นโล่ของเจ้าและบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ของเจ้า" 2 อับรามได้กล่าวว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงให้อะไรแก่ข้าพระองค์ ในเมื่อข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรชาย และผู้สืบทอดมรดกของบ้านข้าพระองค์ก็คือ เอลีเอเซอร์แห่งดามัสกัสหรือ? 3 อับรามได้ทูลอีกว่า "ตั้งแต่พระองค์ไม่ได้ให้ข้าพระองค์มีทายาท ดูเถิด พ่อบ้านของข้าพระองค์ก็คือผู้สืบทอดมรดกของข้าพระองค์" 4 จากนั้น ดูเถิดพระดำรัสของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเขา ตรัสว่า "คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้รับมรดกของเจ้า แต่ผู้ที่จะมาจากร่างกายของเจ้าจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า" 5 จากนั้นพระองค์ได้ทรงนำเขาออกไปข้างนอก และตรัสว่า "จงดูบนท้องฟ้า และนับดวงดาวทั้งหลาย ถ้าเจ้าสามารถนับพวกมันได้" จากนั้นพระองค์ได้ตรัสแก่เขาอีกว่า "ดังนั้นเชื้อสายของเจ้าก็จะเป็นอย่างนั้น" 6 เขาเชื่อพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงถือว่านี่คือความชอบธรรมของเขา

7 พระองค์ได้ตรัสแก่เขาว่า "เราคือพระยาห์เวห์ผู้ที่นำเจ้าออกมาจากเมืองเออร์ของคนเคลเดีย เพื่อที่จะให้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า" 8 เขาได้พูดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าพระองค์จะได้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์?" 9 จากนั้นพระองค์ได้ตรัสสั่งเขาว่า "จงนำวัวสาวอายุสามปีหนึ่งตัว แพะตัวเมียอายุสามปีหนึ่งตัว แกะตัวผู้อายุสามปีหนึ่งตัว นกเขาหนึ่งตัว และนกพิราบหนุ่มหนึ่งตัว มาให้เรา" 10 เขาได้นำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมาให้พระองค์ และตัดออกเป็นสองท่อน และวางแต่ละท่อนไว้ตรงข้ามกัน แต่เขาไม่ได้ตัดแบ่งพวกนก 11 เมื่อพวกนกที่ล่าเหยื่อบินโฉบลงมาบนเหล่าซากสัตว์ทั้งหลาย อับรามก็ได้ขับไล่พวกมันไป

12 จากนั้นเมื่อดวงอาทิตย์ได้กำลังคล้อยต่ำลง อับรามรู้สึกง่วงนอนและ ดูเถิด ความมืดที่ลึกล้ำ และน่ากลัวยิ่งได้มาปกคลุมเขาไว้ 13 พระยาห์เวห์จึงได้ตรัสกับอับรามว่า "จงรู้แน่เถิดว่าเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าจะเป็นคนแปลกหน้าในดินแดนที่ไม่ใช่ของพวกเขา และจะต้องถูกบังคับให้เป็นทาส และกดขี่ข่มเหงเป็นเวลาสี่ร้อยปี 14 เราจะพิพากษาชนชาตินั้นที่พวกเขารับใช้ และหลังจากนั้นพวกเขาจะออกมาพร้อมกับทรัพย์สินมากมาย 15 แต่เจ้าจะไปหาบรรพบุรุษของเจ้าอย่างสงบ และเจ้าจะถูกฝังเมื่ออายุมากแล้ว 16 ในชั่วอายุคนที่สี่พวกเขาจะมาที่นี่อีกครั้ง เพราะว่าความชั่วช้าของคนอาโมไรต์ยังไม่ถึงขีดสุด"

17 เมื่อดวงอาทิตย์ตก และมืดแล้ว ดูเถิด มีหม้อควันไฟและคบเพลิงได้ผ่านไประหว่างซากสัตว์เหล่านั้น 18 ในวันนั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำพันธสัญญากับอับราม ตรัสว่า " โดยนัยนี้ เรามอบแผ่นดินนี้แก่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้า จากแม่น้ำแห่งอียิปต์ถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส 19 แผ่นดินของคนเคไนต์ คนเคนัส คนขัดโมไนต์ 20 คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนเรฟาอิม 21 คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเกอร์กาชี และคนเยบุส "

16

1 ถึงวันนี้ ซารายภรรยาอับรามยังไม่ได้ให้กำเนิดบุตรแก่อับราม แต่นางมีคนใช้ผู้หญิงคนอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์ 2 ดังนั้นซารายจึงพูดกับอับรามว่า "ดูเถิด พระยาห์เวห์ไม่ทรงให้ฉันมีบุตร ไปเถิด ไปหลับนอนกับคนใช้ของฉัน บางทีฉันอาจจะมีบุตรโดยนาง" อับรามก็ได้ฟังเสียงของซาราย 3 นั่นเป็นเวลาสิบปีหลังจากที่อับรามได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินคานาอัน ที่ซาราย ภรรยาของอับรามได้ยกฮาการ์คนใช้ชาวอียิปต์ของนางให้เป็นภรรยาของอับราม 4 ดังนั้นเขาจึงได้หลับนอนกับฮาการ์ และนางได้ตั้งครรภ์ เมื่อนางรู้ว่านางตั้งครรภ์ นางจึงได้ดูหมิ่นนายหญิงของนาง 5 ซารายจึงได้พูดกับอับรามว่า "ความทุกข์นี้ตกแก่ฉันเพราะท่าน ฉันได้ยกสาวใช้ของฉันไปสู่อ้อมกอดของท่าน และเมื่อนางพบว่านางตั้งครรภ์ ฉันก็ถูกดูหมิ่นในสายตาของนาง ขอให้พระยาห์เวห์ตัดสินความระหว่างฉันกับท่าน" 6 แต่อับรามได้พูดกับซารายว่า "นี่แน่ะ หญิงคนใช้ของเจ้าอยู่ในอำนาจของเจ้า จงกระทำกับนางในสิ่งที่เจ้าเห็นว่าดีที่สุด" ดังนั้นซารายจึงได้จัดการกับนางอย่างหนัก และนางก็ได้หนีไปจากเธอ

7 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้พบนางที่บ่อน้ำพุในถิ่นทุรกันดาร บ่อน้ำพุที่อยู่บนทางไปเมืองชูร์ 8 ท่านได้ถามว่า "ฮาการ์ คนใช้ของซาราย เจ้ามาจากไหน และเจ้ากำลังจะไปไหน?" นางจึงตอบว่า "ฉันกำลังหนีจากนายหญิงของฉัน ซาราย" 9 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้พูดกับนางว่า "จงกลับไปหานายหญิงของเจ้า และยอมอยู่ใต้อำนาจของนาง" 10 จากนั้นทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้พูดกับนางว่า "เราจะเพิ่มเชื้อสายของเจ้าอย่างทวีคูณ ดังนั้นพวกเขาจะมีจำนวนมากมายเกินกว่าจะนับได้" 11 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์นั้นยังได้พูดกับนางอีกด้วยว่า "ดูเถิด เจ้าตั้งครรภ์ และจะให้กำเนิดบุตรชาย และเจ้าจะเรียกชื่อของเขาว่า อิชมาเอล เพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงสดับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า 12 เขาจะเป็นลาป่าของผู้ชาย เขาจะเป็นปรปักษ์ต่อสู้กับผู้ชายทุกคน และผู้ชายทุกคนจะเป็นปรปักษ์กับเขา และเขาจะอาศัยแยกออกจากพี่น้องทั้งหมดของเขา" 13 จากนั้นนางได้เรียกนามนี้ต่อพระยาห์เวห์ผู้ที่ได้ตรัสแก่นางว่า "พระองค์คือพระเจ้าผู้ที่ทรงเห็นข้าพระองค์" เพราะนางได้พูดว่า "แม้ว่าหลังจากที่พระองค์ได้ทรงเห็น ข้าพระองค์ยังเห็นได้จริง ๆ หรือ?" 14 ดังนั้นบ่อน้ำนั้นจึงถูกเรียกชื่อว่า เบเออลาไฮรอย ดูเถิดมันตั้งอยู่ระหว่างคาเดชกับเบเรด

15 ฮาการ์ได้ให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราม และอับรามได้ตั้งชื่อบุตรชายของเขาที่เกิดจากฮาการ์ว่า อิชมาเอล 16 อับรามมีอายุได้แปดสิบหกปี เมื่อฮาการ์ได้ให้กำเนิดอิชมาเอลแก่อับราม

17

1 เมื่ออับรามอายุได้เก้าสิบเก้าปี พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏแก่อับราม และตรัสกับเขาว่า "เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จงดำเนินต่อหน้าเรา และปราศจากที่ตำหนิ 2 จากนั้นเราจะยืนยันพันธสัญญาของเราระหว่างเรากับเจ้า และจะเพิ่มทวีให้แก่เจ้าอย่างล้นเหลือ" 3 อับรามได้โน้มตัวลงหน้าจรดพื้น และพระเจ้าได้ทรงสนทนากับเขา ตรัสว่า 4 "สำหรับเรา นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะเป็นบิดาของชนชาติมากมาย 5 อับรามจะไม่ใช่ชื่อของเจ้าอีกต่อไป แต่ชื่อของเจ้าจะเป็นอับราฮัม เพราะว่าเราจะให้เจ้าเป็นบิดาของชนชาติมากมาย 6 เราจะทำให้เจ้าทวีเพิ่มขึ้นเหลือคณานับ และเราจะให้ชนชาติทั้งหลายของเจ้าเกิดขึ้น และกษัตริย์หลายพระองค์จะออกมาจากเจ้า 7 เราจะตั้งพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าที่เกิดมาภายหลังเจ้า ตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเขา เป็นพันธสัญญานิรันดร์ ที่จะเป็นพระเจ้าของเจ้า และของเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าที่เกิดมาภายหลังเจ้า 8 เราจะมอบแผ่นดินที่ซึ่งเจ้าได้อาศัยอยู่แก่เจ้า และเชื้อสายทั้งหลายที่เกิดมาภายหลังเจ้า คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา"

9 จากนั้นพระเจ้าได้ตรัสแก่อับราฮัมว่า "สำหรับเจ้า เจ้าต้องรักษาพันธสัญญาของเรา เจ้าและเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าที่เกิดมาภายหลังเจ้า ตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเขา 10 นี่คือพันธสัญญาของเราซึ่งเจ้าต้องรักษาระหว่างเรากับเจ้าและเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าที่เกิดมาภายหลังเจ้า คือผู้ชายทุกคนท่ามกลางเจ้าต้องเข้าสุหนัต 11 เจ้าต้องเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาต และนี่จะเป็นหมายสำคัญของพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า 12 ผู้ชายทุกคนท่ามกลางเจ้าซึ่งมีอายุแปดวันต้องเข้าสุหนัตตลอดทุกชั่วอายุชาติพันธ์ุของเจ้า นี่รวมถึงผู้ชายที่เกิดในครัวเรือนของเจ้า และผู้ชายที่ถูกซื้อมาจากคนต่างชาติด้วยเงิน ผู้ซึ่งไม่ใช่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้า 13 ผู้ชายซึ่งเกิดในครัวเรือนของเจ้า และผู้ชายที่ถูกซื้อมาด้วยเงินของเจ้าต้องเข้าสุหนัต ดังนั้นพันธสัญญาของเราจะอยู่ในเนื้อหนังของเจ้า เป็นพันธสัญญานิรันดร์ 14 ผู้ชายคนใดที่ไม่เข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาตจะถูกตัดออกจากชนชาติของเขา เขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา"

15 พระเจ้าได้ตรัสแก่อับราฮัมว่า "สำหรับซาราย ภรรยาของเจ้า อย่าเรียกนางว่าซารายอีกต่อไป แต่ชื่อของนางจะเป็นซาราห์ 16 เราจะอวยพรนาง และเราจะให้บุตรชายคนหนึ่งจากนางแก่เจ้า เราจะอวยพรนาง และนางจะเป็นมารดาของชนชาติทั้งหลาย กษัตริย์ทั้งหลายของปวงชนจะมาจากนาง" 17 จากนั้นอับราฮัมได้ก้มลง หน้าจรดพื้นดิน และหัวเราะ และพูดในใจของเขาว่า "ผู้ชายที่อายุหนึ่งร้อยปีจะมีบุตรได้หรือ? ซาราห์ซึ่งมีอายุเก้าสิบปีจะให้กำเนิดบุตรชายได้หรือ?" 18 อับราฮัมได้ทูลพระเจ้าว่า "โอ ขอให้อิชมาเอลมีชีวิตอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์" 19 พระเจ้าได้ตรัสว่า "ไม่ใช่เช่นนั้น แต่ซาราห์ ภรรยาของเจ้าจะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า และเจ้าต้องตั้งชื่อเขาว่า อิสอัค เราจะตั้งพันธสัญญาของเรากับเขาเป็นพันธสัญญานิรันดร์กับเชื้อสายทั้งหลายของเขาที่เกิดภายหลังเขา 20 สำหรับอิชมาเอลนั้น เราได้ฟังเจ้า ดูเถิดเราจะอวยพรเขา และจะทำให้เขามีเพิ่มมากขึ้น และจะทวีคูณอย่างมากมายแก่เขา เขาจะเป็นบิดาของผู้นำสิบสองเผ่า และเราจะทำให้เขาเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ 21 แต่พันธสัญญาของเรา เราจะตั้งไว้กับอิสอัคผู้ซึ่งซาราห์จะให้กำเนิดแก่เจ้า ในเวลานี้ ในปีหน้า "

22 เมื่อพระองค์ทรงกล่าวกับเขาเสร็จแล้ว พระเจ้าจึงไปจากอับราฮัม 23 จากนั้นอับราฮัมได้นำอิชมาเอล บุตรชายของเขา และคนเหล่านั้นทั้งหมดที่เกิดในครัวเรือนของเขา และคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ถูกซื้อมาด้วยเงินของเขา ผู้ชายทุกคนในท่ามกลางครัวเรือนของอับราฮัม ให้มาเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาตในวันเดียวกันที่พระเจ้าได้ตรัสแก่เขา 24 อับราฮัมอายุได้เก้าสิบเก้าปีเมื่อเขาเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาต 25 อิชมาเอลบุตรของเขาอายุได้สิบสามปีเมื่อเขาเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาต 26 ในวันเดียวกันนั้นทั้งอับราฮัม และอิชมาเอลบุตรชายของเขาได้เข้าสุหนัต 27 ผู้ชายทั้งหมดในครัวเรือนของเขาได้เข้าสุหนัตกับเขา รวมทั้งคนเหล่านั้นที่เกิดในครัวเรือนนั้น และคนเหล่านั้นที่ถูกซื้อมาจากคนต่างชาติด้วยเงิน

18

1 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏแก่อับราฮัมที่หมู่ต้นโอ๊คของมัมเร ในเวลาอากาศร้อนของวัน ในขณะที่เขานั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์ 2 เขาเงยหน้าขึ้นมองดู นี่แน่ะเขาเห็นผู้ชายสามคนกำลังยืนอยู่ตรงข้ามกับเขา เมื่ออับราฮัมได้เห็นพวกเขา อับราฮัมได้วิ่งจากประตูเต็นท์ไปพบพวกเขา และโน้มตัวลงถึงดิน 3 เขาได้พูดว่า "นายท่าน ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ขออย่าได้ผ่านไป และละทิ้งผู้รับใช้ของท่าน 4 ขอให้ข้าพเจ้าได้นำเอาน้ำมาให้ท่านสักเล็กน้อย ล้างเท้าของท่าน ให้ท่านได้พักผ่อนใต้ต้นไม้ 5 ให้ข้าพเจ้านำอาหารสักเล็กน้อยมาให้ ดังนั้นท่านจะได้กระทำให้ท่านเองสดชื่นขึ้น หลังจากนั้นท่านค่อยเดินทางต่อไป เพราะท่านได้แวะมาเยี่ยมเยียนผู้รับใช้ของท่าน" พวกเขาตอบว่า "จงทำตามที่เจ้าพูดเถิด" 6 แล้วอับราฮัมได้รีบเข้าไปในเต็นท์ ไปหาซาราห์ และพูดว่า "รีบหน่อย เอาแป้งอย่างดีสามถัง นวดและทำขนมปัง" 7 จากนั้นอับราฮัมได้วิ่งไปที่ฝูงสัตว์ และนำเอาลูกวัวที่ยังอ่อนและดี มาให้คนใช้ และเขาได้รีบที่จะจัดเตรียมทำเป็นอาหาร 8 เขาได้เอาเนย และน้ำนม และลูกวัวที่ได้จัดทำไว้แล้ว และวางอาหารนั้นต่อหน้าพวกเขา และเขาได้ยืนอยู่ข้างพวกเขาใต้ต้นไม้ในขณะที่พวกเขากินอาหาร

9 พวกเขาได้พูดกับเขาว่า "ซาราห์ ภรรยาของเจ้าอยู่ไหน?" เขาตอบว่า "ที่นั่น อยู่ในเต็นท์" 10 เขาได้พูดว่า "แน่ทีเดียว เราจะกลับมาหาเจ้าในฤดูใบ้ผลิและดูเถิดซาราห์ ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชาย" ซาราห์กำลังฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ซึ่งอยู่ข้างหลังเขา 11 ขณะนั้นอับราฮัมและซาราห์แก่ มีอายุมากแล้ว และซาราห์ก็มีอายุมากเกินกว่าที่จะมีบุตรได้ 12 ดังนั้นซาราห์จึงหัวเราะกับตัวเองและพูดกับตัวเองว่า "หลังจากที่ฉันหมดแรงแล้ว และเจ้านายของฉันก็แก่แล้ว ฉันจะมีความยินดีในเรื่องนี้อีกหรือ?" 13 พระยาห์เวห์จึงตรัสแก่อับราฮัมว่า "ทำไมซาราห์หัวเราะและพูดว่า 'ฉันจะให้กำเนิดบุตรคนหนึ่งจริงหรือ ในเมื่อฉันแก่แล้ว?' 14 มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับพระยาห์เวห์หรือ? ในเวลาที่เราได้กำหนด ในฤดูใบไม้ผลิ เราจะกลับมาหาเจ้า ประมาณเวลานี้ ในปีหน้าซาราห์จะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง" 15 ซาราห์ได้ปฏิเสธและพูดว่า "ข้าพระองค์ไม่ได้หัวเราะ" เพราะนางหวาดกลัว พระองค์ทรงตอบว่า "อย่าเลย เจ้าได้หัวเราะ"

16 แล้วผู้ชายเหล่านั้นจึงได้ลุกขึ้นจากไป และมองลงไปที่เมืองโสโดม อับราฮัมไปกับพวกเขาเพื่อมองดูพวกเขาไปตามทาง 17 แต่พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "ควรหรือที่เราจะปิดบังอับราฮัมในสิ่งที่เราจะทำ 18 เพราะว่าอับราฮัมจริง ๆ แล้วจะเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจมาก และชนชาติทั้งหมดของแผ่นดินจะได้รับพรเพราะเขา? 19 เพราะว่าเราได้เลือกเขา ดังนั้นเขาจะสั่งสอนบุตรทั้งหลายของเขา และครัวเรือนของเขาที่จะมาภายหลังเขาให้ถือรักษาทางของพระยาห์เวห์ เพื่อกระทำความชอบธรรมและยุติธรรม ดังนั้นพระยาห์เวห์จะได้ประทานให้แก่อับราฮัมตามที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขาแล้วนั้น" 20 จากนั้นพระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "เพราะว่ามีเสียงเรียกร้องกล่าวโทษเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์อย่างมากมาย และเพราะว่าความบาปของพวกเขานั้นร้ายแรง 21 บัดนี้เราจะลงไปที่นั่นและดูตามเสียงเรียกร้องกล่าวโทษเมืองนั้นที่มาถึงเรา ดูว่าพวกเขาได้ทำบาปอย่างนั้นจริงไหม ถ้าไม่ เราก็จะรู้"

22 ดังนั้นพวกผู้ชายได้หันไปจากที่นั่น และมุ่งตรงไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังคงยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 23 จากนั้นอับราฮัมได้เข้ามาใกล้และทูลถามว่า "พระองค์จะทรงทำลายล้างคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรมหรือ? 24 บางทีอาจจะมีผู้ชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองนั้น พระองค์จะทรงทำลายเมืองนั้น และจะไม่ละเว้นเมืองนั้นเพราะคนชอบธรรมห้าสิบคนที่อยู่ที่นั่นหรือ? 25 ขอให้มันอยู่ห่างไกลจากพระองค์ที่จะทรงกระทำสิ่งนั้นคือ การฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม ดังนั้นควรหรือที่คนชอบธรรมจะถูกกระทำแบบเดียวกันกับคนอธรรม ขอให้มันอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด ผู้พิพากษาของแผ่นดินทั้งหมดจะไม่ทำอะไรที่ยุติธรรมหรือ?" 26 พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "หากเราพบคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองโสโดม เราจะละเว้นเมืองนั้นทั้งเมืองเพื่อเห็นแก่พวกเขา" 27 อับราฮัมได้ตอบและทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระองค์ขอพระกรุณาที่จะทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ แม้ว่าข้าพระองค์จะเป็นเพียงธุลี และขี้เถ้าว่า 28 ถ้าหากมีคนชอบธรรมน้อยกว่าห้าสิบคนไปห้าคน พระองค์จะทรงทำลายเมืองทั้งเมืองเพราะขาดไปห้าคนนั้นหรือไม่? " พระองค์ได้ตรัสว่า "เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น ถ้าเราพบสี่สิบห้าคนที่นั่น" 29 เขาได้พูดกับพระองค์อีกครั้ง และได้ทูลว่า "และถ้าพบสี่สิบคนที่นั่นเล่า" พระองค์ได้ตรัสตอบว่า "เราก็จะไม่ทำลายมันเพราะเห็นแก่สี่สิบคนนั้น" 30 เขาได้ทูลว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงพระกรุณาอย่าทรงกริ้วเลย ข้าพระองค์ขอทูลว่า บางทีอาจจะพบสามสิบคนที่นั่น" พระองค์ตรัสตอบว่า "เราจะไม่ทำลายมันถ้าเราพบสามสิบคนที่นั่น" 31 เขาได้ทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระองค์ขอทรงพระกรุณาที่จะทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ บางทีอาจจะพบยี่สิบคนที่นั่น" พระองค์ตรัสตอบว่า "เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นเพราะเห็นแก่ยี่สิบคนนั้น" 32 เขาได้ทูลว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงพระกรุณาอย่าทรงกริ้ว และข้าพระองค์ขอทูลครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บางทีอาจจะพบสิบคนที่นั่น" แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า "เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นเพราะเห็นแก่สิบคนนั้น" 33 พระยาห์เวห์ได้เสด็จไปทันทีเมื่อพระองค์เสร็จสิ้นการพูดกับอับราฮัม และอับราฮ้มก็ได้กลับไปบ้าน

19

1 ทูตสวรรค์สององค์ได้มาถึงเมืองโสโดมในตอนเย็น ขณะที่โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม โลทจึงเห็นพวกเขา จึงลุกขึ้นไปพบพวกเขา และโน้มตัวลงหน้าถึงพื้น 2 เขาพูดว่า "กรุณาเถอะ เจ้านายของขัาพเจ้า ข้าพเจ้าขอเชิญท่านแวะไปยังบ้านผู้รับใช้ของท่าน พักค้างคืน และล้างเท้าของท่าน จากนั้นท่านสามารถตื่นขึ้นแต่เช้า และเดินทางต่อไป" พวกเขาตอบว่า "ไม่หรอก เราจะพักค้างคืนที่ลานเมือง" 3 แต่เขาพยายามคะยั้นคะยอมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ไปกับเขา และเข้าไปในบ้านของเขา เขาได้จัดเตรียมอาหาร และปิ้งขนมปังไร้เชื้อ และพวกเขาก็ได้กิน 4 แต่ก่อนที่พวกเขาจะนอนลง พวกผู้ชายของเมืองนั้น พวกผู้ชายของเมืองโสโดมได้ล้อมบ้านนั้นไว้ ทั้งคนหนุ่มและคนแก่ ผู้ชายทั้งหมดจากทุกซอกทุกซอยของเมืองนั้น 5 พวกเขาร้องเรียกหาโลท และได้พูดกับเขาว่า "พวกผู้ชายที่ได้เข้ามาหาเจ้าคืนนี้อยู่ไหน? จงนำพวกเขาออกมาให้เรา พวกเราจะหลับนอนกับพวกเขา"

6 โลทจึงได้ออกไปนอกประตู ไปหาพวกเขา และได้ปิดประตูหลังจากที่เขาออกไปแล้ว 7 เขาได้พูดว่า "ข้าพเจ้าขอร้องพวกท่าน พี่น้องของข้าพเจ้า อย่ากระทำชั่วร้ายอย่างนั้นเลย 8 ดูเถิด ข้าพเจ้ามีบุตรสาวสองคนผู้ที่ไม่เคยหลับนอนกับผู้ชายคนใดมาก่อน ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ข้าพเจ้าจะนำพวกเขาออกมาให้พวกท่าน และพวกท่านจะทำอะไรกับพวกเขาก็แล้วแต่พวกท่าน เพียงแต่อย่าทำอะไรกับผู้ชายเหล่านี้ เพราะว่าพวกเขาได้มาอยู่ใต้ร่มเงาหลังคาบ้านของข้าพเจ้า" 9 พวกเขาพูดว่า "จงถอยไป" พวกเขาพูดอีกด้วยว่า "คนนี้มาที่นี่เพื่อที่จะอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนคนต่างชาติคนหนึ่ง แต่บัดนี้เขาได้กลายเป็นผู้พิพากษาเรา บัดนี้พวกเราจะจัดการอย่างที่เลวร้ายยิ่งแก่เจ้ามากกว่าที่จะกระทำกับพวกเขา" พวกเขาได้ผลักผู้ชายคนนั้นอย่างแรง คือสู้กับโลท และเข้ามาใกล้ จวนที่จะพังประตูบ้านลง 10 แต่พวกผู้ชายนั้นได้ยื่นมือออกไปดึงโลทกลับเข้ามาในบ้านและปิดประตู 11 จากนั้นพวกแขกของโลทได้จู่โจมอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ต่อพวกผู้ชายที่อยู่นอกประตูบ้าน ทั้งคนหนุ่มและคนแก่ ดังนั้นพวกเขาจึงอ่อนแรงลงเมื่อพวกเขาได้พยายามเข้ามาที่ประตูบ้าน

12 แล้วพวกผู้ชายนั้นได้พูดกับโลทว่า"เจ้ามีใครอยู่ที่นี่อีกไหม? บุตรเขยทั้งหลาย บุตรชายและบุตรสาวทั้งหลาย และใครก็ตามที่เจ้ามีในเมืองนี้ จงพาพวกเขาออกจากที่นี่ 13 เพราะว่าเราจะทำลายสถานที่นี้เพราะว่าการเรียกร้องกล่าวหาเรื่องนี้ดังมากไปถึงพระพักตร์พระยาห์เวห์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงส่งพวกเรามาทำลายเมืองนี้" 14 โลทได้ออกไปพูดกับพวกบุตรเขยของเขา พวกผู้ชายที่ได้สัญญาว่าจะแต่งงานกับบุตรสาวทั้งหลายของเขา และพูดว่า "เร็วๆ รีบออกไปจากที่นี่ เพราะพระยาห์เวห์กำลังจะทรงทำลายเมืองนี้" แต่สำหรับพวกบุตรเขยของเขา เขาดูเหมือนพูดเรื่องตลก

15 เมื่อใกล้จะสว่าง เหล่าทูตสวรรค์ได้เร่งโลท กล่าวว่า "จงไปเถิด นำภรรยาของเจ้าและบุตรสาวสองคนที่อยู่ที่นี่ เพื่อที่จะไม่ถูกทำลายไปกับการลงโทษเมืองนี้" 16 แต่เขาลังเล พวกผู้ชายนั้นจึงจับมือเขา และมือของภรรยาของเขา และมือของบุตรสาวทั้งสองของเขาเพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงพระกรุณาต่อเขา พวกเขาได้นำเขาทั้งหลาย และออกไปนอกเมืองนั้น 17 เมื่อพวกเขาได้นำเขาทั้งหลายออกมา ผู้ชายคนหนึ่งได้พูดว่า "จงวิ่งไปเพื่อเอาชีวิตรอด อย่าหันกลับมามอง หรือหยุดพักที่ใดในที่ราบนั้น จงหนีไปยังภูเขาทั้งหลายเพื่อที่พวกเจ้าจะไม่ถูกกวาดล้าง"

18 โลทได้พูดกับพวกเขาว่า "อย่าเลย กรุณาเถอะ 19 เจ้านายของข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของท่านได้เป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่านแล้ว และท่านได้สำแดงความเมตตาที่ยิ่งใหญ่แก่ข้าพเจ้าในการช่วยชีวิตของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถหนีไปยังภูเขาทั้งหลายได้ทันเพราะภัยพิบัติจะถึงข้าพเจ้าเสียก่อน และข้าพเจ้าจะตาย 20 ดูเถิดเมืองนั้น อยู่ที่นั่น อยู่ใกล้พอที่จะหนีไปที่นั่น และเป็นเมืองเล็ก ๆ กรุณาอนุญาตให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่นเถิด (ไม่ใช่เมืองเล็กหรือ?) และชีวิตของข้าพเจ้าจะปลอดภัย" 21 เขาได้พูดกับท่านว่า "ตกลง เรายอมรับคำร้องขอนี้ด้วย ที่เราจะไม่ทำลายเมืองที่เจ้าได้กล่าวถึง 22 เร็วเถิด จงหนีไปที่นั่น เพราะเราจะไม่สามารถทำอะไรได้จนกว่าเจ้าจะไปถึงที่นั่น" ด้วยเหตุนี้เมืองนั้นจึงถูกเรียกว่า โศอาร์ 23 ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือแผ่นดินเมื่อโลทได้ไปถึงเมืองโศอาร์

24 จากนั้นพระยาห์เวห์ทรงได้ส่งกำมะถันและไฟจากท้องฟ้าลงมาเหนือเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ 25 พระองค์ทรงได้ทำลายเมืองเหล่านั้น และที่ราบทั้งหมด และผู้ที่อยู่ในเมืองเหล่านั้นทั้งหมด และพืชทั้งหลายที่เติบโตบนพื้นดิน 26 แต่ภรรยาของโลทที่อยู่ข้างหลังเขา ได้หันกลับไปมองดู และนางได้กลายเป็นเสาเกลือ 27 อับราฮัมได้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และได้ไปที่ที่เขาได้ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 28 เขาได้มองลงไปยังเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์ และแผ่นดินของที่ราบนั้นทั้งหมด เขาได้มองดู และนี่แน่ะ มีควันพลุ่งขึ้นจากแผ่นดินเหมือนควันของเตาเผา

29 ดังนั้นเมื่อพระเจ้าทรงได้ทำลายเมืองทั้งหลายของที่ราบ พระเจ้าทรงได้ระลึกถึงอับราฮัม พระองค์ทรงได้ส่งโลทออกไปพ้นจากการทำลายล้างเมื่อพระองค์ทรงได้ทำลายเมืองทั้งหลายที่โลทได้อาศัยอยู่ 30 โลทจึงได้ออกไปจากเมืองโศอาร์ไปอาศัยอยู่บนภูเขากับบุตรสาวทั้งสองคนเพราะเขาหวาดกลัวที่จะอาศัยอยู่ในเมืองโศอาร์ เหตุนี้เขาจึงได้อาศัยอยู่ในถ้ำ เขาและบุตรสาวทั้งสอง

31 บุตรสาวคนโตได้พูดกับน้องสาวว่า "บิดาของเราอายุมากแล้ว และไม่มีผู้ชายคนใดที่จะมาหลับนอนกับเราตามธรรมเนียมประพณีของโลก 32 มาเถิด ให้เราชักชวนบิดาดื่มเหล้าองุ่น และเราจะหลับนอนกับเขา เพื่อที่จะขยายพงศ์พันธ์ุของบิดาเรา" 33 ดังนั้นพวกเขาจึงให้บิดาของพวกเขาดื่มเหล้าองุ่นในคืนนั้น จากนั้นบุตรสาวคนโตได้เข้าไปหลับนอนกับบิดาของนาง เขาไม่รู้ว่านางได้เข้ามานอนเมื่อใด หรือนางได้ลุกออกไปเมื่อใด 34 ในวันต่อมาบุตรสาวคนโตได้พูดกับน้องสาวว่า "จงฟัง เมื่อคืนนี้ฉันได้หลับนอนกับบิดาของฉัน ให้เราชักชวนเขาดื่มเหล้าองุ่นอีกคืนนี้ และเจ้าควรเข้าไปและหลับนอนกับเขา ดังนั้นเราจะขยายพงศ์พันธ์ุของบิดา" 35 ดังนั้นพวกเขาจึงให้บิดาของพวกเขาดื่มเหล้าองุ่นในคืนนั้นด้วย และบุตรสาวคนน้องก็ได้เข้าไปและหลับนอนกับเขา เขาไม่รู้ว่านางได้เข้ามานอนเมื่อใด หรือนางได้ลุกออกไปเมื่อใด 36 นี่แหละบุตรสาวทั้งสองของโลทก็ได้ตั้งครรภ์โดยบิดาของพวกเขา 37 บุตรสาวคนแรกได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง และได้ตั้งชื่อเขาว่า โมอับ เขาได้เป็นบรรพบุรุษของคนโมอับทุกวันนี้ 38 สำหรับบุตรสาวคนน้อง นางก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง และได้ตั้งชื่อเขาว่า เบนอัมมี เขาได้เป็นบรรพบุรุษของคนอัมโมนทุกวันนี้

20

1 อับราฮัมได้เดินทางจากที่นั่นไปยังแผ่นดินเนเกบ และได้อาศัยอยู่ระหว่างเมืองคาเดชกับเมืองชูร์ เขาได้เป็นคนต่างชาติอาศัยอยู่ในเมืองเกราร์ 2 อับราฮัมได้พูดเกี่ยวกับซาราห์ภรรยาของเขาว่า "นางคือน้องสาวของฉัน" ดังนั้นอาบีเมเลค กษัตริยฺ์แห่งเมืองเกราร์จึงได้ส่งคนของพระองค์มาและนำซาราห์ไป

3 แต่พระเจ้าได้เสด็จมาหาอาบีเมเลคในพระสุบินในคืนนั้น และได้ตรัสกับเขาว่า "ดูเถิด เจ้าเป็นผู้ชายที่ตายแล้ว เพราะผู้หญิงผู้ที่เจ้าได้เอามานั้น นางเป็นภรรยาของผู้ชายคนหนึ่ง" 4 ขณะนั้นอาบีเมเลคยังไม่ได้เข้าใกล้นาง และพระองค์จึงทูลว่า "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงประหารชนชาติที่ชอบธรรมหรือ? 5 เขาเองไม่ใช่หรือที่พูดกับข้าพระองค์ว่า 'นางคือน้องสาวของฉัน'? แม้กระทั่งตัวนางเองก็ได้พูดว่า 'เขาคือพี่ชายของฉัน' ข้าพระองค์ได้กระทำสิ่งนี้ด้วยความซื่อสัตย์จากใจของข้าพระองค์ และมือที่ไร้เดียงสาของข้าพระองค์" 6 พระเจ้าจึงได้ตรัสแก่พระองค์ในพระสุบินว่า "ถูกต้อง เรารู้ด้วยว่าเจ้าได้ทำสิ่งนี้ด้วยความซื่อสัตย์จากใจของเจ้า เราจึงได้ป้องกันเจ้าจากการทำบาปต่อต้านเราด้วย ดังนั้นเราจึงไม่ได้อนุญาตให้เจ้าแตะต้องนาง 7 ดังนั้นจงคืนภรรยาของเขาไป เพราะว่าเขาเป็นผู้เผยพระวจนะ เขาจะอธิษฐานเผื่อเจ้า และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ถ้าเจ้าไม่คืนนางไป จงรู้เถิดว่าเจ้า และคนทั้งหมดที่เป็นของเจ้าจะตายอย่างแน่นอน"

8 อาบีเมเลคทรงตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ และทรงได้เรียกข้าราชการทั้งหมดของพระองค์เข้ามาหาพระองค์เอง พระองค์ทรงได้บอกถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่พวกเขา และพวกผู้ชายทั้งหลายก็หวาดกลัว 9 จากนั้นอาบีเมเลคทรงได้เรียกอับราฮัมเข้ามาเฝ้า และได้ตรัสกับเขาว่า "เจ้าได้ทำอะไรกับพวกเรา? เราได้กระทำบาปต่อสู้กับเจ้าอย่างไร เจ้าได้นำความบาปที่ยิ่งใหญ่มาบนเรา และบนอาณาจักรของเรา? เจ้าได้กระทำต่อเราในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ" 10 อาบีเมเลคได้ตรัสกับอับราฮัมว่า "อะไรที่กระตุ้นเจ้าให้ทำสิ่งนี้?" 11 อับราฮัมได้ทูลว่า "เพราะว่าข้าพระองค์ได้คิดว่า 'แน่ทีเดียว ในสถานที่นี้คงไม่มีใครเกรงกลัวพระเจ้า และพวกเขาจะฆ่าข้าพระองค์เพราะภรรยาของข้าพระองค์' 12 นอกจากนั้น ที่จริงแล้วนางคือน้องสาวของข้าพระองค์ บุตรสาวของบิดาของข้าพระองค์ แต่ไม่ใช่บุตรสาวของมารดาของข้าพระองค์ และนางก็ได้กลายเป็นภรรยาของข้าพระองค์ 13 เมื่อพระเจ้าทรงได้กระทำให้ข้าพระองค์ออกจากบ้านของบิดาของข้าพระองค์ และเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ข้าพระองค์ได้พูดกับนางว่า 'เจ้าต้องแสดงถึงความสัตย์ซื่อนี้เช่นภรรยาของฉัน คือในทุกแห่งที่เราจะไป ให้พูดถึงฉันว่า 'เขาคือพี่ชายของฉัน'"

14 จากนั้นอาบีเมเลคทรงได้นำเอา แกะ และวัว ข้าทาสชายหญิงจำนวนหนึ่ง และมอบพวกเขาแก่อับราฮัม จากนั้นพระองค์ทรงได้คืนซาราห์ ภรรยาของอับราฮัมให้กับเขา 15 อาบีเมเลคได้ตรัสว่า "ดูเถิด แผ่นดินของเราอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้ว จงเลือกตั้งรกรากตามที่เจ้าพอใจ" 16 ส่วนซาราห์ พระองค์ตรัสว่า "นี่แน่ะ เราได้ให้เงินหนึ่งพันแผ่นแก่พี่ของเจ้า เป็นค่าทำขวัญเจ้า ท่ามกลางสายตาคนทั้งหลายที่อยู่กับเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวง เจ้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์" 17 จากนั้นอับราฮัมได้อธิษฐานต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงเยียวยารักษาอาบีเมเลค ภรรยาของเขา และทาสผู้หญิงของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถให้กำเนิดบุตรได้ 18 เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงได้ทำให้ผู้หญิงทั้งหมดของครัวเรือนของอาบีเมเลคเป็นหมันอย่างสมบูรณ์ เพราะเรื่องของซาราห์ ภรรยาของอับราฮัม

21

1 พระยาห์เวห์ทรงเอาใจใส่ซาราห์ ดังที่พระองค์ได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงกระทำ และพระยาห์เวห์ทรงกระทำแก่ซาราห์เหมือนดังที่พระองค์ทรงได้สัญญาไว้ 2 ซาราห์ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งให้แก่อับราฮัมในวัยชราของเขา ในเวลาที่กำหนดไว้ตามที่พระเจ้าได้ตรัสแก่เขาแล้วนั้น 3 อับราฮัมตั้งชื่อบุตรชายของเขา บุตรคนเดียวที่ได้เกิดมาให้เขา ผู้ที่ซาราห์ให้กำเนิดแก่เขา คือ อิสอัค 4 อับราฮัมได้ทำสุหนัตบุตรชายของเขา คือ อิสอัค เมื่อเขาอายุได้แปดวันตามที่พระเจ้าทรงมีพระบัญชา 5 อับราฮัมมีอายุได้หนึ่งร้อยปีเมื่อบุตรชายของเขา คือ อิสอัคได้กำเนิดมาให้เขา 6 ซาราห์พูดว่า "พระเจ้าทรงได้ทำให้ฉันหัวเราะ นั่นคือทุกคนที่ได้ยินจะหัวเราะกับฉัน" 7 นางจึงพูดอีกด้วยว่า "ใครควรจะพูดแก่อับราฮัมว่าซาราห์ควรเลี้ยงเด็ก และฉันยังให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เขาในวัยชราของเขา"

8 เด็กคนนั้นได้เติบโตและหย่านม และอับราฮัมจึงจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่ในวันที่อิสอัคหย่านม 9 เมื่อซาราห์ได้เห็นบุตรชายของฮาการ์ คนอียิปต์ผู้ซึ่งนางได้ให้กำเนิดแก่อับราฮัมที่กำลังล้อเลียน 10 ดังนั้นนางจึงพูดกับอับราฮัมว่า "จงขับไล่นางทาสคนนี้และบุตรชายของนางไปเสีย เพราะบุตรชายของนางทาสคนนี้จะไม่เป็นผู้สืบทอดมรดกกับบุตรชายของฉันกับอิสอัค" 11 สิ่งนี้ทำให้อับราฮัมเป็นทุกข์ใจอย่างมากเพราะบุตรชายของเขา 12 แต่พระเจ้าได้ตรัสแก่อับราฮัมว่า "อย่าเป็นทุกข์เพราะเด็กคนนั้นเลย และเพราะหญิงรับใช้ของเจ้า จงฟังคำของนางในทุกสิ่งที่นางพูดแก่เจ้าในเรื่องนี้ เพราะโดยทางอิสอัค เชื้อสายของเจ้าจะมีชื่อเสียง 13 เราจะทำให้บุตรชายของหญิงรับใช้คนนั้นเป็นชาติหนึ่งด้วย เพราะว่าเขาคือเชื้อสายของเจ้า" 14 อับราฮัมได้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เอาขนมปังและน้ำหนึ่งถุงหนัง และให้แก่ฮาการ์ วางบนไหล่ของนาง เขาได้ให้เด็กชายนั้นแก่นาง และส่งนางไป นางได้จากไปและเดินไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายในถิ่นทุรกันดารแห่งเบเออร์เชบา

15 เมื่อน้ำในถุงหนังหมด นางจึงทิ้งเด็กไว้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง 16 จากนั้นนางได้ไปและนั่งลงไม่ไกลไปจากเขา ระยะไกลประมาณลูกธนูตก เพราะนางได้พูดว่า "อย่าให้ฉันมองดูความตายของเด็กนั้น" เมื่อนางได้นั่งที่นั่นตรงข้ามกับเขานางได้ร้องเสียงดังและร่ำไห้ 17 พระเจ้าทรงได้สดับเสียงของเด็กนั้น และทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้เรียกฮาการ์จากท้องฟ้า และพูดกับนางว่า "เจ้ามีปัญหาอะไร ฮาการ์? อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระเจ้าทรงได้สดับเสียงของเด็กนั้นจากที่ที่เขาอยู่ 18 จงลุกขึ้น ยกเด็กนั้นขึ้น และให้กำลังใจเขา เพราะว่าเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ชนชาติหนึ่ง" 19 จากนั้นพระเจ้าทรงได้เปิดตาของนาง และนางได้เห็นบ่อน้ำ นางได้ไป และเติมน้ำในถุงหนังและให้เด็กนั้นดื่ม 20 พระเจ้าได้ประทับอยู่กับเด็กนั้น และเขาได้เติบโตขึ้น เขาได้อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และกลายเป็นมือธนู 21 เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งปาราน และมารดาของเขาได้หาภรรยาให้เขาจากแผ่นดินอียิปต์

22 และในเวลานั้นที่อาบีเมเลคและฟีโคล์แม่ทัพของเขาได้กล่าวกับอับราฮัมว่า "พระเจ้าประทับอยู่กับเจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าทำ 23 เหตุฉะนั้นบัดนี้ จงปฏิญาณต่อเรา ณ ที่นี่โดยพระเจ้าว่าเจ้าจะไม่ประพฤติอย่างผิดๆ กับเรา หรือกับบุตรหลานของเรา หรือกับเชื้อสายทั้งหลายของเรา จงแสดงแก่เรา และแก่ดินแดนซึ่งเจ้ากำลังอาศัยอยู่นี้ เหมือนพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อที่เราได้แสดงต่อเจ้า" 24 อับราฮัมพูดว่า "ข้าพระองค์ขอปฏิญาณ"

25 อับราฮัมยังได้บ่นกับอาบีเมเลคเรื่องบ่อน้ำที่ข้าราชการของอาบีเมเลคได้ยึดไปจากเขา 26 อาบีเมเลคได้ตรัสว่า "เราไม่ทราบว่าใครได้ทำสิ่งนี้ เจ้าไม่ได้บอกเรามาก่อนหน้านี้ เราไม่เคยยินเรื่องนี้มาก่อนจนถึงวันนี้" 27 ดังนั้นอับราฮัมจึงเอาแกะ และวัวหลายตัว และยกพวกมันให้อาบีเมเลค และชายทั้งสองได้ทำพันธสัญญาต่อกัน 28 จากนั้นอับราฮัมได้จัดเอาลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวจากฝูงแกะตามที่กำหนดไว้ 29 อาบีเมเลคตรัสแก่อับราฮัมว่า "ลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวเหล่านี้ที่เจ้าได้จัดแยกตามที่กำหนดไว้ มีความหมายอะไร?" 30 เขาทูลตอบว่า "ลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวเหล่านี้พระองค์จะได้รับจากมือของข้าพระองค์ นี่แหละจะเป็นพยานสำหรับข้าพระองค์ว่าข้าพระองค์ได้ขุดบ่อน้ำนี้"

31 เขาจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เบเออร์เชบา 32 เพราะว่าพวกเขาทั้งสองฝ่ายได้ปฏิญาณกันที่นั่น พวกเขาได้ทำพันธสัญญากันที่เบเออร์เชบา และจากนั้นอาบีเมเลคและฟีโคล์แม่ทัพของเขาจึงกลับไปยังแผ่นดินฟีลิสเตีย 33 อับราฮัมได้ปลูกต้นสนหมอกไว้ที่เบเออร์เชบา ที่นั่นเขาได้นมัสการพระยาห์เวห์ พระเจ้านิรันดร์ 34 อับราฮัมยังคงได้เป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินของฟีลิสเตียเป็นเวลาหลายวัน

22

1 ต่อมาพระเจ้าทรงทดสอบอับราฮัม พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "อับราฮัม" อับราฮัมทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่" 2 จากนั้นพระเจ้าตรัสว่า "จงนำบุตรชายของเจ้า บุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าผู้ซึ่งเจ้ารัก คืออิสอัค และไปยังแผ่นดินโมริยาห์ ถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชาบนภูเขาลูกหนึ่งที่นั่น ซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า"

3 อับราฮัมจึงตื่นแต่เช้าตรู่ ผูกอานลาของเขา และนำชายหนุ่มสองคนไปกับเขาด้วย พร้อมกับอิสอัคบุตรชายของเขา เขาได้ตัดไม้ฟืนเพื่อใช้สำหรับการเผาเครื่องบูชา จากนั้นจึงเริ่มต้นการเดินทางของเขาไปยังสถานที่ที่พระเจ้าทรงบอกแก่เขานั้น 4 ในวันที่สาม อับราฮัมมองขึ้นไป และเห็นสถานที่นั้นอยู่แต่ไกล 5 อับราฮัมพูดกับพวกชายหนุ่มของเขาว่า "จงอยู่ที่นี่กับลานั้น และเรากับเด็กจะไปที่นั่น เราจะไปนมัสการและกลับมาหาพวกเจ้าอีก" 6 จากนั้นอับราฮัมเอาไม้ฟืนสำหรับเผาเครื่องบูชา และวางบนอิสอัคบุตรชายของเขา เขาถือไฟและมีดในมือของเขาเอง และพวกเขาทั้งสองไปด้วยกัน 7 อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาของเขาว่า "บิดาของฉัน" และเขาตอบว่า "เราอยู่นี่ ลูกเอ๋ย" เขาพูดว่า "ดูเถิด ที่นี่มีไฟและไม้ฟืน แต่ลูกแกะสำหรับการเผาบูชาอยู่ไหน?" 8 อับราฮัมพูดว่า "ลูกเอ๋ย พระเจ้าพระองค์เองจะจัดเตรียมลูกแกะสำหรับการเผาบูชาเอง" ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงออกไปด้วยกัน

9 เมื่อพวกเขามาถึงสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่เขานั้น อับราฮัมได้สร้างแท่นบูชาที่นั่น และวางฟืนบนแท่นนั้น จากนั้นเขามัดอิสอัค บุตรชายของเขา และวางเขาบนแท่นบูชา บนกองฟืน 10 อับราฮัมยื่นมือของเขาออกจับมีดเพื่อจะฆ่าบุตรชายของเขา 11 แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์เรียกเขาจากท้องฟ้า พูดว่า "อับราฮัม อับราฮัม" และเขาทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่" 12 ทูตสวรรค์กล่าวว่า "อย่าแตะต้องเด็กนั้น หรือทำอะไรที่จะทำร้ายเขา บัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้าเกรงกลัวพระเจ้า เราเห็นว่าเจ้านั้นไม่ได้หวงแหนบุตรชายของเจ้า บุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าจากเรา" 13 อับราฮัมมองขึ้นไป และดูเถิด ข้างหลังเขามีแกะตัวผู้ตัวหนึ่งติดอยู่ในพุ่มไม้เพราะเขาของมัน อับราฮัมจึงไปนำแกะตัวผู้นั้นมา และถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชายของเขา 14 ดังนั้นอับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า "พระยาห์เวห์จะทรงจัดเตรียมไว้" และทำให้กล่าวกันในทุกวันนี้ว่า "ที่บนภูเขาของพระยาห์เวห์ จะมีการถูกจัดเตรียมไว้"

15 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์เรียกอับราฮัมครั้งที่สองจากท้องฟ้า 16 และกล่าวว่า นี่คือคำประกาศของพระยาห์เวห์ว่า "โดยเราเอง เราปฏิญาณว่าเพราะเจ้าได้ทำในสิ่งนี้ และไม่ได้หวงแหนบุตรชายของเจ้า บุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้า 17 แน่นอน เราจะอวยพรเจ้า และเราจะเพิ่มเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าอย่างมากมายเหมือนบรรดาดวงดาวแห่งท้องฟ้า และเหมือนทรายที่ชายทะเล และบรรดาเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าจะยึดครองประตูเมืองของศัตรูทั้งหลายของพวกเขา 18 ผ่านบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า บรรดาประชาชาติทั้งหลายแห่งแผ่นดินจะได้รับพระพรเพราะเจ้าเชื่อฟังเสียงของเรา" 19 ดังนั้นอับราฮัมกลับมาหาพวกชายหนุ่มของเขา และพวกเขาเดินทางกลับไปด้วยกันถึงเมืองเบเออร์เชบา และเขาได้อาศัยอยู่ที่เมืองเบเออร์เชบา

20 อับราฮัมได้รับการบอกเล่าว่า "มิลคาห์ได้ให้กำเนิดบุตรทั้งหลายแก่นาโฮร์น้องชายท่านด้วย" 21 พวกเขาคือ อูสบุตรชายคนโตของเขา บูสน้องชายของเขา เคมูเอลบิดาของอารัม 22 เคเสด ฮาโซ ปิลดาซ ยิดลาฟ และเบธูเอล 23 เบธูเอลได้ให้กำเนิดเรเบคาห์ ทั้งแปดคนเหล่านี้คือบุตรที่มิลคาห์ได้ให้กำเนิดแก่นาโฮร์ น้องชายของอับราฮัม 24 ภรรยาน้อยของเขาที่ชื่อเรอูมาห์ก็ได้ให้กำเนิดเทบาห์ กาฮัม ทาหาช และมาอาคาห์

23

1 ซาราห์มีชีวิตหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดปี นี่คือปีแห่งชีวิตของซาราห์ 2 ซาราห์ตายในเมืองคีริยาทอารบา นั่นคือเฮโบรน ในดินแดนคานาอัน อับราฮัมโศกเศร้าเสียใจและร้องไห้ให้กับซาราห์

3 จากนั้นอับราฮัมลุกขึ้น และไปจากภรรยาที่เสียชีวิตแล้วของเขา และพูดกับบรรดาบุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ว่า 4 "ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าวคนหนึ่งอยู่ท่ามกลางพวกท่าน กรุณาให้ที่ดินเป็นสุสานท่ามกลางพวกท่าน เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้ฝังคนตายของข้าพเจ้า" 5 บุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ตอบอับราฮัมว่า 6 "จงฟังเรา เจ้านายของเรา ท่านคือเจ้าชายของพระเจ้าท่ามกลางพวกเรา จงฝังคนตายของท่านในอุโมงค์ที่ดีที่สุดของพวกเราเถอะ ไม่มีใครในพวกเราจะปฏิเสธไม่ให้อุโมงค์ของเขาแก่ท่าน เพื่อที่ท่านจะฝังคนตายของท่าน" 7 อับราฮัมลุกขึ้น และก้มลงคำนับชาวแผ่นดินนั้น บุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์

8 เขาพูดกับพวกเขา กล่าวว่า "ถ้าท่านตกลงที่จะให้ข้าพเจ้าฝังคนตายของข้าพเจ้า อย่างนั้นจงฟังข้าพเจ้า และขอร้องเอโฟรนบุตรชายของโศหาร์เพื่อข้าพเจ้า 9 ขอให้เขาขายถ้ำแห่งมัคเปลาห์ที่เขาเป็นเจ้าของ ซึ่งอยู่ที่ปลายนาของเขาให้ข้าพเจ้า ขอให้เขาขายที่นั้นให้ข้าพเจ้าเต็มตามราคาอย่างเปิดเผยเพื่อใช้เป็นสุสาน" 10 ในขณะนั้นเอโฟรนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางบุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ และเอโฟรนคนฮิตไทต์ตอบอับราฮัมให้บุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ได้ยิน คนเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้มาที่ประตูเมืองของเขา กล่าวว่า 11 "อย่าเลย เจ้านายของข้าพเจ้า จงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอให้ที่นา และถ้ำที่อยู่ที่นั่นแก่ท่าน ข้าพเจ้าให้แก่ท่านต่อหน้าบรรดาบุตรชายทั้งหลายของประชาชนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้ท่านใช้เป็นที่ฝังคนตายของท่าน" 12 อับราฮัมจึงก้มลงคำนับต่อหน้าชาวแผ่นดินนั้น

13 เขาพูดกับเอโฟรนให้ชาวแผ่นดินนั้นได้ยิน กล่าวว่า "แต่ถ้าท่านเต็มใจ กรุณาฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจ่ายเงินสำหรับที่นานั้น จงรับเงินจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะฝังคนตายที่นั่น" 14 เอโฟรนตอบอับราฮัมว่า 15 "เจ้านายของข้าพเจ้า กรุณาฟังข้าพเจ้าบ้าง ที่ดินผืนหนึ่งมีค่าเป็นเงินหนักสี่ร้อยเชเขล มีอะไรระหว่างข้าพเจ้ากับท่านหรือ? จงฝังคนตายของท่านเถิด" 16 อับราฮัมได้ฟังเอโฟรน และอับราฮัมก็ชั่งเงินให้แก่เอโฟรนตามจำนวนที่เขาบอกให้บุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ได้ยิน เงินหนักสี่ร้อยเชเขลตามมาตรฐานการชั่งของพ่อค้าทั้งหลาย

17 ดังนั้นที่นาของเอโฟรนที่อยู่ในมัคเปลาห์ ซึ่งอยู่ถัดจากมัมเร นั่นคือ ที่นา ถ้ำที่อยู่ที่นั่น และต้นไม้ทั้งหมดที่อยู่ในทุ่งนานั้น และรอบๆ เขตแดน 18 ได้ถูกมอบให้อับราฮัมโดยการซื้อต่อหน้าบรรดาบุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ ต่อหน้าคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้มาที่ประตูเมืองของเขา 19 หลังจากนี้ อับราฮัมได้ฝังซาราห์ ภรรยาของเขาในถ้ำของที่นาของมัคเปลาห์ ซึ่งอยู่ถัดจากมัมเร นั่นคือ เฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน 20 ดังนั้นที่นาและถ้ำที่นั่นถูกมอบให้อับราฮัมเป็นที่ดินที่ใช้เป็นสุสานจากบุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์

24

1 ขณะนั้นอับราฮัมมีอายุมากแล้ว และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรอับราฮัมในทุกสิ่งทุกอย่าง 2 อับราฮัมพูดกับคนรับใช้ของท่าน คนที่มีอายุมากที่สุดในครัวเรือนของท่าน และเป็นผู้ซึ่งดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี กล่าวว่า "จงวางมือของเจ้าใต้ขาอ่อนของเรา 3 และเราจะให้เจ้าสาบานโดยพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และพระเจ้าแห่งแผ่นดินโลก ว่าเจ้าจะไม่หาภรรยาให้บุตรชายของเราจากบุตรสาวทั้งหลายของคนคานาอัน ผู้ที่เราอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา 4 แต่เจ้าจงไปยังดินแดนของเรา และพวกญาติของเรา และหาภรรยาให้อิสอัคบุตรชายของเรา"

5 คนรับใช้นั้นถามอับราฮัมว่า "ถ้าหญิงนั้นไม่เต็มใจที่จะติดตามข้าพเจ้ากลับมาแผ่นดินนี้เล่า? ข้าพเจ้าจะต้องนำบุตรชายของท่านกลับไปยังแผ่นดินที่ท่านจากมานั้นหรือ?" 6 อับราฮัมตอบเขาว่า "ระวัง อย่าให้เจ้านำบุตรชายของเรากลับไปที่นั่น 7 พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงนำเราออกมาจากบ้านของบิดา และจากแผ่นดินของพวกญาติของเรา ผู้ทรงสัญญากับเราด้วยคำสัตย์สาบานที่หนักแน่น ตรัสว่า 'เราจะประทานแผ่นดินนี้ให้แก่ผู้ที่สืบเชื้อสายของเจ้า' พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ไปข้างหน้าเจ้า และเจ้าจะได้ภรรยาสำหรับบุตรชายของเราจากที่นั่น 8 แต่ถ้าหญิงนั้นไม่เต็มใจที่จะติดตามเจ้ามา นั่นก็หมายความว่าเจ้าเป็นอิสระจากคำสัตย์สาบานที่ให้กับไว้กับเรา เพียงแต่เจ้าอย่านำบุตรชายของเรากลับไปที่นั่น"

9 คนรับใช้นั้นก็เอามือของเขาวางที่ใต้ขาอ่อนของอับราฮัม เจ้านายของเขา และสาบานต่อท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ 10 คนรับใช้นั้นนำอูฐสิบตัวของเจ้านายของเขาและออกเดินทาง เขานำของขวัญชนิดต่าง ๆ จากเจ้านายของเขาไปกับเขาด้วย เขาออกเดินทางและไปยังดินแดนอารัม นาหะราอิม ไปเมืองของนาโฮร์

11 เขาให้พวกอูฐคุกเข่าลงที่ริมบ่อน้ำนอกเมืองนั้น มันเป็นเวลาเย็น เป็นเวลาที่พวกผู้หญิงจะออกไปตักน้ำ 12 เขาจึงกล่าวว่า "พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัม เจ้านายของข้าพเจ้า ในวันนี้ขอประทานความสำเร็จให้ข้าพระองค์ และสำแดงพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อแก่อับราฮัม เจ้านายของข้าพระองค์ 13 ดูเถิด ขณะที่ข้าพระองค์กำลังยืนอยู่ที่น้ำพุ และพวกบุตรสาวของผู้ชายทั้งหลายของเมืองนี้กำลังออกมาตักน้ำ 14 ขอให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเถิด เมื่อข้าพระองค์พูดกับหญิงสาวคนหนึ่งคนใดว่า 'ขอลดเหยือกน้ำของเจ้าลงให้เราดื่มน้ำหน่อย' และนางจะพูดกับข้าพระองค์ว่า 'จงดื่มเถิด และฉันจะเอาน้ำให้พวกอูฐของท่านด้วย' ขอให้นางเป็นผู้ที่พระองค์ทรงกำหนดให้สำหรับอิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์ คือ ด้วยการนี้ข้าพระองค์จะรู้ว่าพระองค์ได้ทรงสำแดงพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อแก่เจ้านายของข้าพระองค์"

15 เวลาผ่านไป แม้ว่าเขายังพูดไม่จบ ดูเถิด เรเบคาห์ออกมาพร้อมด้วยเหยือกน้ำบนไหล่ของนาง เรเบคาห์เป็นบุตรของเบธูเอล บุตรของมิลคาห์ ภรรยาของนาโฮร์ น้องชายของอับราฮัม 16 หญิงสาวนั้นสวยงามมาก และเป็นหญิงพรหมจารี ยังไม่มีผู้ชายคนใดหลับนอนกับนาง นางลงไปที่น้ำพุเอาน้ำใส่เต็มเหยือกของนาง และกลับขึ้นมา

17 คนรับใช้นั้นจึงวิ่งไปหานางและพูดว่า "ขอน้ำจากเหยือกน้ำของเจ้าให้เราดื่มหน่อย" 18 นางตอบว่า "จงดื่มเถิด เจ้านายของฉัน" และนางก็รีบลดเหยือกน้ำลงบนมือของนาง และให้เขาดื่ม 19 เมื่อนางให้เขาดื่มเสร็จแล้ว นางกล่าวว่า "ฉันจะตักน้ำให้พวกอูฐของท่านจนกว่าพวกมันจะกินอิ่มด้วย" 20 ดังนั้นนางจึงรีบและเทน้ำจากเหยือกน้ำของนางลงในรางน้ำ และวิ่งไปที่บ่อน้ำอีกครั้งเพื่อที่จะตักน้ำ และตักน้ำสำหรับอูฐทั้งหมดของเขา 21 ผู้ชายนั้นเฝ้าดูนางอย่างเงียบๆ เพื่อที่จะดูว่าพระยาห์เวห์ทรงทำให้การเดินทางของเขาประสบความสำเร็จหรือไม่

22 เมื่อพวกอูฐดื่มน้ำเสร็จ คนรับใช้นั้นได้เอาแหวนทองคำน้ำหนักครึ่งเชเขล สำหรับใส่จมูกและกำไรทองคำน้ำหนักสิบเชเขลสำหรับใส่แขนของนางออกมา 23 และถามว่า "เจ้าเป็นบุตรสาวของใคร? ขอกรุณาบอกข้าพเจ้าด้วยว่าที่บ้านบิดาของเจ้ามีห้องพักที่จะให้เราพักค้างคืนไหม?" 24 นางตอบเขาว่า "ฉันเป็นบุตรสาวของเบธูเอล บุตรชายของมิลคาห์ ผู้ที่นางให้กำเนิดแก่นาโฮร์" 25 นางบอกเขาอีกด้วยว่า "เรามีทั้งฟางข้าว และอาหารมากมาย และห้องสำหรับให้ท่านพักค้างคืนด้วย" 26 ผู้ชายนั้นจึงโค้งคำนับ และนมัสการพระยาห์เวห์ 27 เขากล่าวว่า "สรรเสริญแด่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮ้ม เจ้านายของข้าพเจ้า ผู้ไม่ทรงทอดทิ้งพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อและน่าเชื่อถือของพระองค์ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า สำหรับข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ทรงนำข้าพเจ้าตรงสู่บ้านญาติทั้งหลายของเจ้านายของข้าพเจ้า"

28 หญิงสาวนั้นจึงวิ่งไป และบอกให้ครัวเรือนของมารดาของนางเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด 29 ขณะนั้นเรเบคาห์มีพี่ชายคนหนึ่ง และเขาชื่อลาบัน ลาบันวิ่งไปหาผู้ชายคนนั้น ผู้อยู่ที่ถนนทางไปน้ำพุ 30 เมื่อเขาเห็นแหวนใส่จมูก และกำไรบนแขนน้องสาวของเขา และเมื่อเขาได้ยินเรื่องของเรเบคาห์น้องสาวของเขา "นี่คือสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูดกับฉัน" เขาไปหาผู้ชายคนนั้น และดูเถิด เขากำลังยืนอยู่ข้างอูฐที่น้ำพุ 31 ลาบันจึงพูดว่า "มาเถิด ท่านคือพระพรของพระยาห์เวห์ ทำไมท่านจึงยืนอยู่ข้างนอก? เราจัดเตรียมบ้าน และที่สำหรับพวกอูฐแล้ว"

32 ผู้ชายคนนั้นมายังบ้าน และนำของลงจากหลังอูฐทั้งหลาย พวกอูฐรับฟางข้าวและเลี้ยงดู และน้ำถูกจัดเตรียมไว้สำหรับล้างเท้าของเขา และเท้าของพวกผู้ชายที่อยู่กับเขา 33 พวกเขาจัดตั้งอาหารต่อหน้าเขาเพื่อให้เขากิน แต่เขาพูดว่า "ข้าพเจ้าจะไม่กินจนกว่าข้าพเจ้าจะพูดในสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องพูด" ดังนั้นลาบันจึงพูดว่า "จงพูดเถิด"

34 เขาพูดว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้ของอับราฮัม 35 พระยาห์เวห์ทรงอวยพรอับราฮัม เจ้านายของข้าพเจ้าอย่างมากมาย และท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ประทานผู้คนและฝูงสัตว์เลี้ยง เงิน และทอง คนรับใช้ทั้งชายและหญิง และอูฐ และลาทั้งหลายแก่ท่าน 36 ซาราห์ ภรรยาของเจ้านายของข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้านายของข้าพเจ้าเมื่อนางมีอายุมากแล้ว และท่านมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเป็นเจ้าของแก่เขา

37 นายของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าสาบานว่า 'เจ้าต้องไม่หาภรรยาให้บุตรชายของเราจากบรรดาบุตรสาวทั้งหลายของคนคานาอัน ซึ่งเราอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพวกเขา 38 แต่เจ้าต้องไปหาครอบครัวของบิดาของเรา และญาติของเรา และหาภรรยาให้บุตรชายของเรา 39 ข้าพเจ้ากล่าวแก่เจ้านายของข้าพเจ้าว่า 'บางทีหญิงนั้นจะไม่ติดตามข้าพเจ้ามา' 40 แต่ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า 'พระยาห์เวห์ ผู้ที่เราเดินอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ไปกับเจ้า และพระองค์จะทรงทำให้ทางของเจ้าประสบความสำเร็จ ดังนั้นเจ้าหาภรรยาให้บุตรชายของเราจากท่ามกลางญาติของเรา และจากเชื้อสายครอบครัวของบิดาของเรา 41 แต่เจ้าจะเป็นอิสระจากคำสัตย์สาบานของเรา ถ้าเจ้ามาถึงญาติของเรา และพวกเขาไม่ให้นางแก่เจ้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นอิสระจากคำสัตย์สาบานของเรา'

42 ดังนั้น วันนี้ข้าพเจ้ามาถึงน้ำพุ และพูดว่า "โอ พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัม ของเจ้านายของข้าพระองค์ กรุณาเถิด ถ้าพระองค์ทรงปรารถนาที่กระทำให้การเดินทางของข้าพระองค์ประสบความสำเร็จ 43 ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ กำลังยืนอยู่ที่ริมน้ำพุ ขอให้หญิงสาวผู้ที่ออกมาตักน้ำผู้หญิงคนนั้นผู้ที่ข้าพระองค์พูดกับนางว่า "ขอน้ำจากเหยือกน้ำของเจ้าให้เราดื่มสักหน่อยเถิด 44 " ผู้หญิงนั้นผู้ที่จะพูดกับข้าพระองค์ว่า "จงดื่มเถิด และฉันจะตักน้ำให้อูฐทั้งหลายของท่านด้วย" ขอให้นางเป็นผู้หญิงผู้ที่พระองค์ พระยาห์เวห์ ทรงเลือกให้บุตรชายของเจ้านายของข้าพระองค์'

45 ก่อนที่ข้าพเจ้าจะพูดในใจจนจบ ดูเถิด เรเบคาห์ได้ออกมาพร้อมกับเหยือกใส่น้ำของนาง บนไหล่ของนาง และนางลงมาที่น้ำพุ และตักน้ำ ข้าพเจ้าจึงพูดกับนางว่า 'กรุณาให้น้ำดื่มแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด' 46 นางเอาเหยือกน้ำของนางลงจากไหล่ของนางทันที และพูดว่า 'จงดื่มเถิด และฉันจะเอาน้ำให้พวกอูฐของท่านด้วย' ดังนั้นข้าพเจ้าจึงดื่มน้ำ และนางเอาน้ำให้พวกอูฐด้วย

47 ข้าพเจ้าถามนาง และพูดว่า 'เธอเป็นบุตรสาวของใคร?' เธอตอบว่า 'บุตรสาวของเบธูเอล บุตรชายของนาโฮร์ ผู้ซึ่งมิลคาห์เป็นผู้ให้กำเนิดเขา' ข้าพเจ้าจึงใส่แหวนที่จมูกของนาง และกำไรที่แขนของนาง 48 จากนั้นข้าพเจ้าโน้มตัวลง และนมัสการพระยาห์เวห์ และสรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัม เจ้านายของข้าพเจ้า ผู้ทรงนำข้าพเจ้ามาถูกทางให้มาพบบุตรสาวญาติของเจ้านายของข้าพเจ้าสำหรับบุตรชายของเขา 49 บัดนี้ ถ้าท่านได้จัดเตรียมที่จะปฏิบัติต่อเจ้านายของข้าพเจ้าด้วยความสัตย์ซื่อของครอบครัว และความไว้วางใจที่ทรงคุณค่า กรุณาบอกข้าพเจ้าเถิด แต่ถ้าไม่ ก็จงบอกข้าพเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าควรหันไปทางขวา หรือไปทางซ้าย"

50 จากนั้น ลาบันและเบธูเอลตอบ และพูดว่า "สิ่งนี้มาจากพระยาห์เวห์ เราไม่สามารถกล่าวแก่ท่านไม่ว่าดี หรือไม่ดี 51 ดูเถิดเรเบคาห์อยู่ต่อหน้าท่านแล้ว จงรับนางและไปเถิด และนางควรจะเป็นภรรยาของบุตรชายของเจ้านายของท่าน ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัส" 52 เมื่อคนรับใช้ของอับราฮัมได้ยินถ้อยคำของพวกเขา เขาได้โน้มตัวลงถึงพื้นต่อพระยาห์เวห์ 53 คนรับใช้นั้นนำเอาเครื่องเงิน และเครื่องทอง และเสื้อผ้า และมอบให้กับเรเบคาห์ เขาให้ของขวัญที่มีค่าแก่พี่ชายของนางและแก่มารดาของนางด้วย

54 จากนั้นเขาและพวกผู้ชายที่อยู่กับเขากินและดื่ม พวกเขาพักค้างคืนที่นั่น และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นในตอนเช้า เขาพูดว่า "จงส่งข้าพเจ้ากลับไปหาเจ้านายของข้าพเจ้าเถิด" 55 พี่ชายของนางและมารดาของนางพูดว่า "จงให้หญิงสาวอยู่กับเราอีกสักสองสามวัน อย่างน้อยสิบวัน หลังจากนั้นก็ค่อยให้นางไป" 56 แต่เขาพูดกับพวกเขาว่า "อย่าหน่วงเหนี่ยวข้าพเจ้าไว้เลย เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงทำให้ทางของข้าพเจ้าสำเร็จ ขอส่งข้าพเจ้าไปตามทางของข้าพเจ้าเพื่อที่ข้าพเจ้าจะกลับไปหาเจ้านายของขัาพเจ้า"

57 พวกเขาพูดว่า "เราจะเรียกหญิงสาวนั้นมา และถามนาง" 58 ดังนั้นพวกเขาเรียกเรเบคาห์มา และถามนางว่า "เจ้าจะไปกับผู้ชายคนนี้หรือ?" นางตอบว่า "ฉันจะไป" 59 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งน้องสาวของพวกเขาคือ เรเบคาห์ ไปกับหญิงคนรับใช้ของนาง ในการเดินทางของนางกับคนรับใช้ของอับราฮัม และผู้ชายของเขา 60 พวกเขาอวยพรเรเบคาห์ และพูดแก่นางว่า "น้องสาวของเรา ขอให้เจ้าเป็นมารดาของคนนับแสน และให้เชื้อสายของเจ้ายึดครองประตูเมืองของคนเหล่านั้นที่เกลียดชังพวกเขา"

61 แล้วเรเบคาห์ลุกขึ้น นางและพวกหญิงคนรับใช้ของนางขึ้นอูฐ และติดตามชายนั้นไป คนรับใช้นั้นจึงได้พาเรเบคาห์ และไปตามทางของเขา 62 ขณะนั้นอิสอัคกำลังอาศัยอยู่ในเนเกบ และเขาเพิ่งกลับมาจากเบเออลาไฮรอย 63 อิสอัคออกไปที่ทุ่งนาในตอนเย็น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง และเห็น ดูเถิดมีอูฐหลายตัวกำลังมา 64 เรเบคาห์มองดู และเมื่อนางเห็นอิสอัค นางก็กระโดดลงจากอูฐ

65 นางพูดกับคนรับใช้นั้น "ผู้ชายคนนั้นที่กำลังเดินในทุ่งนามาหาเรานั้นคือใคร?" คนรับใช้ตอบว่า "นั่นคือนายของข้าพเจ้าเอง" ดังนั้นนางจึงหยิบผ้าคลุมหน้า และปิดหน้านางเอง 66 คนรับใช้นั้นเล่าทุกสิ่งที่เขาทำให้อิสอัคฟัง 67 จากนั้นอิสอัคพานางไปที่เต็นท์ของซาราห์ มารดาของเขา เขารับเรเบคาห์ไว้ และนางก็เป็นภรรยาของเขา และเขารักนาง ดังนั้นอิสอัคได้รับการปลอบใจหลังจากที่มารดาของเขาเสียชีวิต

25

1 อับราฮัมมีภรรยาอีกคนหนึ่ง นางชื่อเคทูราห์ 2 นางให้กำเนิดศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบาก และชูอาห์ 3 โยกชานได้เป็นบิดาของเชบาและเดดาน เชื้อสายทั้งหลายของเดดานคือคนอัสซีเรีย คนเลทูช และคนเลอูม 4 บุตรชายทั้งหลายของมีเดียนคือ เอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดา และเอลดาอาห์ ทั้งหมดเหล่านี้คือเชื้อสายทั้งหลายของเคทูราห์

5 อับราฮัมยกสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของทั้งหมดให้กับอิสอัค 6 อย่างไรก็ตามในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาให้สิ่งของหลายอย่างแก่บุตรชายทั้งหลายที่เกิดจากภรรยาน้อยของเขา และได้ส่งพวกเขาไปยังแผ่นดินทางทิศตะวันออก ไปจากอิสอัค บุตรชายของเขา

7 เหล่านี้เป็นช่วงเวลาแห่งชีวิตของอับราฮัม เขามีชีวิตอยู่ 175 ปี 8 อับราฮัมสิ้นลมหายใจ และตายในขณะที่เขาแก่มากแล้ว เป็นคนแก่ที่มีอายุมาก และเขาได้ถูกรวบรวมไว้กับพวกคนทั้งหลายของเขา 9 อิสอัค และอิชมาเอล พวกบุตรชายของเขาฝังเขาไว้ในถ้ำแห่งมัคเปลาห์ ในที่นาของเอโฟรน บุตรชายของโศหาร์ คนฮิตไทต์ซึ่งอยู่ใกล้มัมเร 10 ที่นานี้อับราฮัมซื้อจากบุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ อับราฮัมถูกฝังไว้ที่นั่นกับซาราห์ ภรรยาของเขา 11 ภายหลังการเสียชีวิตของอับราฮัม พระเจ้าทรงอวยพระพรอิสอัค บุตรชายของเขา และอิสอัคอาศัยอยู่ใกล้กับเบเออลาไฮรอย

12 ต่อไปนี้เป็นเชื้อสายทั้งหลายของอิชมาเอล บุตรชายของอับราฮัมที่ฮาการ์ คนอียิปต์ หญิงรับใช้ของซาราห์ เป็นผู้ให้กำเนิดแก่อับราฮัม 13 เหล่านี้คือรายชื่อบุตรชายทั้งหลายของอิชมาเอล ตามลำดับการเกิดของพวกเขา คือ เนบาโยธ บุตรหัวปีของอิชมาเอล เคดาร์ อัดบีเอล มิบสัม 14 มิชมา ดูมาห์ มัสสา 15 ฮาดัด เทมา เยทูร์ นาฟิช และเคเดมาห์ 16 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของอิชมาเอล และเหล่านี้เป็นรายชื่อของพวกเขาโดยได้ถือตามหมู่บ้านทั้งหลายของพวกเขา และโดยถือตามการตั้งค่ายทั้งหลายของพวกเขา เจ้าชายสิบสองพระองค์ตามเผ่าทั้งหลายของพวกเขา

17 เหล่านี้คือปีของชีวิตอิชมาเอล คือ 137 ปี เขาสิ้นลมหายใจและเสียชีวิต และถูกรวบรวมไว้กับพวกคนทั้งหลายของเขา 18 พวกเขาอาศัยตั้งแต่ฮาวิลาห์จนถึงชูร์ ซึ่งอยู่ใกล้อียิปต์ ไปทางอัสซีเรีย พวกเขาอาศัยอยู่อย่างไม่เป็นมิตรต่อกันและกัน

19 นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอิสอัค บุตรชายของอับราฮัม อับราฮัมผู้ได้เป็นบิดาของอิสอัค 20 อิสอัคอายุสี่สิบปีเมื่อเขาได้เรเบคาห์เป็นภรรยาของเขา บุตรสาวของเบธูเอล คนอารัม ชาวเมืองปัดดานอารัม น้องสาวของลาบัน คนอารัม 21 อิสอัคอธิษฐานทูลขอต่อพระยาห์เวห์เพื่อภรรยาของเขาเพราะเรเบคาห์ไม่มีบุตร และพระยาห์เวห์ทรงตอบคำอธิษฐานของเขา และเรเบคาห์ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์

22 ทารกทั้งสองเบียดกันอยู่ในครรภ์ของนาง และนางพูดว่า "ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นกับข้าพระองค์?" นางไปและทูลถามพระยาห์เวห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ 23 พระยาห์เวห์ตรัสกับนางว่า "มีคนสองชาติอยู่ในครรภ์ของเจ้า และทั้งสองชนชาติจะแยกจากกันในเจ้า ชนชาติหนึ่งจะแข็งแรงกว่าอีกชนชาติหนึ่ง และคนที่มีอายุมากกว่าจะรับใช้คนที่มีอายุน้อยกว่า"

24 เมื่อถึงกำหนดเวลาสำหรับนางที่จะคลอดบุตร ดูเถิด มีเด็กฝาแฝดอยู่ในครรภ์ของนาง 25 เด็กคนแรกที่ออกมาตัวแดง มีขนปกคลุมทั่วตัว พวกเขาจึงตั้งชื่อเขาว่าเอซาว 26 หลังจากนั้นน้องชายออกมา มือของเขาได้จับส้นเท้าเอซาวไว้ เขาจึงถูกตั้งชื่อว่ายาโคบ อิสอัคมีอายุหกสิบปีเมื่อภรรยาของเขาให้กำเนิดพวกเขา

27 พวกเด็กนั้นเติบโตขึ้น และเอซาวเป็นนายพรานที่ชำนาญ ผู้ชายแห่งท้องทุ่ง แต่ยาโคบเป็นผู้ชายที่เงียบใช้เวลาของเขาอยู่ในเต็นท์ทั้งหลายนั้น 28 อิสอัครักเอซาวเพราะเขาได้กินเนื้อสัตว์ทั้งหลายที่เขาล่ามาได้ แต่เรเบคาห์รักยาโคบ

29 วันหนึ่งยาโคบต้มอาหาร เอซาวกลับมาจากทุ่งนา และเขาเหนื่อยอ่อนจากความหิว 30 เอซาวพูดกับยาโคบว่า "ให้อาหารฉันหน่อยคือ ถั่วแดงต้มนั้น กรุณาเถอะเพราะฉันหมดแรงแล้ว" นี่คือเหตุผลที่เรียกชื่อเขาว่า เอโดม 31 ยาโคบพูดว่า "จงขายสิทธิบุตรหัวปีของท่านให้ข้าก่อน" 32 เอซาวพูดว่า "ดูเถอะข้ากำลังจะตายอยู่แล้ว สิทธิบุตรหัวปีจะเป็นประโยชน์อะไรกับข้า?" 33 ยาโคบพูดว่า "ก่อนอื่นจงสาบานให้ข้า" ดังนั้นเอซาวจึงกล่าวคำสัตย์สาบาน และด้วยวิธีนี้เขาขายสิทธิบุตรหัวปีของเขาให้ยาโคบ 34 ยาโคบให้ขนมปัง และถั่วแดงต้มแก่เอซาว เขากินและดื่ม จากนั้นก็ลุกขึ้นและจากไปตามทางของเขา ด้วยเหตุนี้ เอซาวได้เหยียดหยามสิทธิบุตรหัวปีของเขา

26

1 บัดนี้เกิดการกันดารอาหารในแผ่นดิน นอกเหนือไปจากที่เคยเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของอับราฮัม อิสอัคได้ไปหาเอบีเมเลค กษัตริย์ของคนฟีลิสเตียที่เมืองเกราร์ 2 พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่เขาและตรัสว่า "อย่าลงไปยังอียิปต์ จงอยู่ในแผ่นดินที่เราบอกให้เจ้าอาศัยอยู่ 3 จงอยู่ในแผ่นดินแห่งนี้แหละ และเราจะอยู่กับเจ้าและอวยพรเจ้า สำหรับเจ้าและเชื้อสายทั้งหลายของเจ้า เราจะให้แผ่นดินทั้งหมดเหล่านี้ และเราจะทำให้คำสัญญาที่เราให้ไว้กับอับราฮัมบิดาของเจ้านั้นสำเร็จ 4 เราจะทำให้เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าทวีมากขึ้นเหมือนดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้า และเราจะให้แผ่นดินเหล่านี้แก่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้า ประชาชาติทั้งหมดของแผ่นดินนี้จะได้รับพระพรผ่านทางเชื้อสายทั้งหลายของเจ้า 5 เราจะทำสิ่งนี้เพราะอับราฮัมได้เชื่อฟังเสียงของเรา และรักษาคำสั่งสอนทั้งหลายของเรา พระบัญญัติทั้งหลายของเรา บทบัญญัติทั้งหลายของเรา และธรรมบัญญัติทั้งหลายของเรา"

6 ดังนั้นอิสอัคจึงได้ตั้งถิ่นฐานในเกราร์ 7 เมื่อผู้ชายทั้งหลายของสถานที่นั้นถามเขาเกี่ยวกับภรรยาของเขา เขาตอบว่า "นางคือน้องสาวของเรา" เขากลัวที่จะพูดว่า "นางคือภรรยาของเรา" เพราะเขาคิดว่า "ผู้ชายทั้งหลายของสถานที่นี้จะฆ่าเรา เพื่อเอาเรเบคาห์ไปเพราะนางสวยมาก" 8 หลังจากที่อิสอัคอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน เอบีเมเลค กษัตริย์ของคนฟีลิสเตียทอดพระเนตรจากหน้าต่าง นี่แน่ะ พระองค์ทรงเห็นอิสอัคกำลังกอดจูบเรเบคาห์ ภรรยาของเขา 9 เอบีเมเลคทรงเรียกให้อิสอัคมาเข้าเฝ้าพระองค์และตรัสว่า "ดูเถิด นางต้องเป็นภรรยาของเจ้าแน่ๆ ทำไมเจ้าจึงพูดว่า 'นางคือน้องสาวของเรา'?" อิสอัคทูลพระองค์ว่า "เพราะข้าพระองค์คิดว่าบางคนอาจจะฆ่าข้าพระองค์เพื่อเอานางไป" 10 เอบีเมเลคตรัสว่า "เจ้าได้ทำอะไรกับเรา? ผู้ชายคนใดคนหนึ่งอาจหลับนอนกับภรรยาของเจ้าง่ายๆ แล้ว และเจ้าจะนำความผิดมาสู่เรา" 11 ดังนั้นเอบีเมเลคจึงทรงเตือนประชาชนทั้งหมดและตรัสว่า "ผู้ใดแตะต้องผู้ชายคนนี้ หรือภรรยาของเขา ผู้นั้นจะต้องตายแน่นอน"

12 อิสอัคปลูกพืชบนแผ่นดินและเก็บเกี่ยวผลในปีเดียวกันนั้นหนึ่งร้อยเท่า เพราะพระยาห์เวห์ทรงอวยพระพรเขา 13 ชายคนนั้นกลายเป็นคนร่ำรวย และเพิ่มมากขึ้น และมากขึ้นจนกระทั่งเขากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ 14 เขามีแกะ และปศุสัตว์มากมาย และเป็นครัวเรือนใหญ่ คนฟีลิสเตียก็อิจฉาเขา 15 บัดนี้บ่อน้ำทั้งหมดที่คนรับใช้ทั้งหลายของบิดาของเขาขุดไว้ในสมัยของอับราฮัม บิดาของเขา พวกคนฟีลิสเตียได้ถมบ่อน้ำเหล่านี้ด้วยดิน 16 เอบีเมเลคตรัสกับอิสอัคว่า "จงไปจากเราเถิดเพราะเจ้ามีกำลังมากกว่าพวกเรา "

17 ดังนั้นอิสอัคจึงไปจากที่นั่น และตั้งถิ่นฐานในหุบเขาแห่งเกราร์ และอาศัยอยู่ที่นั่น 18 อีกครั้งหนึ่งที่อิสอัคขุดบ่อน้ำที่ซึ่งพวกเขาขุดแล้วในสมัยของอับราฮัม บิดาของเขา แต่คนฟีลิสเตียถมบ่อน้ำเหล่านี้หลังการเสียชีวิตของอับราฮัม อิสอัคเรียกชื่อบ่อน้ำทั้งหลายนี้ด้วยชื่อเดียวกันตามที่บิดาของเขาตั้งชื่อไว้ 19 เมื่อคนรับใช้ทั้งหลายของอิสอัคขุดบ่อน้ำในหุบเขา พวกเขาพบบ่อน้ำมีน้ำไหล 20 คนเลี้ยงสัตว์ทั้งหลายของเกราร์ทะเลาะกับพวกคนเลี้ยงสัตว์ของอิสอัค และพูดว่า "บ่อน้ำนี้เป็นของพวกเรา" ดังนั้นอิสอัคจึงเรียกชื่อบ่อน้ำนั้นว่า "เอเสก" เพราะว่าคนเหล่านั้นได้ทะเลาะกับเขา 21 จากนั้นพวกเขาขุดบ่อน้ำอีกบ่อหนึ่ง และพวกเขาก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องบ่อน้ำนี้อีก ดังนั้นเขาจึงให้ชื่อบ่อน้ำนี้ว่า "สิตนาห์" 22 เขาจากที่นั่นไป และขุดบ่อน้ำอีกบ่อหนึ่ง แต่พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องบ่อน้ำนี้ ดังนั้นเขาจึงเรียกชื่อบ่อน้ำนี้ว่า เรโหโบท และเขาพูดว่า "บัดนี้พระยาห์เวห์ได้ให้ที่แก่พวกเรา และพวกเราจะเจริญรุ่งเรืองในแผ่นดิน"

23 จากนั้นอิสอัคขึ้นไปจากที่นั่นไปยังเมืองเบเออร์เชบา 24 พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่เขาในคืนเดียวกันนั้น และตรัสว่า "เราคือพระเจ้าของอับราฮัมบิดาเจ้า อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้าและจะอวยพรเจ้าและทำให้เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าทวีมากขึ้น เพราะเห็นแก่อับราฮัมผู้รับใช้ของเรา" 25 อิสอัคสร้างแท่นบูชาที่นั่น และออกพระนามพระยาห์เวห์ ที่นั่นเขาตั้งเต็นท์ของเขา และคนรับใช้ทั้งหลายของเขาได้ขุดบ่อน้ำ

26 จากเกราร์ ดังนั้นเอบีเมเลคพร้อมกับอาฮุสซัส พระสหายของพระองค์ และฟีโคล์แม่ทัพของพระองค์ไปหาเขา 27 อิสอัคพูดกับพวกเขาว่า "พวกท่านมาหาข้าพเจ้าทำไม ในเมื่อพวกท่านเกลียดชังข้าพเจ้า และขับไล่ข้าพเจ้าออกมาจากพวกท่าน?" 28 พวกเขาตอบว่า "เราเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าพระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่กับท่าน ดังนั้นเราจึงตัดสินใจว่า ควรจะมีการให้สัตย์สาบานระหว่างพวกเรา คือระหว่างเรากับท่าน ให้เราทำพันธสัญญากับท่าน 29 ที่ท่านจะไม่ทำร้ายเรา เช่นเดียวกันเราจะไม่ทำร้ายท่าน และเหมือนที่เราได้ดูแลท่านเป็นอย่างดี และส่งท่านจากมาอย่างสันติ ท่านเป็นผู้ที่พระยาห์เวห์อวยพระพรจริงๆ"

30 ดังนั้นอิสอัคจึงเลี้ยงอาหารพวกเขา และพวกเขากินและดื่ม 31 พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ และทำสัตย์สาบานต่อกันและกัน จากนั้นอิสอัคส่งพวกเขาไป และพวกเขาจากไปอย่างสันติ 32 ในวันเดียวกันนั้น คนรับใช้ของอิสอัคมาและบอกเขาเกี่ยวกับบ่อน้ำที่พวกเขาได้ขุด พวกเขากล่าวว่า "พวกเราพบน้ำแล้ว" 33 เขาเรียกบ่อน้ำนั้นว่าชิบาห์ เมืองนั้นจึงถูกเรียกชื่อว่าเบเออร์เชบา จนถึงทุกวันนี้

34 เมื่อเอซาวอายุสี่สิบปี เขามีภรรยาคือ ยูดิธ บุตรหญิงของเบเออรี คนฮิตไทต์ และบาเสมัท บุตรหญิงของเอโลน คนฮิตไทต์ 35 พวกเขานำความโศกเศร้ามาสู่อิสอัคและเรเบคาห์

27

1 เมื่ออิสอัคแก่ตัวลง และตาของเขาก็พร่ามัว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองเห็นอะไร เขาเรียกเอซาว บุตรชายคนโตเข้ามาและพูดกับเขาว่า "ลูกชายของเราเอ๋ย" เขาตอบกับบิดาว่า "ลูกอยู่ที่นี่" 2 เขาพูดว่า "ดูเถิด พ่อก็แก่ลงมากแล้ว พ่อไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร 3 ดังนั้นจงเอาอาวุธของเจ้า กระบอกใส่ลูกธนู และธนูของเจ้า และออกไปในท้องทุ่ง และล่าสัตว์มาเพื่อพ่อ 4 ทำอาหารอร่อยสำหรับพ่อ อาหารที่พ่อชอบและนำมาให้พ่อ ดังนั้นพ่อจะกินอาหารนั้น และอวยพรให้เจ้าก่อนที่พ่อจะตาย"

5 ขณะนั้นเรเบคาห์ได้ยินเรื่องราวที่อิสอัคพูดกับเอซาว บุตรชายของเขา เอซาวไปยังท้องทุ่งเพื่อล่าสัตว์และนำกลับมา 6 เรเบคาห์พูดกับยาโคบ บุตรชายของนาง และพูดว่า "นี่แน่ะ แม่ได้ยินพ่อของเจ้าพูดกับเอซาวพี่ชายของเจ้า เขาพูดว่า 7 'จงนำเนื้อสัตว์ และทำอาหารที่อร่อยให้พ่อเพื่อที่พ่อจะกินและอวยพรเจ้าต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ก่อนที่พ่อจะตาย' 8 ดังนั้นลูกชายของแม่เอ๋ย จงเชื่อฟังคำของแม่ที่แม่สั่งเจ้า 9 จงไปที่ฝูงสัตว์ และนำแพะหนุ่มที่ดีสองตัวมาให้แม่ และแม่จะทำอาหารอร่อยจากพวกแพะนั้นสำหรับพ่อของเจ้า อย่างที่เขาชอบ 10 เจ้าจะนำอาหารนั้นไปให้พ่อของเจ้า เพื่อให้เขากิน ดังนั้นเขาจะได้อวยพรเจ้าก่อนความตายของเขาจะมาถึง"

11 ยาโคบพูดกับเรเบคาห์ มารดาของเขาว่า "ดูเถอะ เอซาวพี่ชายของลูกเป็นคนมีขนดก แต่ลูกเป็นคนที่ผิวเกลี้ยงเกลา 12 บางทีพ่อของลูกจะสัมผัสลูก และลูกจะกลายเป็นคนหลอกลวงเขา ลูกจะนำคำแช่งสาปมาสู่ตัวลูก ไม่ใช่คำอวยพร" 13 มารดาของเขาพูดกับเขาว่า "ลูกชายของเราเอ๋ย คำแช่งสาปใดๆ นั้นให้ตกแก่แม่เถอะ เพียงแต่เชื่อฟังคำของแม่และไป จงนำพวกมันมาให้แม่" 14 ดังนั้นยาโคบจึงได้ไป และเอาพวกแพะหนุ่ม และนำพวกมันมาให้มารดาของเขา และมารดาของเขาทำอาหารอร่อยอย่างที่บิดาของเขาชอบ

15 เรเบคาห์นำเอาเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของเอซาว บุตรชายคนโตของนาง ซึ่งอยู่กับนางในบ้าน และสวมให้กับยาโคบ บุตรชายคนเล็กของนาง 16 นางเอาหนังของแพะหนุ่มสวมบนมือของเขา และบนส่วนที่เกลี้ยงเกลาที่ช่วงคอของเขา 17 นางนำอาหารอร่อย และขนมปังที่นางเตรียมใส่มือบุตรชายของนางคือยาโคบ

18 ยาโคบเข้าไปหาบิดาของเขาและพูดว่า "พ่อของฉัน" เขาตอบว่า"ลูกชายของเราเอ๋ยพ่ออยู่นี่ เจ้าคือใคร?" 19 ยาโคบตอบบิดาของเขาว่า "ลูกเอง เอซาว ลูกชายคนโตของท่าน ลูกได้ทำตามที่ท่านบอกลูก บัดนี้ขอให้ท่านนั่งลงและกินเนื้อที่ลูกหามา แล้วท่านจะได้อวยพรลูก" 20 อิสอัคพูดกับบุตรชายของเขาว่า "ลูกชายของเราเอ๋ย เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าสามารถล่ามันได้รวดเร็วอย่างนี้?" เขาตอบว่า "เพราะว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่านนำมันมาให้ลูก" 21 อิสอัคพูดกับยาโคบว่า "ลูกชายของเราเอ๋ย จงมาใกล้ๆ พ่อเถิด เพื่อพ่อจะได้สัมผัสเจ้า เพื่อที่พ่อจะรู้ว่าเจ้าเป็นลูกชายของพ่อ คือเอซาวตัวจริงหรือไม่" 22 ยาโคบเข้าไปยังอิสอัคบิดาของเขา และอิสอัคสัมผ้สเขาและพูดว่า "เสียงนั้นคือเสียงของยาโคบ แต่มือเป็นมือของเอซาว"

23 อิสอัคจำเขาไม่ได้เพราะมือของเขามีขนเหมือนมือเอซาว พี่ชายของเขา ดังนั้นอิสอัคจึงได้อวยพรเขา 24 เขาพูดว่า "เจ้าคือเอซาวลูกชายของเราจริงๆ หรือ?" เขาได้ตอบว่า "ใช่" 25 อิสอัคพูดว่า "จงนำอาหารมาให้พ่อ และพ่อจะกินเนื้อที่เจ้าหามา แล้วพ่อจะอวยพรเจ้า" ยาโคบนำอาหารมาให้เขา อิสอัคกินและยาโคบนำเหล้าองุ่นมาให้เขา และเขาก็ดื่ม

26 จากนั้นอิสอัค บิดาของเขาพูดกับเขาว่า "ลูกชายของเราเอ๋ย บัดนี้ จงเข้ามาใกล้พ่อและจูบพ่อ" 27 ยาโคบเข้ามาใกล้ และจูบเขา และเขาได้กลิ่นเสื้อผ้าของเขาและอวยพรเขา เขาพูดว่า "ดูสิ กลิ่นบุตรชายของเราเหมือนกลิ่นของท้องทุ่งที่พระยาห์เวห์ทรงอวยพระพร"

28 ขอพระเจ้าประทานส่วนที่มีน้ำค้างแห่งท้องฟ้า และส่วนที่อุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และมีธัญญพืช และเหล้าองุ่นใหม่มากมาย 29 ให้ประชาชนทั้งหลายรับใช้เจ้า และประชาชาติทั้งหลายโค้งคำนับให้แก่เจ้า เป็นเจ้านายเหนือพี่น้องทั้งหลายของเจ้า และขอให้บุตรชายทั้งหลายของมารดาเจ้าโค้งคำนับให้แก่เจ้า ขอให้ทุกคนที่แช่งสาปเจ้าถูกแช่งสาป ขอให้ทุกคนที่อวยพรเจ้าได้รับการอวยพร

30 ทันทีที่อิสอัคเสร็จสิ้นการอวยพรยาโคบ และยาโคบเกือบจะกลับออกไปจากอิสอัคบิดาของเขาแทบไม่ทัน เอซาวพี่ชายของเขากลับมาจากการล่าสัตว์ 31 เขาก็ปรุงอาหารที่อร่อย และนำมาให้บิดาของเขา เขาพูดกับบิดาของเขาว่า "พ่อ ขอให้ท่านลุกขึ้นและกินสิ่งที่ลูกชายของท่านได้ล่ามา เพื่อที่ท่านจะได้อวยพรลูก" 32 อิสอัคบิดาของเขาพูดกับเขาว่า "เจ้าเป็นใคร?" เขาตอบว่า "ลูกคือลูกชายของท่าน ลูกชายคนโตของท่าน คือเอซาว" 33 อิสอัคตัวสั่นมาก และพูดว่า "มันเป็นใครที่ได้ไปล่าสัตว์และนำมาให้พ่อ? พ่อกินมันหมดก่อนที่เจ้าเข้ามา และพ่อได้อวยพรเขาไปแล้วจริงๆ เขาจะได้รับการอวยพร"

34 เมื่อเอซาวได้ยินถ้อยคำทั้งหลายของบิดาเขา เขาจึงร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง และขมขื่น และพูดกับบิดาของเขาว่า "ขออวยพรลูก ให้ลูกด้วย พ่อของลูก" 35 อิสอัคพูดว่า "น้องชายของเจ้ามาที่นี่อย่างมีเล่ห์เหลี่ยมและเอาคำอวยพรของเจ้าไปแล้ว" 36 เอซาวพูดว่า "ผู้ที่ทำไม่ถูกต้องนี้คือยาโคบมิใช่หรือ? เพราะเขาหลอกลวงลูกอย่างนี้สองครั้งแล้ว เขาเอาสิทธิบุตรหัวปีของลูกไป และดูสิ เดี๋ยวนี้เขาเอาคำอวยพรของลูกไปอีกแล้ว" จากนั้นเขาพูดว่า "ท่านไม่มีคำอวยพรสำรองสำหรับลูกเลยหรือ?" 37 อิสอัคตอบและพูดกับเอซาวว่า "ดูเถิด พ่อทำให้เขาเป็นเจ้านายของเจ้า และพ่อให้พี่น้องทั้งหมดของเขาเป็นคนรับใช้เขา และพ่อให้ธัญญพืช และเหล้าองุ่นใหม่แก่เขา บุตรชายของพ่อเอ๋ย พ่อจะสามารถทำอะไรมากกว่านี้สำหรับเจ้าได้หรือ? 38 เอซาวพูดกับบิดาของเขาว่า "พ่อของลูก ท่านไม่มีคำอวยพรเหลือสำหรับลูกอีกสักคำอวยพรหนึ่งหรือ? พ่อของลูกขออวยพรลูก อวยพรลูกด้วย" เอซาวร้องไห้เสียงดัง

39 อิสอัคบิดาของเขาตอบ และพูดกับเขาว่า "ดูเถิด สถานที่ที่เจ้าอยู่จะอยู่ห่างไกลจากความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน ห่างไกลจากน้ำค้างของท้องฟ้าเบื้องบน 40 เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดาบของเจ้า และเจ้าจะรับใช้น้องชายของเจ้า แต่เมื่อเจ้ากบฏ เจ้าจะสลัดแอกของเขาออกจากคอของเจ้า"

41 เอซาวเกลียดชังยาโคบเพราะคำอวยพรที่บิดาของเขาให้แก่เขา เอซาวพูดในใจของเขาว่า "วันเวลาแห่งความโศกเศร้าสำหรับบิดาของฉันกำลังเข้ามาใกล้ หลังจากนั้นฉันจะฆ่าน้องชายของฉัน คือยาโคบ" 42 ถ้อยคำของเอซาว บุตรชายคนโตของนางได้ถูกนำมาบอกให้เรเบคาห์รู้ ดังนั้นนางจึงได้ส่งคนไป และเรียกยาโคบ บุตรชายคนเล็กของนาง และพูดกับเขาว่า "ดูเถิดพี่ชายของเจ้า คือเอซาว กำลังปลอบใจตัวเองเกี่ยวกับเจ้าโดยการวางแผนที่จะฆ่าเจ้า 43 บัดนี้ ลูกชายของแม่เอ๋ยจงเชื่อฟังแม่ และหนีไปหาลาบัน พี่ชายของแม่ ที่เมืองฮาราน 44 จงอยู่กับเขาชั่วขณะหนึ่งจนกว่าความโกรธของพี่ชายเจ้าจะลดลง 45 จนกว่าความโกรธของพี่ชายเจ้าหันไปจากเจ้า และเขาลืมในสิ่งที่เจ้าได้กระทำแก่เขา จากนั้นแม่จะส่งคนไป และรับเจ้ากลับมาจากที่นั่น ทำไมแม่ต้องเสียพวกเจ้าทั้งสองคนในวันเดียวกัน?

46 เรเบคาห์พูดกับอิสอัคว่า "ฉันเบื่อชีวิตเพราะบุตรหญิงทั้งหลายของคนฮิตไทต์ ถ้ายาโคบรับเอาบุตรหญิงของคนฮิตไทต์คนใดคนหนึ่งเป็นภรรยา เหมือนผู้หญิงเหล่านี้ บุตรหญิงของแผ่นดินนี้บางคน ชีวิตของฉันจะมีประโยชน์อะไร?"

28

1 อิสอัคเรียกยาโคบเข้ามา อวยพรเขา และสั่งเขาว่า "เจ้าต้องไม่รับหญิงคานาอันมาเป็นภรรยา 2 จงลุกขึ้น ไปปัดดานอารัม ไปยังบ้านของเบธูเอล บิดาของมารดาเจ้า และรับเอาภรรยาคนหนึ่งจากที่นั่น จากบุตรหญิงคนใดคนหนึ่งของลาบันพี่ชายของมารดาของเจ้า 3 ขอพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงอวยพรเจ้า ทำให้เจ้าเกิดผล และทวีมากขึ้น ดังนั้นเจ้าจะกลายเป็นมวลชนมากมาย 4 ขอให้พระองค์ประทานคำอวยพรของอับราฮัมแก่เจ้า และแก่บรรดาเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าหลังจากเจ้า เจ้าจะได้รับแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้แก่อับราฮัมเป็นมรดก" 5 ดังนั้นอิสอัคได้ส่งยาโคบไป ยาโคบไปยังปัดดานอารัม ไปหาลาบัน บุตรชายของเบธูเอล ชาวอารัม พี่ชายของเรเบคาห์ มารดาของยาโคบและเอซาว

6 บัดนี้เอซาวได้เห็นอิสอัคอวยพรยาโคบ และส่งเขาไปยังปัดดานอารัม เพื่อหาภรรยาจากที่นั่น เขาเห็นอิสอัคอวยพรเขาและสั่งเขา พูดว่า "เจ้าต้องไม่รับผู้หญิงคานาอันมาเป็นภรรยา" ด้วย 7 เอซาวเห็นว่ายาโคบเชื่อฟังบิดา และมารดาของเขาด้วย และเดินทางไปยังปัดดานอารัม 8 เอซาวเห็นว่าอิสอัค บิดาของเขา ไม่ชอบผู้หญิงคานาอัน 9 ดังนั้นเขาจึงไปหาอิชมาเอล และรับเอามาหะลัทน้องสาวของเนบาโยท บุตรหญิงของอิชมาเอลผู้เป็นบุตรชายของอับราฮัมมาเป็นภรรยาของเขาอีกคนหนึ่ง นอกเหนือไปจากภรรยาทั้งหลายที่เขามีอยู่แล้ว

10 ยาโคบออกจากเมืองเบเออร์เชบา และมุ่งหน้าไปเมืองฮาราน 11 เขามาถึงที่แห่งหนึ่งและพักที่นั่นทั้งคืน เพราะว่าดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว เขาเอาก้อนหินก้อนหนึ่งจากที่นั้นมาทำเป็นหมอนรองศีรษะ และนอนลงในที่นั้นเพื่อที่จะหลับ

12 เขาได้ฝัน และเห็นบันไดตั้งขึ้นบนแผ่นดิน ปลายของบันไดนั้นขึ้นไปถึงท้องฟ้า และหมู่ทูตสวรรค์ของพระเจ้ากำลังขึ้นและลงบนบันไดนั้น 13 ดูเถิดพระยาห์เวห์ทรงยืนอยู่ข้างบนนั้น และตรัสว่า "เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมบรรพบุรุษของเจ้า และพระเจ้าของอิสอัค แผ่นดินที่เจ้ากำลังนอนอยู่นี้ เราจะยกให้เจ้าและบรรดาเชื้อสายของเจ้า 14 เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าจะเป็นเหมือนผงคลีของแผ่นดิน และเจ้าจะแผ่กว้างไกลออกไปยังทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเหนือ และทิศใต้ ผ่านทางเจ้า และบรรดาเชื้อสายของเจ้า ทุกครอบครัวของแผ่นดินจะได้รับพระพร 15 ดูเถิดเราจะอยู่กับเจ้า และเราจะพิทักษ์รักษาเจ้าไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน เราจะนำเจ้ากลับมายังแผ่นดินนี้อีกครั้ง เพราะว่าเราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะทำทุกสิ่งที่เราสัญญาไว้กับเจ้า"

16 ยาโคบตื่นขึ้นจากการหลับของเขา และพูดว่า "แน่ทีเดียว พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ ณ ที่นี้ และฉันไม่รู้เรื่องมาก่อน" 17 เขาหวาดกลัว และพูดว่า "ที่นี้น่ากลัว ที่นี่ไม่ใช่อย่างอื่นแน่นอน นอกจากพระนิเวศของพระเจ้า นี่เป็นประตูแห่งฟ้าสวรรค์"

18 ยาโคบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และนำเอาก้อนหินที่เขาหนุนศีรษะนั้นมา เขาตั้งมันขึ้นเป็นเหมือนเสา และเทน้ำมันลงบนยอดก้อนหินนั้น 19 เขาจึงเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า เบธเอล ซึ่งเมืองนี้เดิมเรียกว่า ลูซ

20 ยาโคบปฏิญาณ กล่าวว่า "ถ้าพระเจ้าจะทรงสถิตกับข้าพระองค์ และจะพิทักษ์รักษาข้าพระองค์ในทางนี้ที่ข้าพระองค์กำลังจะเดิน และจะให้อาหารแก่ข้าพระองค์กิน และเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ 21 และทรงนำข้าพระองค์กลับสู่บ้านของบิดาอย่างปลอดภัย จากนั้นพระยาห์เวห์จะเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ 22 และก้อนหินที่ข้าพระองค์ได้ตั้งเป็นเหมือนเสานี้จะเป็นก้อนหินที่ศักดิ์สิทธิ์ จากทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้ข้าพระองค์ แน่นอนทีเดียว ข้าพระองค์จะถวายหนึ่งในสิบคืนให้พระองค์"

29

1 จากนั้นยาโคบเดินทางต่อไป และมาถึงแผ่นดินของประชาชนแห่งตะวันออก 2 เมื่อเขามองดู เขาเห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่งในท้องทุ่ง และดูเถิด มีแกะสามฝูงกำลังนอนอยู่ข้างๆ บ่อน้ำนั้น พวกเขาใช้น้ำจากบ่อน้ำนั้นเลี้ยงฝูงแกะ และมีก้อนหินใหญ่ปิดปากบ่อน้ำนั้น 3 เมื่อฝูงแกะทั้งหมดมารวมกันที่นั่น คนเลี้ยงแกะทั้งหลายจึงจะกลิ้งก้อนหินออกจากปากบ่อน้ำ และตักน้ำให้แกะ และจากนั้นก็จะกลิ้งก้อนหินปิดปากบ่ออีกครั้ง ให้กลับไปในที่เดิม

4 ยาโคบพูดกับพวกเขาว่า "พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย พวกท่านมาจากไหน?" พวกเขาตอบว่า "พวกเรามาจากเมืองฮาราน" 5 เขาพูดกับพวกเขาว่า "พวกท่านรู้จักลาบันบุตรชายของนาโฮร์หรือไม่?" พวกเขาตอบว่า "พวกเรารู้จักเขา" 6 เขาพูดกับพวกเขาว่า "เขาสบายดีหรือ?" พวกเขาตอบว่า "เขาสบายดี และดูนั่น ราเชล บุตรหญิงของเขากำลังมากับฝูงแกะนั้น" 7 ยาโคบพูดว่า "ดูสิ มันเป็นเวลาเที่ยงวัน มันไม่ใช่เวลาสำหรับฝูงสัตว์ที่จะมารวมกัน พวกท่านควรตักน้ำให้แกะและจากนั้นก็ไป ให้พวกมันกินหญ้า" 8 พวกเขาพูดว่า "พวกเราไม่สามารถตักน้ำให้พวกมันได้จนกว่าฝูงสัตว์ทั้งหมดจะมารวมตัวกัน จากนั้นพวกผู้ชายทั้งหลายจะกลิ้งก้อนหินออกจากปากบ่อน้ำ และเราจะตักน้ำให้แกะนั้น"

9 ขณะที่ยาโคบยังกำลังพูดอยู่กับพวกเขา ราเชลมาพร้อมกับฝูงแกะของบิดานาง เพราะนางกำลังเลี้ยงพวกมัน 10 เมื่อยาโคบเห็นราเชล บุตรหญิงของลาบัน พี่ชายของมารดาเขา และแกะของลาบัน ของพี่ชายของมารดาเขา ยาโคบเข้ามา กลิ้งก้อนหินออกจากปากบ่อน้ำ และตักน้ำให้ฝูงสัตว์ของลาบัน พี่ชายของมารดาเขา 11 ยาโคบจูบราเชล และร้องไห้เสียงดัง 12 ยาโคบบอกราเชลว่าเขาเป็นญาติของของบิดานาง และเขาคือบุตรชายของเรเบคาห์ จากนั้นนางวิ่งไป และบอกกับบิดาของนาง

13 เมื่อลาบันทราบเรื่องเกี่ยวกับยาโคบ บุตรชายของน้องสาวเขา เขาวิ่งไปพบเขา สวมกอดเขา จูบเขา และนำเขาไปยังบ้านของเขา ยาโคบบอกลาบันถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด 14 ลาบันพูดกับเขาว่า "ที่จริงแล้วเจ้าคือกระดูกของเรา และเนื้อของเรา" จากนั้นยาโคบอยู่กับเขาประมาณหนึ่งเดือน

15 จากนั้นลาบันพูดกับยาโคบว่า "เจ้าไม่ควรรับใช้เราเปล่าๆ เพราะว่าเจ้าเป็นญาติของเรามิใช่หรือ? จงบอกเรา เจ้าต้องการอะไรเป็นค่าจ้างของเจ้า?" 16 ขณะนั้นลาบันมีบุตรหญิงสองคน คนโตชื่อเลอาห์ และคนน้องชื่อราเชล 17 เลอาห์เป็นคนมีแววตาที่อ่อนโยน แต่ราเชลเป็นคนที่มีรูปร่างและหน้าตาสวยงาม 18 ยาโคบก็รักราเชล ดังนั้นเขาจึงพูดว่า "ข้าพเจ้าจะรับใช้ท่านเจ็ดปีเพื่อราเชล บุตรหญิงคนเล็กของท่าน" 19 ลาบันพูดว่า "มันดีกว่าที่เราจะยกนางให้กับเจ้า แทนที่เราจะยกนางให้กับอีกคนหนึ่ง จงอยู่กับเราเถิด"

20 ดังนั้นยาโคบจึงทำงานรับใช้เจ็ดปีเพื่อราเชล และมันดูเหมือนเป็นเพียงไม่กี่วันสำหรับเขา เพราะความรักที่เขามีต่อนาง 21 จากนั้นยาโคบได้พูดกับลาบันว่า "จงให้ภรรยาแก่ข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าได้ทำงานครบตามเวลาแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าควรแต่งงานกับนาง" 22 ดังนั้นลาบันรวบรวมผู้ชายทั้งหมดของสถานที่นั้น และจัดงานเลี้ยง

23 ในเวลาค่ำ ลาบันได้นำเอาเลอาห์บุตรหญิงของเขามา และนำนางไปให้ยาโคบผู้ซึ่งหลับนอนกับนาง 24 ลาบันให้หญิงรับใช้ของเขา คือศิลปาห์ แก่เลอาห์บุตรหญิงของเขา ให้เป็นคนรับใช้ของนาง 25 ในตอนเช้า ดูเถิด กลายเป็นเลอาห์ ยาโคบได้พูดกับลาบัน "ท่านทำอะไรกับข้าพเจ้า? ข้าพเจ้ารับใช้ท่านเพื่อราเชลมิใช่หรือ? ทำไมท่านจึงได้หลอกลวงข้าพเจ้า?" 26 ลาบันพูดว่า "มันไม่ใช่ธรรมเนียมของเราที่จะให้บุตรหญิงคนเล็กก่อนบุตรหญิงคนโต 27 ให้ครบเจ็ดวันของการแต่งงานของบุตรหญิงคนนี้ก่อน และเราจะยกอีกคนหนึ่งให้เจ้าด้วย และตอบแทนด้วยการรับใช้เราอีกเจ็ดปี"

28 ยาโคบทำอย่างนั้น และจนครบเจ็ดวันของเลอาห์ จากนั้นลาบันได้มอบราเชลให้เขา บุตรหญิงของเขา ให้เป็นภรรยาของเขาด้วย 29 ลาบันให้บิลฮาห์แก่ราเชล บุตรหญิงของเขา ให้เป็นคนรับใช้ของนาง 30 ดังนั้นยาโคบได้หลับนอนกับราเชลด้วย แต่เขารักราเชลมากกว่าเลอาห์ และยาโคบรับใช้ลาบันเป็นเวลาอีกเจ็ดปี 31 พระยาห์เวห์เห็นว่าเลอาห์ไม่ได้เป็นที่รัก ดังนั้นพระองค์ทรงเปิดครรภ์ของนาง แต่ราเชลนั้นไม่มีบุตร 32 เลอาห์ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง และนางเรียกชื่อเขาว่า รูเบน เพราะนางพูดว่า "เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงมองเห็นความลำบากของฉัน บัดนี้สามีของฉันจะรักฉัน"

33 จากนั้นนางตั้งครรภ์อีกครั้ง และให้กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่ง นางพูดว่า "เพราะว่าพระยาห์เวห์สดับว่าฉันไม่ได้เป็นที่รัก ดังนั้นพระองค์ได้ประทานบุตรชายคนนี้แก่ฉันด้วย" และนางเรียกชื่อเขาว่า สิเมโอน 34 จากนั้นนางก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง และให้กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่ง นางพูดว่า "ดั้งนั้นเวลานี้ สามีของฉันจะติดสนิทกับฉัน เพราะว่าฉันได้ให้กำเนิดบุตรชายสามคนแก่เขา" ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกชื่อว่า เลวี 35 นางตั้งครรภ์อีกครั้ง และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง นางพูดว่า "ครั้งนี้ ฉันจะสรรเสริญพระยาห์เวห์" ดังนั้นนางจึงเรียกชื่อเขาว่ายูดาห์ จากนั้นนางก็หยุดการมีบุตร

30

1 เมื่อราเชลเห็นว่านางไม่ได้ให้กำเนิดบุตรแก่ยาโคบ ราเชลก็อิจฉาพี่สาวของนาง นางพูดกับยาโคบว่า "จงให้บุตรแก่ฉัน หรือมิฉะนั้นก็ให้ฉันตายเสีย" 2 ยาโคบโกรธราเชลมาก เขาพูดว่า "เราเป็นเหมือนพระเจ้าผู้ซึ่งทำให้เจ้าไม่มีบุตรหรือ?" 3 นางพูดว่า "ดูสิ นี่คือบิลฮาห์คนรับใช้ของฉัน จงหลับนอนกับนาง เพื่อที่นางจะให้กำเนิดบุตรบนตักของฉัน และฉันจะมีบุตรโดยนาง" 4 ดังนั้นนางจึงให้บิลฮาห์คนรับใช้ของนางเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของยาโคบ และเขาหลับนอนกับนาง

5 บิลฮาห์ได้ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่ยาโคบ 6 ราเชลจึงพูดว่า "พระเจ้าทรงตัดสินด้วยความเมตตาฉัน พระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของฉัน และประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ฉัน" ด้วยเหตุนี้นางจึงเรียกชื่อเขาว่าดาน 7 บิลฮาห์คนรับใช้ของราเชลตั้งครรภ์อีกครั้งและคลอดบุตรชายคนที่สองแก่ยาโคบ 8 ราเชลพูดว่า "ด้วยการปล้ำสู้อย่างแข็งขัน ฉันปล้ำสู้กับพี่สาวของฉันและมีชัย" นางเรียกชื่อเขาว่านัฟทาลี

9 เมื่อเลอาห์เห็นว่านางหยุดการมีบุตรแล้ว นางนำศิลปาห์ คนรับใช้ของนางมา และให้นางเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของยาโคบ 10 ศิลปาห์ คนรับใช้ของเลอาห์ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่ยาโคบ 11 เลอาห์พูดว่า "นี่คือโชคดี" ดังนั้นนางจึงเรียกชื่อเขาว่ากาด 12 จากนั้นศิลปาห์ คนรับใช้ของเลอาห์ก็ให้กำเนิดบุตรชายคนที่สองแก่ยาโคบ 13 เลอาห์พูดว่า "ฉันมีความสุข เพราะบุตรหญิงทั้งหลายจะเรียกฉันว่าความสุข" ดังนั้นนางจึงเรียกชื่อของเขาว่าอาเชอร์

14 ในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี รูเบนเข้าไปในท้องทุ่งและพบต้นดูดาอิม เขานำผลทั้งหลายมาให้เลอาห์ มารดาของเขา และราเชลพูดกับเลอาห์ว่า "ขอผลดูดาอิมของบุตรชายท่านแก่ฉันบ้าง" 15 เลอาห์พูดกับนางว่า "มันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเจ้าหรือ ที่เจ้าแย่งเอาสามีของเราไป? และเดี๋ยวนี้เจ้ายังจะมาแย่งเอาผลดูดาอิมของบุตรชายเราไปอีกด้วยหรือ?" ราเชลพูดว่า "เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลดูดาอิมของบุตรชายท่าน คืนนี้เขาจะหลับนอนกับท่าน"

16 ในตอนเย็น ยาโคบมาจากท้องทุ่ง เลอาห์ออกไปพบเขาและพูดว่า "ท่านต้องหลับนอนกับฉันคืนนี้ เพราะฉันได้ว่าจ้างท่านด้วยผลดูดาอิมของบุตรชายฉัน" ดังนั้นยาโคบจึงหลับนอนกับเลอาห์คืนนั้น 17 พระเจ้าทรงฟังเลอาห์ และนางได้ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายคนที่ห้าแก่ยาโคบ 18 เลอาห์พูดว่า "พระเจ้าได้ประทานค่าจ้างของฉันเพราะฉันให้หญิงรับใช้ของฉันแก่สามีฉัน" นางเรียกชื่อเขาว่าอิสสาคาร์ 19 เลอาห์ตั้งครรภ์อีกครั้งและให้กำเนิดบุตรชายคนที่หกแก่ยาโคบ 20 เลอาห์พูดว่า "พระเจ้าได้ประทานของขวัญที่ดีแก่ฉัน บัดนี้สามีของฉันจะให้เกียรติแก่ฉัน เพราะว่าฉันได้ให้กำเนิดบุตรชายหกคนแก่เขา" นางเรียกชื่อเขาว่าเศบูลุน 21 หลังจากนั้นนางได้ให้กำเนิดบุตรหญิงคนหนึ่ง และเรียกชื่อนางว่าดีนาห์

22 พระเจ้าได้ระลึกถึงราเชลและฟังนาง พระองค์ทรงทำให้นางตั้งครรภ์ 23 นางได้ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง นางพูดว่า "พระเจ้าทรงนำเอาความอับอายของฉันออกไป" 24 นางเรียกชื่อเขาว่าโยเซฟ กล่าวว่า "พระยาห์เวห์ทรงเพิ่มบุตรชายอีกคนหนึ่งให้แก่ฉัน"

25 หลังจากราเชลให้กำเนิดโยเซฟ ยาโคบพูดกับลาบันว่า "ขอส่งข้าพเจ้าไป เพื่อที่ข้าพเจ้าจะไปยังบ้านของข้าพเจ้าและดินแดนของข้าพเจ้า 26 ขอมอบภรรยาทั้งหลายของข้าพเจ้า และบุตรทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้ที่ข้าพเจ้าได้มาเพราะข้าพเจ้าได้รับใช้ท่าน และอนุญาตให้ข้าพเจ้าไป เพราะท่านรู้ถึงการรับใช้ที่ข้าพเจ้าได้รับใช้ท่าน"

27 ลาบันพูดกับเขาว่า "เดี๋ยวนี้ ถ้าเราเป็นที่ชื่นชอบในสายตาเจ้า ขอรอไว้ก่อน เพราะว่าเราเรียนรู้โดยการใช้การพยากรณ์ว่า พระยาห์เวห์อวยพรเราเพราะเจ้า" 28 และเขาพูดอีกว่า "จงบอกค่าจ้างของเจ้ามา เราเต็มใจที่จะจ่ายค่าจ้างนั้น" 29 ยาโคบพูดกับเขาว่า "ท่านรู้อยู่แล้วว่า ข้าพเจ้ารับใช้ท่านอย่างไร และฝูงสัตว์เลี้ยงของท่านดีอย่างไรเมื่ออยู่กับข้าพเจ้า 30 ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมา ท่านมีฝูงสัตว์เพียงเล็กน้อย ขณะนี้มันได้เพิ่มขึ้นมากมาย พระยาห์เวห์อวยพรท่านในทุกอย่างที่ข้าพเจ้าได้ทำ แล้วเมื่อไรข้าพเจ้าจึงจะได้จัดเตรียมสำหรับครอบครัวของข้าพเจ้าเองบ้าง?" 31 ดังนั้นลาบันจึงพูดว่า "จะให้เราจ่ายอะไรแก่เจ้า?" ยาโคบพูดว่า "ท่านไม่ต้องให้อะไรแก่ข้าพเจ้า ถ้าท่านจะทำสิ่งนี้เพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเลี้ยงและดูแลรักษาฝูงสัตว์ของท่านอีกครั้ง

32 ในวันนี้ ให้ข้าพเจ้าเดินผ่านฝูงสัตว์ทั้งหมดของท่าน ขอแยกแกะทุกตัวที่มีจุด และด่าง และสีดำทุกตัวออกจากฝูง และแพะทุกตัวที่มีจุด และด่างทุกตัวออกจากฝูง เหล่านี้จะเป็นค่าจ้างของข้าพเจ้า 33 ความสัตย์ซื่อของข้าพเจ้าจะยืนยันกับข้าพเจ้าในภายหลัง เมื่อท่านจะมาตรวจสอบค่าจ้างของข้าพเจ้า ทุกตัวที่ไม่ด่าง และไม่มีจุดท่ามกลางแพะทั้งหลาย และสีดำท่ามกลางแกะทั้งหลาย ถ้าพบสักตัวในฝูงสัตว์ของข้าพเจ้า จะถือว่านั่นเป็นการขโมย" 34 ลาบันพูดว่า "ตกลง ให้เป็นไปตามที่เจ้าพูดนั้น" 35 วันนั้นลาบันได้แยกแพะตัวผู้ทั้งหลายซึ่งมีลายยาว และจุด และแพะตัวเมียทั้งหมดที่ด่าง และมีจุด ทุกตัวที่มีสีขาว และแกะทุกตัวที่มีสีดำ และให้พวกมันอยู่ในมือของพวกบุตรชายทั้งหลายของเขา 36 ลาบันได้แยกฝูงสัตว์ของเขากับของยาโคบให้อยู่ห่างกันระยะทางสามวันเดินทาง ดังนั้นยาโคบยังคงเลี้ยงสัตว์ที่เหลือของลาบัน

37 ยาโคบนำกิ่งไม้สดๆ จากต้นปอปลาร์และต้นอัลมอนด์ และต้นเปลน และปอกเปลือกให้เป็นริ้วขาว ทำให้เห็นเนื้อไม้สีขาวด้านใน 38 จากนั้นเขาวางกิ่งไม้ที่เขาปอกเปลือกต่อหน้าฝูงสัตว์ ข้างหน้ารางน้ำที่พวกมันเข้าดื่ม พวกมันตั้งท้องเมื่อพวกมันเข้ามาดื่มน้ำ 39 ฝูงสัตว์แพร่พันธุ์ข้างหน้ากิ่งไม้เหล่านั้น และฝูงสัตว์เกิดลูกอ่อนมีลาย เป็นด่าง และมีจุด 40 ยาโคบแยกลูกแกะเหล่านี้ออก แต่ทำให้ส่วนที่เหลือหันหน้าไปที่สัตว์ที่มีลาย และแกะดำทั้งหมดในฝูงของลาบัน จากนั้นเขาแยกฝูงสัตว์ของเขาสำหรับเขาเองต่างหาก และไม่นำไปรวมกับฝูงสัตว์ของลาบัน

41 เมื่อแกะที่แข็งแรงในฝูงกำลังจะผสมพันธุ์ ยาโคบก็จะวางกิ่งไม้เหล่านั้นในรางน้ำต่อหน้าฝูงแกะ ดังนั้นพวกมันจะตั้งท้องท่ามกลางกิ่งไม้เหล่านั้น 42 แต่หากสัตว์ที่อ่อนแอในฝูงเข้ามา เขาจะไม่วางกิ่งไม้เหล่านั้นต่อหน้าพวกมัน ดังนั้นสัตว์ตัวที่อ่อนแอเป็นของลาบัน และตัวที่แข็งแรงก็ตกเป็นของยาโคบ 43 ผู้ชายคนนั้นกลายเป็นคนมั่งคั่ง เขามีสัตว์ฝูงใหญ่ หญิงรับใช้ทั้งหลาย และชายรับใช้ทั้งหลาย และอูฐทั้งหลาย และลาทั้งหลาย

31

1 ขณะนั้นยาโคบได้ยินถ้อยคำของพวกบุตรชายของลาบัน พวกเขาพูดกันว่า "ยาโคบได้เอาทุกสิ่งที่เป็นของบิดาเราไป และจากทรัพย์สินของบิดาเรานั่นเอง เขาจึงได้มีความมั่งคั่งทั้งหมดนี้" 2 ยาโคบเห็นสีหน้าของลาบัน เขาเห็นว่าท่าทีของลาบันที่มีต่อเขานั้นได้เปลี่ยนแปลงไป

3 จากนั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับยาโคบว่า "จงกลับไปยังแผ่นดินของบรรพบุรุษของเจ้าและญาติของเจ้า และเราจะอยู่กับเจ้า" 4 ยาโคบให้คนไปและเรียกหาราเชล และเลอาห์ให้ไปยังท้องทุ่ง ไปที่ฝูงสัตว์ 5 และพูดกับพวกเขาว่า "ฉันเห็นว่าท่าทีของบิดาพวกเจ้าที่มีต่อฉันได้เปลี่ยนแปลงไป แต่พระเจ้าของบิดาฉันสถิตอยู่กับฉัน 6 พวกเจ้าก็รู้ว่ามันเป็นพละกำลังทั้งหมดของฉันที่ฉันได้รับใช้บิดาของพวกเจ้า 7 บิดาของพวกเจ้าหลอกลวงฉัน และปรับเปลี่ยนค่าจ้างของฉันถึงสิบครั้ง แต่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เขาทำร้ายฉัน 8 ถ้าเขาพูดว่า 'สัตว์ตัวที่ด่างจะเป็นค่าจ้างของเจ้า' จากนั้นฝูงสัตว์ทั้งหมดก็จะให้ลูกเป็นด่าง ถ้าเขาพูดว่า 'ให้ตัวที่ลายเป็นค่าจ้างของเจ้า' จากนั้นฝูงสัตว์ทั้งหมดก็จะให้ลูกเป็นลาย

9 ด้วยวิธีการนี้ พระเจ้าได้นำเอาฝูงสัตว์เลี้ยงของบิดาเจ้า และมอบพวกมันให้แก่ฉัน 10 ในฤดูผสมพันธ์ุสัตว์ ในความฝัน ฉันเห็นพวกแพะตัวผู้กำลังผสมพันธุ์กับฝูงสัตว์นั้น พวกแพะตัวผู้เป็นแพะลาย แพะด่าง และแพะมีจุด 11 ทูตสวรรค์ของพระเจ้าพูดกับฉันในความฝันว่า 'ยาโคบเอ๋ย' ฉันตอบว่า 'ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่' 12 เขาพูดว่า 'จงเงยหน้าและดูพวกแพะตัวผู้ซึ่งกำลังผสมพันธุ์ในฝูงสัตว์นั้น พวกมันเป็นแพะลาย แพะด่าง และแพะมีจุด เพราะว่าเราเห็นทุกสิ่งที่ลาบันกำลังทำกับเจ้า 13 เราคือพระเจ้าแห่งเบธเอล ที่ซึ่งเจ้าได้เจิมเสาหินต้นหนึ่ง ที่เจ้าได้ให้สัตย์สาบานแก่เรา บัดนี้จงลุกขึ้น และไปจากแผ่นดินนี้ และกลับไปยังแผ่นดินเกิดของเจ้า'"

14 ราเชล และเลอาห์ตอบและพูดกับเขาว่า "ยังจะมีส่วนใด หรือมรดกเหลือสำหรับพวกเราในบ้านของบิดาอีกหรือ? 15 เขาไม่ได้กระทำกับเราเช่นคนต่างชาติหรือ? เพราะเขาได้ขายเรา และใช้เงินของเราไปหมดแล้วด้วย 16 เพราะความมั่งคั่งทั้งหมด พระเจ้าได้เอาไปจากบิดาพวกเรา และเดี๋ยวนี้มันเป็นของพวกเรา และบุตรทั้งหลายของพวกเรา บัดนี้ท่านจงทำในสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสแก่ท่านเถิด"

17 ยาโคบจึงลุกขึ้น และเอาบุตรชายทั้งหลายของเขา และภรรยาทั้งหลายของเขาขึ้นหลังพวกอูฐ 18 เขาไล่ต้อนฝูงสัตว์ทั้งหมดของเขาไปข้างหน้าเขา พร้อมกับทรัพย์สินทั้งหมดของเขา รวมทั้งฝูงสัตว์ที่เขาหามาได้ในปัดดานอารัม จากนั้นเขาได้ออกเดินทางเพื่อไปหาอิสอัคบิดาของเขา ในแผ่นดินคานาอัน 19 เมื่อลาบันออกไปตัดขนแกะของเขา ราเชลได้ขโมยเทวรูปประจำบ้านของบิดานางไปด้วย 20 ยาโคบหลอกลาบัน คนอารัม โดยไม่ได้บอกเขาว่าเขากำลังจะจากไป 21 ดังนั้นเขาจึงหนีไปพร้อมกับสิ่งทั้งหมดที่เขามี และข้ามแม่น้ำไปอย่างรีบเร่ง และมุ่งหน้าไปยังดินแดนเทือกเขากิเลอาด

22 ในวันที่สาม ลาบันได้รับการบอกเล่าว่ายาโคบหนีไปแล้ว 23 ดังนั้นเขาจึงนำเอาญาติทั้งหลายของเขาไปกับเขา และ เดินทางไล่ตามเขาเป็นเวลาเจ็ดวัน เขาตามมาทันยาโคบในดินแดนเทือกเขากิเลอาด 24 ขณะนั้นพระเจ้าเสด็จมาหาลาบัน คนอารัมในความฝันตอนกลางคืนและตรัสกับเขาว่า "จงระวังที่เจ้าจะพูดกับยาโคบ ไม่ว่าดีหรือร้าย"

25 ลาบันไล่มาทันยาโคบ ขณะที่ยาโคบตั้งเต็นท์ของเขาในดินแดนเทือกเขา เช่นกันลาบันก็ตั้งเต็นท์กับพวกญาติของเขาในดินแดนเทือกเขากิเลอาด 26 ลาบันพูดกับยาโคบว่า "เจ้าได้ทำอะไร เจ้าหลอกลวงเรา และพาพวกบุตรหญิงของเราหนีมาเหมือนเชลยสงครามหรือ? 27 ทำไมเจ้าถึงหนีมาแบบลับๆ และหลอกลวงเรา และไม่บอกเรา? เราอยากจะส่งเจ้ากลับด้วยการเลี้ยงฉลอง และร้องเพลง ด้วยรำมะนา และพิณเขาคู่ 28 เจ้าไม่ได้ให้เราจูบลาหลานทั้งหลายของเรา และบุตรหญิงทั้งหลายของเรา บัดนี้เจ้าได้ทำในสิ่งที่โง่เขลา 29 มันเป็นอำนาจของเราที่จะทำร้ายเจ้า แต่พระเจ้าของบิดาเจ้าได้ตรัสกับเราเมื่อคืนนี้ และตรัสว่า 'จงระวังที่เจ้าจะพูดกับยาโคบไม่ว่าจะดีหรือร้าย'

30 เดี๋ยวนี้เจ้าหนีออกมาเพราะว่าเจ้าปรารถนาที่จะกลับไปยังบ้านของบิดาเจ้านานแล้ว แต่ทำไมเจ้าจึงขโมยพวกพระของเรามาด้วย?" 31 ยาโคบตอบและพูดกับลาบันว่า "เพราะว่าฉันกลัว และคิดว่าท่านจะใช้กำลังบีบบังคับเอาตัวบุตรหญิงทั้งหลายของท่านไปจากฉัน ดังนั้นฉันจึงออกมาอย่างลับ ๆ 32 ใครก็ตามที่ขโมยพวกพระของท่านมาจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ต่อหน้าญาติทั้งหลายของเรา จงพินิจพิจารณาว่าอะไรที่อยู่กับฉันและเป็นของท่าน และนำมันไปเถิด" เพราะว่ายาโคบไม่รู้ว่าราเชลได้ขโมยพวกมันมา

33 ลาบันเข้าไปในเต็นท์ของยาโคบ เข้าไปในเต็นท์ของเลอาห์ และเข้าไปในเต็นท์ของหญิงรับใช้ทั้งสอง แต่เขาไม่ได้พบพวกมัน เขาออกมาจากเต็นท์ของเลอาห์ และเข้าไปในเต็นท์ของราเชล 34 ขณะนั้นราเชลได้นำพวกเทวรูปประจำบ้าน เก็บไว้ในกูบอูฐ และนั่งทับพวกมันไว้ ลาบันหาทั่วเต็นท์ทั้งหมด แต่ไม่พบพวกมัน 35 นางพูดกับบิดาของนางว่า "อย่าโกรธเลยเจ้านายของฉัน ที่ฉันไม่สามารถลุกยืนต่อหน้าท่านได้เพราะฉันกำลังอยู่ในช่วงมีประจำเดือน" ดังนั้นเขาจึงหาแต่ไม่ได้พบพวกเทวรูปประจำบ้านของเขา

36 ยาโคบโกรธและโต้เถียงกับลาบัน เขาพูดกับลาบันว่า "ฉันทำผิดอะไร? ความบาปของฉันคืออะไร ที่ท่านต้องเร่งรีบติดตามฉันมา? 37 เพราะว่าท่านได้ค้นหาทรัพย์สินทั้งหมดของฉันแล้ว ท่านพบอะไรของพวกเครื่องใช้ในครัวเรือนทั้งหมด? นำพวกมันมาตั้งไว้ที่นี่ ต่อหน้าญาติของเรา เพื่อที่พวกเขาจะได้ตัดสินความระหว่างเราทั้งสองฝ่าย

38 เป็นเวลายี่สิบปีฉันอยู่กับท่าน แกะตัวเมียทั้งหลายของท่าน และแพะตัวเมียทั้งหลายไม่เคยหาย หรือฉันไม่เคยกินลูกแกะตัวผู้ใดๆ จากฝูงสัตว์ทั้งหลายของท่าน 39 ตัวที่ถูกฉีกกัดโดยสัตว์ป่า ฉันไม่ได้นำกลับมาให้ท่าน แต่ฉันได้ใช้แทนให้ ท่านให้ฉันชดใช้แทนสัตว์ทุกตัวที่หาย ไม่ว่าจะถูกขโมยในตอนกลางวัน หรือตอนกลางคืน 40 ฉันอยู่ที่นั่นในเวลากลางวันที่ร้อนแผดเผาฉัน และหิมะในตอนกลางคืน และฉันออกไปโดยไม่ได้นอนหลับ

41 ยี่สิบปีมานี้ ฉันอยู่ในครัวเรือนของท่าน ฉันทำงานให้ท่านสิบสี่ปี เพื่อบุตรหญิงทั้งสองคนของท่าน และหกปีเพื่อฝูงสัตว์เลี้ยงของท่าน ท่านได้ปรับเปลี่ยนค่าจ้างของฉันสิบครั้ง 42 ถ้าพระเจ้าของบิดาฉัน พระเจ้าของอับราฮัม และพระองค์เดียวที่อิสอัคเกรงกลัว ไม่ทรงสถิตอยู่กับฉัน แน่นอนทีเดียวท่านคงจะส่งเราไปมือเปล่า พระเจ้าทรงทอดพระเนตรการกดขี่ข่มเหงของฉัน และฉันทำงานหนักอย่างไร และพระองค์ทรงว่ากล่าวท่านเมื่อคืนนี้"

43 ลาบันตอบ และพูดกับยาโคบว่า "พวกบุตรหญิงก็เป็นบุตรหญิงทั้งหลายของเรา พวกหลานๆ ทั้งหลายของเรา และฝูงสัตว์ทั้งหลายก็คือพวกฝูงสัตว์ของเรา ทั้งหมดที่เจ้าเห็นล้วนเป็นของเรา แต่เราจะทำอะไรในวันนี้เพื่อพวกบุตรหญิงของเรา หรือเพื่อบุตรทั้งหลายของพวกเขาที่พวกเขาให้กำเนิดมา? 44 ดังนั้น มาเถิดให้เรามาทำพันธสัญญากัน ระหว่างเจ้ากับเรา และให้พันธสัญญานั้นเป็นพยานระหว่างเจ้ากับเรา" 45 ดังนั้นยาโคบจึงนำก้อนหินมาและตั้งเป็นกอง 46 ยาโคบพูดกับพวกญาติของเขาว่า "จงเก็บก้อนหินมารวมกัน" ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บก้อนหินมาทำเป็นกอง จากนั้นพวกเขาได้กินที่นั่นข้างกองหินนั้น

47 ลาบันเรียกมันว่าเยการ์สหดูธา แต่ยาโคบเรียกมันว่ากาเลเอด 48 ลาบันพูดว่า "วันนี้ กองหินนี้จะเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า" ดังนั้นมันจึงถูกเรียกชื่อว่ากาเลเอด 49 มันยังถูกเรียกว่า มิสปาห์ ด้วยเพราะว่าลาบันพูดว่า "ขอให้พระยาห์เวห์ทรงเฝ้าดูระหว่างเจ้ากับเรา เมื่อเราพ้นจากสายตาซึ่งกันและกัน 50 ถ้าเจ้าปฏิบัติไม่ดีต่อบุตรหญิงทั้งหลายของเรา หรือถ้าเจ้าไปมีภรรยาใหม่ที่นอกเหนือไปจากบุตรหญิงทั้งหลายของเรา ถึงแม้ว่าเราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่เห็น พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเจ้ากับเรา"

51 ลาบันพูดกับยาโคบ "จงดูกองหินนี้ และมองไปที่เสาหินซึ่งเราตั้งไว้ระหว่างเจ้ากับเรา 52 กองหินนี้เป็นพยาน และเสาหินนี้ก็เป็นพยาน ที่เราจะไม่ผ่านเข้าไปเกินกว่าเสานี้ไปหาเจ้า และที่เจ้าก็จะไม่ผ่านเข้าไปเกินกว่ากองหินนี้ และเสาหินนี้ไปหาเราเพื่อที่จะทำร้ายกัน 53 ขอให้พระเจ้าของอับราฮัม และพระของนาโฮร์ และพวกพระทั้งหลายของบิดาพวกเขา วินิจฉัยตัดสินความระหว่างเรา" ยาโคบได้สาบานโดยพระองค์ผู้ที่อิสอัคบิดาของท่านเกรงกลัว 54 ยาโคบได้ถวายเครื่องบูชาบนภูเขา และเรียกพวกญาติของเขามากินอาหาร พวกเขาทั้งหลายได้กินและใช้เวลาทั้งคืนบนภูเขานั้น

55 ลาบันตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ จูบพวกหลานชายของเขา และพวกบุตรหญิงของเขา และอวยพรพวกเขา จากนั้นลาบันก็ได้จากไป และกลับไปยังบ้าน

32

1 ยาโคบจึงไปตามทางของเขา และเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าพบเขา 2 เมื่อยาโคบเห็นพวกเขา เขาพูดว่า “นี่คือที่พักของพระเจ้า” ดังนั้นเขาจึงเรียกชื่อที่นั้นว่ามาหะนาอิม

3 ยาโคบได้ส่งพวกคนสื่อสารไปล่วงหน้าเขา ไปหาเอซาวพี่ชายของเขาในแผ่นดินเสอีร์ ในดินแดนของเอโดม 4 เขาสั่งคนเหล่านั้นว่า “นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าจะต้องพูดกับเอซาวเจ้านายของเรา นี่คือสิ่งที่ยาโคบผู้รับใช้ของท่านพูดคือ ‘ฉันได้อยู่กับลาบันและเลื่อนเวลากลับมาของฉันจนถึงบัดนี้ 5 ฉันมีพวกวัว พวกลา และฝูงสัตว์เลี้ยง พวกคนรับใช้ผู้ชาย และพวกคนรับใช้ผู้หญิง ฉันได้ส่งสารนี้มาถึงเจ้านายของฉัน เพื่อที่ฉันจะได้มีความชอบในสายตาของท่าน’”

6 พวกคนสื่อสารกลับมาหายาโคบ และพูดว่า “พวกเราได้ไปหาเอซาวพี่ชายของท่าน เขากำลังมาเพื่อจะพบท่าน และมีผู้ชายสี่ร้อยคนมากับเขาด้วย” 7 ยาโคบก็มีความหวาดกลัว และทุกข์ใจ ดังนั้นเขาจึงแยกพวกคนที่มากับเขาเป็นสองพวก และแยกฝูงสัตว์เลี้ยง ฝูงแพะ แกะ และอูฐทั้งหลายออกเป็นสองพวกด้วย 8 เขาพูดว่า “ถ้าเอซาวมาพบพวกกลุ่มที่หนึ่งและโจมตี จากนั้นพวกกลุ่มที่สองที่เหลือจะได้หนีทัน”

9 ยาโคบพูดว่า "พระเจ้าของอับราฮัมบรรพบรุษของข้าพระองค์ และพระเจ้าของอิสอัคบิดาของข้าพระองค์ พระยาห์เวห์ผู้ได้ตรัสกับข้าพระองค์ว่า 'จงกลับไปยังภูมิลำเนาของเจ้า และญาติพี่น้องของเจ้า และเราจะให้เจ้าเจริญรุ่งเรือง' 10 ข้าพระองค์ไม่มีค่าพอกับการกระทำทั้งสิ้นของพระองค์ตามพันธสัญญาแห่งความสัตย์ซื่อ และความไว้วางใจที่ทรงคุณค่าทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงกระทำเพื่อผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะด้วยเพียงไม้เท้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ และเดี๋ยวนี้ข้าพระองค์เป็นคนสองเผ่า 11 ขอทรงโปรดช่วยกู้ข้าพระองค์จากมือของพี่ชายของข้าพระองค์ จากมือของเอซาว เพราะข้าพระองค์กลัวเขา เขาจะมาและโจมตีข้าพระองค์และมารดาทั้งหลายกับพวกเด็ก 12 แต่พระองค์ตรัสว่า 'เราจะทำให้เจ้าเจริญรุ่งเรืองแน่นอน เราจะทำให้เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าเป็นเหมือนทรายแห่งท้องทะเล ซึ่งไม่สามารถจะนับจำนวนพวกเขาได้'"

13 ยาโคบพักที่นั่นคืนนั้น เขาเอาบางสิ่งที่เขามีอยู่กับเขาจัดเป็นของกำนัลสำหรับเอซาวพี่ชายของเขา 14 แพะตัวเมียสองร้อยตัวและแพะตัวผู้ยี่สิบตัว แกะตัวเมียสองร้อยตัวและแกะตัวผู้ยี่สิบตัว 15 อูฐที่กำลังให้นมสามสิบตัวและลูกอูฐตัวผู้ทั้งหลายของพวกมัน วัวตัวเมียสี่สิบตัว และวัวตัวผู้สิบตัว ลาตัวเมียยี่สิบตัวและลาตัวผู้สิบตัว 16 เขามอบสัตว์เหล่านี้ไว้ในมือพวกคนรับใช้ของเขา แต่ละฝูงแยกกลุ่มกัน เขาพูดกับพวกคนรับใช้ของเขาว่า "จงไปข้างหน้าของเราและทิ้งระยะห่างระหว่างแต่ละฝูง"

17 เขาสั่งให้คนรับใช้กลุ่มแรก พูดว่า "เมื่อเอซาวพี่ชายของเราพบพวกเจ้าและถามพวกเจ้า ถามว่า 'พวกเจ้าเป็นคนของใคร? พวกเจ้ากำลังจะไปไหน? ใครเป็นเจ้าของฝูงสัตว์ที่อยู่ต่อหน้าของพวกเจ้า?' 18 จากนั้นพวกเจ้าจะต้องพูดว่า 'พวกมันเป็นของยาโคบผู้รับใช้ของท่าน' พวกมันเป็นของกำนัลที่ส่งไปยังเอซาวเจ้านายของข้าพเจ้า ดูเถิด เขากำลังตามพวกเรามา'" 19 ยาโคบสั่งคนใช้กลุ่มที่สอง และกลุ่มที่สาม และผู้ชายทั้งหมดที่ติดตามฝูงสัตว์ทั้งหลาย เขาพูดว่า "เมื่อพวกเจ้าพบเอซาว พวกเจ้าจะต้องพูดกับเขาอย่างเดียวกัน 20 พวกเจ้าต้องพูดด้วยว่า 'ยาโคบผู้รับใช้ของท่านกำลังตามพวกเรามา' " เพราะเขาได้คิดว่า "ฉันจะปลอบใจเขาด้วยพวกของกำนัลที่ฉันกำลังส่งไปล่วงหน้าฉัน จากนั้นภายหลัง เมื่อฉันจะพบเขา บางทีเขาจะยอมรับฉัน" 21 ดังนั้นของกำนัลทั้งหลายจึงได้ถูกส่งไปก่อนหน้าเขา ตัวเขาเองอยู่ค้างคืนอยู่ที่ที่พัก

22 ยาโคบตื่นขึ้นในตอนกลางคืน และนำเอาภรรยาทั้งสองของเขา หญิงรับใช้ทั้งสองของเขา และบุตรชายทั้งสิบเอ็ดคนของเขา เขาจึงส่งพวกเขาข้ามที่ตื้นของแม่น้ำยับบอก 23 ด้วยวิธีนี้เขาจึงส่งพวกเขาข้ามแม่น้ำไปกับทรัพย์สินของเขาทั้งหมด 24 ยาโคบถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว และมีผู้ชายคนหนึ่งมาปล้ำสู้กับเขาจนกระทั่งรุ่งเช้า

25 เมื่อผู้ชายคนนั้นได้เห็นว่าเขาไม่สามารถเอาชนะยาโคบได้ เขาจึงทุบสะโพกของยาโคบ สะโพกของยาโคบจึงเคล็ดเมื่อเขาได้ปล้ำสู้กับชายคนนั้น 26 ผู้ชายคนนั้นพูดว่า "ปล่อยเราไปเถอะ เพราะกำลังจะเช้าแล้ว" ยาโคบพูดว่า "ฉันจะไม่ปล่อยท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรฉันก่อน"

27 ผู้ชายคนนั้นพูดกับเขาว่า "เจ้าชื่ออะไร?" ยาโคบตอบว่า "ยาโคบ" 28 ผู้ชายคนนั้นพูดว่า "ชื่อของเจ้าจะไม่ถูกเรียกว่ายาโคบอีกต่อไป แต่จะถูกเรียกว่า อิสราเอล เพราะว่าเจ้าได้ต่อสู้กับพระเจ้ากับพวกผู้ชาย และได้รับชัยชนะ" 29 ยาโคบพูดกับเขาว่า "กรุณาบอกชื่อของท่านให้ฉันรู้ด้วย" เขาพูดว่า "ทำไมเจ้าจึงถามชื่อของเรา?" ชายคนนั้นจึงได้อวยพรเขาที่นั่น

30 ยาโคบเรียกชื่อสถานที่นั้นว่าเปนีเอล เพราะเขาพูดว่า "ฉันได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า และชีวิตของฉันยังคงอยู่ต่อไป" 31 เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ยาโคบเดินผ่านเปนีเอล เขาเดินกระเผลกเพราะสะโพกของเขา

32 นี่คือสาเหตุที่คนอิสราเอลทุกวันนี้ไม่กินเอ็นของสะโพกซึ่งอยู่ที่ข้อต่อสะโพก เพราะว่าชายคนนั้นทำให้เอ็นเหล่านั้นบาดเจ็บขณะที่สะโพกของยาโคบเคล็ด

33

1 ยาโคบมองขึ้นไป และดูเถิดเอซาวกำลังเข้ามาพร้อมกับผู้ชายสี่ร้อยคน ยาโคบได้แบ่งเด็กทั้งหลายท่ามกลางเลอาห์ ราเชล และหญิงรับใช้ทั้งสองคน 2 จากนั้นเขาได้ให้พวกหญิงรับใช้และบุตรทั้งหลายของพวกเขาอยู่ข้างหน้า ตามด้วยเลอาห์ และบุตรทั้งหลายของนาง และตามด้วยราเชลและโยเซฟอยู่ท้ายสุด 3 ตัวเขาเองอยู่ข้างหน้าพวกเขา เขาโค้งคำนับลงถึงพื้นเจ็ดครั้ง จนกระทั่งเขาเข้ามาใกล้พี่ชายของเขา

4 เอซาววิ่งเข้ามาพบเขา สวมกอดเขา กอดคอเขา และจูบเขา จากนั้นพวกเขาได้ร้องไห้ 5 เมื่อเอซาวมองขึ้นดู เขาเห็นพวกผู้หญิงและเด็กทั้งหลาย เขาพูดว่า "คนเหล่านี้ที่อยู่กับเจ้าเป็นใคร?" ยาโคบตอบว่า "บรรดาบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าทรงมีพระเมตตาประทานให้ผู้รับใช้ของท่าน" 6 จากนั้นพวกหญิงรับใช้เข้ามาข้างหน้าพร้อมกับบุตรทั้งหลายของพวกนาง และพวกเขาโค้งคำนับ 7 ถัดไปเลอาห์และบุตรทั้งหลายของนางเข้ามาข้างหน้าและโค้งคำนับด้วย สุดท้ายโยเซฟและราเชลเข้ามาข้างหน้าและโค้งคำนับ

8 เอซาวพูดว่า "เจ้าหมายความว่าอย่างไรกับบรรดาสิ่งเหล่านี้ที่เราได้เห็น?" ยาโคบตอบว่า "เพื่อให้เป็นที่ชอบในสายตาของเจ้านายของฉัน" 9 เอซาวพูดว่า "เรามีเพียงพออยู่แล้ว น้องเราเอ๋ย จงเก็บไว้สิ่งที่เจ้ามีไว้เพื่อตัวเจ้าเองเถอะ" 10 ยาโคบพูดว่า "อย่าเลย กรุณาเถอะ หากฉันเป็นที่ชอบในสายตาของท่าน ก็ขอให้รับของกำนัลของฉันจากมือของฉัน เพราะจริงๆ แล้วเมื่อฉันได้เห็นหน้าท่าน ก็เหมือนกำลังเห็นพระพักตร์พระเจ้า และท่านได้ยอมรับฉัน 11 กรุณารับของกำนัลของฉันที่นำมาให้ท่าน เพราะพระเจ้าทรงกระทำกับฉันด้วยความเมตตา และเพราะว่าฉันมีเพียงพอแล้ว" ยาโคบคะยั้นคะยอเขา และเอซาวก็ได้รับของกำนัลไว้

12 จากนั้นเอซาวพูดว่า "ให้เราเดินทางกันเถอะ เราจะไปข้างหน้าเจ้า" 13 ยาโคบพูดกับเขาว่า "เจ้านายของฉันรู้แล้วว่าพวกเด็กๆ ยังเล็กอยู่ และพวกแกะ และฝูงสัตว์เลี้ยงกำลังเลี้ยงลูกอ่อนของพวกมัน ถ้าพวกมันถูกไล่ต้อนอย่างรีบเร่งแม้แต่เพียงหนึ่งวัน สัตว์ทั้งหมดก็จะตาย 14 ขอให้เจ้านายของฉันล่วงหน้าไปก่อนผู้รับใช้ของท่าน ฉันจะค่อยๆ เดินทางไปช้าๆ ตามกำลังของฝูงสัตว์เลี้ยงที่อยู่ข้างหน้าฉัน และตามกำลังของพวกเด็กๆ จนกว่าฉันจะไปพบเจ้านายของฉันที่เสอีร์" 15 เอซาวพูดว่า "เราจะให้คนของเราที่อยู่กับเราบางส่วนอยู่กับเจ้า" แต่ยาโคบพูดว่า "ทำไมต้องทำอย่างนั้น? เจ้านายของฉันมีเมตตาต่อฉันอย่างเพียงพอแล้ว" 16 ดังนั้นเอซาวจึงออกเดินทางกลับเสอีร์ในวันนั้น

17 ยาโคบเดินทางถึงสุคคท ได้สร้างบ้านสำหรับตัวเขาเอง และสร้างเพิงทั้งหลายสำหรับฝูงสัตว์เลี้ยงของเขา สถานที่นั้นจึงถูกเรียกชื่อว่าสุคคท 18 เมื่อยาโคบมาจากปัดดานอารัม เขาไดมาถึงเมืองเชเคม ซึ่งอยู่ในแผ่นดินคานาอันอย่างปลอดภัย เขาได้ตั้งที่พักใกล้เมืองนั้น 19 จากนั้นเขาซื้อที่ดินผืนหนึ่ง ที่เขาตั้งเต็นท์ของเขาจากบุตรชายทั้งหลายของฮาโมร์ บิดาของเชเคมด้วยเงินหนึ่งร้อยแผ่น 20 ที่นั่นเขาได้ตั้งแท่นบูชา และเรียกมันว่าเอลเอโลเฮ อิสราเอล

34

1 ขณะที่ดีนาห์ บุตรหญิงของเลอาห์ผู้ที่นางได้ให้กำเนิดแก่ยาโคบออกไปพบหญิงสาวของแผ่นดินนั้น 2 เชเคมบุตรชายของฮาโมร์ คนฮิตไทต์ เจ้าชายของแผ่นดินนั้นได้เห็นนาง และเขาได้ฉุดนางและบังคับขืนใจนาง และหลับนอนกับนาง 3 เขาหลงใหลดีนาห์ บุตรหญิงของยาโคบ เขารักหญิงสาวและพูดอย่างอ่อนโยนกับนาง 4 เชเคมพูดกับฮาโมร์บิดาของเขา กล่าวว่า "ไปขอหญิงสาวนี้ให้เป็นภรรยาของลูกเถิด"

5 ขณะนั้นยาโคบได้ยินเรื่องที่เขาได้กระทำเสื่อมเสียกับดีนาห์ บุตรหญิงของเขา บุตรชายทั้งหลายของเขากำลังอยู่กับฝูงสัตว์เลี้ยงของเขาในท้องทุ่ง ดังนั้นยาโคบจึงสงบสติอารมณ์จนกระทั่งพวกเขาทั้งหลายกลับเข้ามา 6 ฮาโมร์บิดาของเชเคมออกไปหายาโคบเพื่อที่จะพูดกับเขา 7 บุตรชายทั้งหลายของยาโคบกลับเข้ามาจากท้องทุ่งและเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้ พวกผู้ชายทั้งหลายต่างไม่พอใจ พวกเขาโกรธเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าเขาทำให้อิสราเอลเสื่อมเสียโดยการใช้กำลังของเขาเองในเรื่องบุตรหญิงของยาโคบ ในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ

8 ฮาโมร์พูดกับพวกเขา กล่าวว่า "เชเคมบุตรชายของเรารักบุตรหญิงของท่าน กรุณายกนางให้เป็นภรรยาของเขาเถิด 9 การแต่งงานระหว่างกันกับพวกเรา ยกบุตรหญิงทั้งหลายของท่านให้แก่เรา และรับเอาบุตรหญิงทั้งหลายของพวกเราไปเพื่อพวกท่านเอง 10 ท่านจะอาศัยอยู่กับเรา และแผ่นดินจะเปิดแก่ท่านที่จะอาศัยและค้าขาย และเพื่อที่จะเข้าถือสิทธิ์ในทรัพย์สิน" 11 เชเคมได้พูดกับบิดาของนาง และพวกพี่ชายของนางว่า "ขอให้ข้าพเจ้าเป็นที่ชอบในสายตาของพวกท่าน และท่านจะเรียกร้องอะไร ข้าพเจ้าก็จะให้ 12 จะเรียกร้องค่าสินสอดทองหมั้นจำนวนมหาศาล และของขวัญก็ตามใจของท่าน และข้าพเจ้าจะให้อะไรก็ได้ตามที่ท่านพูดกับข้าพเจ้า แต่ขอให้ยกหญิงสาวนั้นเป็นภรรยาข้าพเจ้า"

13 บุตรชายทั้งหลายของยาโคบได้ตอบเชเคม และฮาโมร์บิดาของเขาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม เพราะเชเคมทำให้ดีนาห์น้องสาวของพวกเขาเสื่อมเสีย 14 พวกเขาพูดกับเขาทั้งหลายว่า "พวกเราไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ คือการยกน้องสาวของพวกเราให้กับใครคนใดคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าสุหนัต เพราะว่ามันเป็นการทำให้เราอัปยศอดสู 15 มีทางเดียวเท่านั้นที่เราจะตกลงกับพวกท่านได้ก็คือ ถ้าพวกท่านจะเข้าสุหนัตเหมือนพวกเรา ถ้าผู้ชายทุกคนในท่ามกลางพวกท่านเข้าสุหนัต 16 จากนั้นพวกเราจะยกบุตรสาวของพวกเราให้พวกท่าน และพวกเราจะรับบุตรหญิงทั้งหลายของพวกท่านมาเพื่อพวกเรา และพวกเราจะอาศัยอยู่กับพวกท่าน และกลายเป็นประชาชนหนึ่งเดียว 17 แต่ถ้าพวกท่านไม่ฟังพวกเราในการที่จะเข้าสุหนัต พวกเราจะเอาน้องสาวของพวกเราคืน และพวกเราก็จะจากไป"

18 คำพูดของพวกเขาทำให้ฮาโมร์และเชเคมบุตรชายของเขาพอใจ 19 ชายหนุ่มนั้นไม่ได้รีรอที่จะปฏิบัติตามในสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะว่าเขาพึงพอใจในตัวของบุตรหญิงของยาโคบ และเพราะว่าเขาเป็นคนที่ได้รับเกียรติมากที่สุดในบรรดาคนทั้งหลายในครัวเรือนของบิดาเขา

20 ฮาโมร์และเชเคมบุตรชายของเขาไปที่ประตูเมืองของพวกเขาและพูดกับบรรดาผู้ชายของเมืองของเขาทั้งหลาย กล่าวว่า 21 "คนเหล่านี้อยู่กับพวกเราอย่างสันติ ดังนั้นขอให้พวกเขาได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน และค้าขายเถิด ที่จริงแล้วแผ่นดินนั้นก็กว้างใหญ่เพียงพอสำหรับพวกเขา ให้พวกเรารับบุตรหญิงทั้งหลายของพวกเขามาเป็นภรรยา และให้พวกเรายกบุตรหญิงของพวกเราให้พวกเขาด้วย 22 ด้วยเพียงเงื่อนไขนี้พวกผู้ชายตกลงที่จะอาศัยอยู่กับพวกเรา และกลายเป็นประชาชนหนึ่งเดียว คือถ้าผู้ชายทุกคนในท่ามกลางพวกเราจะเข้าสุหนัตเหมือนที่พวกเขาได้เข้าสุหนัต

23 พวกสัตว์เลี้ยง ทรัพย์สิน และสัตว์ทั้งหลายของพวกเขาจะไม่ตกเป็นของพวกเราหรือ? ดังนั้นให้พวกเราตกลงกับพวกเขาและพวกเขาจะอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเรา" 24 ผู้ชายทั้งหมดของเมืองนั้นได้ฟังฮาโมร์และเชเคมบุตรชายของเขา ผู้ชายทุกคนก็ได้เข้าสุหนัต

25 ในวันที่สาม ขณะที่พวกเขาทั้งหลายยังเจ็บอยู่ บุตรชายสองคนของยาโคบ (สิเมโอนและเลวี พวกพี่ชายของดีนาห์) แต่ละคนได้เอาดาบของเขา และพวกเขาเข้าโจมตีเมืองนั้นที่มั่นใจว่าตนเองปลอดภัย และพวกเขาได้ฆ่าพวกผู้ชายทั้งหมด 26 พวกเขาฆ่าฮาโมร์ และเชเคมบุตรชายของเขาด้วยคมดาบ พวกเขาเอาดีนาห์ออกจากบ้านของเชเคม และหนีออกไป

27 พวกบุตรชายคนอื่น ๆ ของยาโคบเข้ามาที่ซากศพ และปล้มสะดมเมืองนั้น เพราะว่าประชาชนของเมืองนั้นทำให้น้องสาวของพวกเขาเสื่อมเสีย 28 พวกเขาปล้นเอาสัตว์ทั้งหลายของพวกเขา ฝูงสัตว์ของพวกเขา ลาทั้งหลาย และทุกสิ่งทุกอย่างของเขาทั้งหลายในเมืองนั้น และในท้องทุ่งรอบๆ 29 ความมั่งคั่งทั้งหมดของเขาทั้งหลาย พวกเขาได้จับตัวพวกเด็กๆ และพวกภรรยาของเขาทั้งหลาย พวกเขาได้เอาของทุกสิ่งที่อยู่ในบ้านทั้งหลาย

30 ยาโคบพูดกับสิเมโอนและเลวีว่า "พวกเจ้าได้นำความลำบากมาสู่เรา ทำให้เราเสื่อมทรามลงในผู้ที่อาศัยในแผ่นดินนั้น คือคนคานาอัน และคนเปริสซี เรามีคนจำนวนน้อย ถ้าพวกเขารวมตัวเป็นพวกเดียวกันมาต่อต้านเรา และโจมตีเรา แล้วเราคงจะต้องถูกทำลาย เราและครัวเรือนของเรา" 31 แต่สิเมโอนและเลวีพูดว่า "ควรหรือที่เชเคมได้กระทำต่อน้องสาวของพวกเราเหมือนโสเภณี?"

35

1 พระเจ้าตรัสกับยาโคบว่า "จงลุกขึ้น จงไปยังเบธเอล และอยู่ที่นั่น จงสร้างแท่นบูชาแด่พระเจ้าที่นั่น พระเจ้าผู้ได้ทรงปรากฏแก่เจ้าเมื่อเจ้าหนีจากเอซาวพี่ชายของเจ้า" 2 จากนั้นยาโคบพูดกับครัวเรือนของเขาและกับคนทั้งหมดที่อยู่กับเขา "จงละทิ้งพระต่างชาติทั้งหลายที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้า จงชำระตัวพวกเจ้าเอง และเปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกเจ้า 3 แล้วให้พวกเราออกเดินทางและขึ้นไปถึงเบธเอล เราจะสร้างแท่นบูชาแด่พระเจ้าที่นั่น พระองค์ผู้ได้ทรงตอบเราในวันแห่งความทุกข์ยากของเรา และทรงสถิตอยู่กับเราไม่ว่าเราจะไปที่ไหน" 4 ดังนั้นพวกเขาจึงได้ให้พระต่างชาติทั้งหมดที่มีอยู่ที่มือของพวกเขาแก่ยาโคบ และต่างหูทั้งหลายที่อยู่ที่หูของพวกเขา ยาโคบฝังสิ่งเหล่านั้นที่ใต้ต้นโอ๊คที่อยู่ใกล้เชเคม

5 เมื่อพวกเขาออกเดินทาง พระเจ้าทรงทำให้ชาวเมืองทั้งหลายที่อยู่รอบๆ เกิดความหวาดกลัวพวกเขา ดังนั้นพวกประชาชนเหล่านั้นจึงไม่กล้าไล่ตามพวกบุตรชายของยาโคบ 6 ยาโคบมาถึงลูซ (นั่นคือเบธเอล) ซึ่งอยู่ในแผ่นดินคานาอัน เขาและคนทั้งหมดที่อยู่กับเขา 7 เขาได้สร้างแท่นบูชาที่นั่นและเรียกสถานที่นั้นว่า เอล เบธเอล เพราะว่าที่นั่นพระเจ้าได้ทรงปรากฏพระองค์เองต่อเขา เมื่อเขากำลังหนีจากพี่ชายของเขา 8 เดโบราห์ พี่เลี้ยงของเรเบคาห์ ได้เสียชีวิต นางได้ถูกฝังไว้ใต้ต้นโอ๊คทางใต้ของเบธเอล ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่าอัลโลนบาคูธ

9 เมื่อยาโคบมาจากปัดดานอารัม พระเจ้าได้ทรงปรากฏแก่เขาอีกครั้งและอวยพรเขา 10 พระเจ้าตรัสกับเขาว่า "ชื่อของเจ้าคือยาโคบ แต่ชื่อของเจ้าจะไม่ถูกเรียกว่ายาโคบอีกต่อไป ชื่อของเจ้าจะเป็นอิสราเอล" ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงเรียกชื่อของเขาว่าอิสราเอล

11 พระเจ้าตรัสกับเขาว่า "เราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จงเกิดผลและเพิ่มทวีคูณ ชนชาติหนึ่งและบรรดาประชาชาติจะออกมาจากเจ้า และกษัตริย์หลายพระองค์จะอยู่ท่ามกลางเชื้อสายทั้งหลายของเจ้า 12 แผ่นดินที่เราได้ให้แก่อับราฮัมและอิสอัค เราจะประทานให้แก่เจ้า แก่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าที่จะเกิดมาภายหลังเจ้า เราก็จะประทานแผ่นดินนั้นให้ด้วย"

13 พระเจ้าได้เสด็จขึ้นไปจากเขาจากสถานที่ที่ซึ่งพระองค์ตรัสกับเขา 14 ยาโคบได้ตั้งเสาในสถานที่นั้นที่พระเจ้าได้ตรัสกับเขา คือเสาหินต้นหนึ่ง เขาเทเครื่องดื่มบูชาเหนือเสานั้นและเทน้ำมันบนเสานั้น 15 ยาโคบเรียกชื่อสถานที่นั้นที่พระเจ้าตรัสกับเขาว่าเบธเอล

16 พวกเขาเดินทางจากเบธเอล ในขณะที่พวกเขายังอยู่ห่างจากเอฟ​รา​ธาห์ ราเชลก็เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร นางเจ็บครรภ์มาก 17 ในขณะที่นางใกล้จะคลอดแล้วนั้น นางผดุงครรภ์พูดกับนางว่า "อย่ากลัว เพราะว่าบัดนี้เจ้าจะได้บุตรชายอีกคน" 18 ขณะที่นางกำลังจะตาย ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายนางตั้งชื่อเขาว่าเบนโอนี แต่บิดาของเขาได้เรียกเขาว่าเบนยามิน 19 ราเชลได้เสียชีวิต และถูกฝังไว้ระหว่างทางไปยังเอฟราธาห์ (นั่นคือ เบธเลเฮม)

20 ยาโคบได้ตั้งเสาบนหลุมศพของนาง เป็นเครื่องหมายหลุมศพของราเชลมาถึงทุกวันนี้ 21 อิสราเอลเดินทางต่อไป และตั้งเต็นท์ของเขาทางใต้ของหอคอยของฝูงสัตว์

22 ขณะที่อิสราเอลกำลังอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น รูเบนได้หลับนอนกับบิลฮาห์ ภรรยาน้อยของบิดาของเขา และอิสราเอลก็ทราบเรื่องนี้ บัดนี้ยาโคบมีบุตรชายสิบสองคน 23 บุตรชายทั้งหลายของเขาที่เกิดจากเลอาห์ คือรูเบน บุตรชายหัวปีของยาโคบ และสิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน 24 บุตรชายทั้งหลายของเขาที่เกิดจากราเชล คือโยเซฟ และเบนยามิน 25 บุตรชายทั้งหลายของเขาที่เกิดจากบิลฮาห์ หญิงรับใช้ของราเชล คือดานและนัฟทาลี 26 พวกบุตรชายของศิลปาห์ หญิงรับใช้ของเลอาห์ คือกาดและอาเซอร์ ทั้งหมดเหล่านี้คือพวกบุตรชายของยาโคบ ผู้ที่เกิดแก่เขาในปัดดานอารัม

27 ยาโคบมาหาอิสอัค บิดาของเขาที่มัมเร ที่​เมือง​คี​ริ​ยาท​อารบา (​เมืองเดียวกับ​เฮ​โบ​รน​) ที่อับราฮัมและอิสอัคอาศัยอยู่ 28 อิสอัคมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยแปดสิบปี 29 อิสอัคได้สิ้นลมหายใจและสิ้นชีวิต และถูกรวบรวมไว้กับบรรพบุรุษทั้งหลายของเขา เป็นผู้ชายที่แก่หง่อมมาก เอซาวและยาโคบบุตรชายทั้งหลายของเขาได้ฝังเขาไว้

36

1 คนเหล่านี้คือบรรดาเชื้อสายของเอซาว (ซึ่งถูกเรียกว่าเอโดมด้วย) 2 เอซาวได้รับเอาคนคานาอันมาเป็นภรรยาของเขาหลายคน คนเหล่านี้ที่เป็นภรรยาทั้งหลายของเขาคือ อาดาห์บุตรหญิงของเอโลนคนฮิตไทต์ โอโฮลีบามาห์บุตรหญิงของอานาห์ หลานสาวของศิเบโอนคนฮีไวต์ 3 และบาเสมัทบุตรหญิงของอิชมาเอล น้องสาวของเนบาโยท 4 อาดาห์ให้กำเนิดเอลีฟัสแก่เอซาว และบาเสมัทให้กำเนิดเรอูเอล 5 โอโฮลีบามาห์ให้กำเนิดเยอูช ยาลาม และโคราห์ คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเอซาวผู้ซึ่งได้เกิดแก่เขาในแผ่นดินคานาอัน

6 เอซาวได้นำเอาภรรยาทั้งหลายของเขา บุตรชายทั้งหลายของเขา บุตรหญิงทั้งหลายของเขา และสมาชิกครัวเรือนทั้งหมดของเขา ฝูงสัตว์เลี้ยงของเขา สัตว์ทั้งหมดของเขา และทั้งหมดที่เขาครอบครองเป็นเจ้าของซึ่งเขาเสาะหารวบรวมมาได้ในแผ่นดินคานาอัน และเข้าไปในแผ่นดินห่างไกลจากยาโคบน้องชายของเขา 7 เขาทำอย่างนี้เพราะว่าทรัพย์สินของพวกเขามีมากมายเกินกว่าที่พวกเขาจะอยู่ด้วยกันได้ ที่ดินที่พวกเขาอาศัยอยู่ไม่สามารถรองรับพวกเขาได้เพราะฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเขา 8 ดังนั้นเอซาวซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเอโดมจึงได้ตั้งถิ่นฐานในดินแดนเทือกเขาเสอีร์

9 คนเหล่านี้คือบรรดาเชื้อสายทั้งหลายของเอซาว บรรพบุรุษของคนเอโดมในดินแดนเทือกเขาเสอีร์ 10 เหล่านี้คือบรรดาชื่อของบุตรชายทั้งหลายของเอซาว เอลีฟัสบุตรชายของอาดาห์ ภรรยาของเอซาว เรอูเอลบุตรชายของบาเสมัท ภรรยาของเอซาว 11 บุตรชายทั้งหลายของเอลีฟัสคือ เทมาน โอมาร์ เศโฟ กาทาม และเคนัส 12 ทิมนา ภรรยาน้อยคนหนึ่งของเอลีฟัส บุตรชายของเอซาวได้ให้กำเนิดอามาเลข คนเหล่านี้คือหลานชายทั้งหลายของอาดาห์ ภรรยาของเอซาว 13 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเรอูเอล คือนาหาท เศราห์ ชัมมาห์ และมิสซาร์ คนเหล่านี้เป็นหลานชายทั้งหลายของบาเสมัท ภรรยาของเอซาว

14 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของโอโฮลีบามาห์ ภรรยาของเอซาวผู้ซึ่งเป็นบุตรหญิงของอานาห์ และเป็นหลานสาวของศิเบโอน นางได้ให้กำเนิดเยอูช ยาลาม และโคราห์แก่เอซาว 15 คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลทั้งหลายท่ามกลางบรรดาเชื้อสายของเอซาว บรรดาเชื้อสายของเอลีฟัส บุตรชายหัวปีของเอซาว เทมาน โอมาร์ เศโฟ เคนัส 16 โคราห์ กาทาม และอามาเลข คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลสืบเชื้อสายจากเอลีฟัสในแผ่นดินของเอโดม พวกเขาเป็นหลานชายทั้งหลายของอาดาห์

17 คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลทั้งหลายจากเรอูเอล บุตรชายของเอซาว คือนาหาท เศราห์ ซัมมาห์ มิสซาห์ คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลสืบเชื้อสายมาจากเรอูเอลในแผ่นดินแห่งเอโดม พวกเขาเป็นหลายชายของบาเสมัท ภรรยาของเอซาว 18 คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลของโอโฮลีบามาห์ ภรรยาของเอซาว คือเยอูช เยลาม โคราห์ คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลสืบเชื้อสายจากภรรยาของเอซาว คือโอโฮลีบามาห์ บุตรหญิงของอานาห์ 19 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเอซาว และเป็นวงศ์ตระกูลทั้งหลายของพวกเขา

20 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของเสอีร์คนโฮรี ผู้ที่อยู่อาศัยของแผ่นดินนั้น คือโลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 21 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลของคนโฮรี ผู้อยู่อาศัยของเสอีร์ในแผ่นดินเอโดม 22 บุตรชายทั้งหลายของโลทานคือ โฮรี และเฮมาน และทิมนาน้องสาวของโลทาน 23 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของโชบาล คืออัลวาน มานาหาท เอบาล เชโฟ และโอนัม

24 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของศิเบโอน คืออัยยาห์ และอานาห์ นี่คืออานาห์ผู้ที่พบน้ำพุร้อนในถิ่นทุรกันดารในขณะที่เขากำลังเลี้ยงพวกลาของศิเบโอนบิดาของเขา 25 คนเหล่านี้เป็นบุตรของอานาห์ คือดีโชน และโอโฮลีบามาห์ บุตรหญิงของของอานาห์ 26 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของดีโชน คือเฮมดาน เอชบาน อิธราน และเคราน

27 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของเอเซอร์ คือบิลฮาน ศาวาน และอาขาน 28 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของดีชาน คืออูศ และอารัน 29 คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลทั้งหลายของคนโฮรี คือโลทาน โชบาล ศิเบโอน และอานาห์ 30 ดีโชน เอเซอร์ ดีชาน คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลของคนโฮรี ตามบัญชีวงศ์ตระกูลของพวกเขาในแผ่นดินเสอีร์

31 คนเหล่านี้เป็นกษัตริย์ทั้งหลายผู้ที่ปกครองแผ่นดินเอโดมก่อนกษัตริย์ใดๆ จะมาปกครองเหนือคนอิสราเอล 32 คือ เบลาบุตรชายของเบโอร์ได้ปกครองเอโดม และชื่อเมืองของเขาคือ ดินฮาบาห์ 33 เมื่อเบลาสิ้นชีวิต จากนั้นโยบับบุตรชายของเศราห์แห่งโบสราห์ได้ปกครองแทนเขา 34 เมื่อโยบับสิ้นชีวิต หุชามคนของแผ่นดินเทมานได้ขึ้นมาปกครองแทนเขา

35 เมื่อหุชามได้สิ้นชีวิต ฮาดัดบุตรชายของเบดัดผู้รบชนะคนมีเดียในแผ่นดินโมอับได้ปกครองแทนเขา ชื่อเมืองของเขา คือเมืองอาวีธ 36 เมื่อฮาดัดสิ้นชีวิต จากนั้นสัมลาห์แห่ง​มัส​เร​คาห์​ได้ปกครองแทนเขา 37 เมื่อสัมลาห์สิ้นชีวิต จากนั้นชาอูลแห่งเรโหโบทที่อยู่ข้างแม่น้ำได้ปกครองแทนเขา 38 เมื่อชาอูลสิ้นชีวิต จากนั้นบาอัลฮานันบุตรชายของอัคโบร์ได้ปกครองแทนเขา 39 เมื่อบาอัลฮานันบุตรชายของอัคโบร์สิ้นชีวิต จากนั้นฮาดาร์ได้ปกครองแทนเขา ชื่อเมืองของเขาคือ ปาอู ภรรยาของเขาชื่อว่า เมเหทาเบล บุตรหญิงของมัทเรด หลานสาวของเมซาหับ

40 เหล่านี้คือชื่อทั้งหลายของพวกหัวหน้าตระกูลจากบรรดาเชื้อสายทั้งหลายของเอซาวตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา และถิ่นฐานของพวกเขา โดยชื่อทั้งหลายของพวกเขา คือทิมนา อัลวาห์ เยเธท 41 โอโฮลีบามาห์ เอลาห์ ปิโนน 42 เคนัส เทมาน มิบซาร์ 43 มัคดีเอล และอิราม คนเหล่านี้เป็นหัวหน้าวงศ์ตระกูลของเอโดม ตามการตั้งถิ่นฐานของพวกเขาในดินแดนที่พวกเขาได้ครอบครอง นี่คือเอซาวบรรพบุรุษของคนเอโดม

37

1 ยาโคบอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่ซึ่งบิดาของเขากำลังอาศัยอยู่ คือในแผ่นดินคานาอัน 2 เหล่านี้เป็นเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับยาโคบ โยเซฟเป็นชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี เป็นผู้ดูแลฝูงสัตว์กับพวกพี่ชายของเขา เขาอยู่กับบุตรชายทั้งหลายของบิลฮาห์ และบุตรชายทั้งหลายของศิลปาห์ ภรรยาทั้งหลายของบิดา โยเซฟนำสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับพวกเขาทั้งหลายมาบอกให้บิดาของพวกเขาฟัง

3 อิสราเอลจึงรักโยเซฟมากกว่าบุตรชายทั้งหมดของเขาเพราะว่าเขาเป็นบุตรชายที่เกิดมาในวัยชราของเขา เขาได้ตัดเสื้อผ้าที่สวยงามให้เขา 4 พวกพี่ชายของเขาเห็นว่าบิดาของพวกเขารักเขามากกว่าพี่ชายทั้งหมดของเขา พวกเขาเกลียดเขาและไม่พูดอย่างจริงใจต่อเขา

5 โยเซฟฝัน และเขาบอกความฝันนั้นแก่พวกพี่ชายของเขา พวกเขาจึงเกลียดโยเซฟมากยิ่งขึ้น 6 โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า "ขอโปรดฟังความฝันที่ฉันฝัน 7 ดูเถิดพวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวในทุ่งนา และดูเถิดฟ่อนข้าวของฉันตั้งขึ้นยืนอยู่ นี่แน่ะฟ่อนข้าวของพวกท่านได้เข้ามาล้อมรอบและโค้งคำนับให้กับฟ่อนข้าวของฉัน" 8 พวกพี่ชายพูดกับเขาว่า "เจ้าจะปกครองเหนือพวกเราจริงๆ หรือ? เจ้าจะปกครองพวกเราจริงหรือ?" พวกเขาเกลียดโยเซฟมากยิ่งขึ้นเพราะความฝันของเขา และคำพูดของเขา

9 โยเซฟได้ฝันอีกครั้ง และบอกความฝันนั้นแก่พวกพี่ชาย เขาพูดว่า "นี่แน่ะ ฉันได้ฝันอีกเรื่องหนึ่ง คือดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์และดวงดาวสิบเอ็ดดวงโค้งคำนับให้ฉัน" 10 เขาบอกเรื่องนี้แก่บิดาของเขาเหมือนที่ได้บอกกับพวกพี่ชายของเขา และบิดาของเขาจึงตำหนิเขา และพูดกับเขาว่า "ความฝันนี้ที่เจ้าฝันคืออะไร? มารดาของเจ้าและเรา และพี่ชายทั้งหลายของเจ้าจะเข้ามาเพื่อโค้งคำนับถึงพื้นต่อเจ้าหรือ?" 11 พวกพี่ชายของเขาก็อิจฉาเขา แต่บิดาของเขาเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ

12 พวกพี่ชายของเขาไปเลี้ยงฝูงสัตว์ของบิดาที่เชเคม 13 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า "พวกพี่ชายของเจ้ากำลังไปเลี้ยงฝูงสัตว์ที่เชเคมมิใช่หรือ? มานี่เถอะ และเราจะส่งเจ้าไปหาพวกเขา" โยเซฟตอบเขาว่า "ฉันพร้อมแล้ว" 14 อิสราเอลพูดกับเขาว่า "จงไปเดี๋ยวนี้ ไปดูสิว่าพวกพี่ชายของเจ้ากับพวกฝูงสัตว์อยู่สบายดีกันไหม และกลับมาแจ้งเรา" ดังนั้นยาโคบจึงส่งเขาออกไปจากหุบเขาเฮโบรน และโยเซฟก็ไปยังเชเคม

15 ผู้ชายคนหนึ่งพบโยเซฟ ดูเถิด โยเซฟกำลังเดินไปมาในท้องทุ่ง ผู้ชายคนนั้นถามเขาว่า "เจ้ามองหาอะไรอยู่หรือ?" 16 โยเซฟตอบว่า "ฉันกำลังหาพวกพี่ชายของฉัน ขอได้โปรดบอกฉันหน่อยว่าพวกเขากำลังเลี้ยงฝูงสัตว์อยู่ที่ไหน" 17 ผู้ชายคนนั้นตอบว่า "พวกเขาเพิ่งไปจากที่นี่ ฉันได้ยินพวกเขาพูดกันว่า 'ให้พวกเราไปยังเมืองโดธานกันเถอะ'" โยเซฟไปตามหาพวกพี่ชายของเขา และพบพวกเขาที่เมืองโดธาน

18 พวกเขาเห็นเขามาแต่ไกล และก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้พวกเขา พวกเขาวางแผนเพื่อที่จะฆ่าเขา 19 พวกพี่ชายของเขาพูดกันว่า "ดูสิ เจ้าคนช่างฝันกำลังมา 20 มาเดี๋ยวนี้ ให้พวกเราฆ่าเขา และทิ้งเขาไว้ที่บ่อเหล่านี้สักบ่อหนึ่ง เราจะพูดว่า 'สัตว์ป่าได้กัดกินเขา' เราจะดูว่าแล้วความฝันของเขาจะเป็นอย่างไร"

21 รูเบนได้ยินและช่วยเหลือเขาจากมือของพวกเขา เขาพูดว่า "อย่าให้เราเอาชีวิตของเขา" 22 รูเบนพูดกับพวกเขาว่า "อย่าให้เลือดไหลเลย โยนเขาลงในบ่อในถิ่นทุรกันดารนี้เถอะ แต่อย่าลงมือกับเขาเลย" นั่นคือเขาจะช่วยโยเซฟจากมือของพวกเขาเพื่อที่จะนำเขากลับไปหาบิดาของเขา 23 เมื่อโยเซฟมาถึงพวกพี่ชายของเขา พวกเขาจับเขาถอดเสื้อผ้าที่สวยงามออก 24 พวกเขาจับเขาโยนลงในบ่อ บ่อนั้นว่างเปล่าไม่มีน้ำ

25 พวกเขานั่งลงเพื่อจะกินอาหาร พวกเขาเหลือบตาขึ้นมองดู และนี่แน่ะมีคาราวานของคนอิชมาเอลกำลังมาจากกิเลอาด พร้อมกับฝูงอูฐของพวกเขา บรรทุกเครื่องเทศ และน้ำมันพืชที่มีกลิ่นหอม และยางไม้หอม พวกเขากำลังเดินทางบรรทุกสินค้าลงไปอียิปต์ 26 ยูดาห์พูดกับพี่น้องทั้งหลายของเขาว่า "จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราจะฆ่าน้องชายของเราและปกปิดเลือดของเขา? 27 มาเถอะ ให้เราขายเขาให้กับคนอิชมาเอล และอย่ายื่นมือออกทำอะไรเขา เพราะเขาคือน้องของเรา เป็นเลือดเนื้อของเรา" พวกพี่น้องทั้งหลายของเขาก็รับฟังเขา 28 พ่อค้าคนมีเดียนผ่านมา พวกพี่ชายของเขาฉุดโยเซฟขึ้นมา และยกเขาออกมาจากบ่อนั้น พวกเขาขายโยเซฟให้กับคนอิชมาเอลเป็นเงินยี่สิบแผ่น คนอิชมาเอลพาโยเซฟไปยังอียิปต์

29 รูเบนกลับไปที่บ่อนั้น และดูเถิด โยเซฟไม่ได้อยู่ในบ่อนั้น เขาได้ฉีกเสื้อผ้าของเขา 30 เขากลับไปหาพวกน้องของเขา และพูดว่า "เด็กนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น และ ฉันจะไปที่ไหนได้?" 31 พวกเขาฆ่าแพะตัวหนึ่ง และจากนั้นเอาเสื้อผ้าของโยเซฟมา และจุ่มลงในเลือดนั้น 32 แล้วพวกเขานำมันไปให้บิดาของพวกเขาและพูดว่า "เราได้พบสิ่งนี้ ขอโปรดดูเถิดว่ามันเป็นเสื้อผ้าของบุตรชายของท่านหรือไม่" 33 ยาโคบจำได้ และพูดว่า "มันเป็นเสื้อผ้าบุตรชายของเรา สัตว์ป่าได้กัดกินเขา โยเซฟถูกฉีกเป็นชิ้นๆแน่แล้ว"

34 ยาโคบฉีกเสื้อผ้าของเขาและสวมเสื้อผ้ากระสอบเหนือบริเวณสะโพก เขาคร่ำครวญถึงบุตรชายของเขาหลายวัน 35 บุตรชายและบุตรหญิงทั้งหมดของเขาได้ลุกขึ้นมาปลอบใจเขา แต่เขาปฏิเสธที่จะรับการปลอบโยน เขาพูดว่า "ที่จริงแล้ว ฉันจะลงไปยังที่อยู่ของคนตายร้องไห้คร่ำครวญถึงบุตรชายของฉัน" บิดาของเขาร้องไห้ถึงเขา 36 คนมีเดียนขายเขาในอียิปต์ ให้กับโปทิฟาร์ ข้าราชการของฟาร์โรห์ ซึ่งเป็นหัวหน้าราชองครักษ์

38

1 ในเวลานั้นยูดาห์ได้ไปจากพวกพี่น้องของเขา และไปอยู่กับคนอดุลลามชื่อฮีราห์ 2 เขาพบหญิงสาวชาวคานาอันบิดาของหญิงนั้นชื่อชูวา เขาแต่งงานกับนาง และได้หลับนอนกับนาง

3 นางตั้งครรภ์และมีบุตรชาย เขาถูกตั้งชื่อว่า เอร์ 4 นางตั้งครรภ์อีกครั้งและมีบุตรชายอีกคนหนึ่ง นางเรียกชื่อเขาว่า โอนัน 5 นางมีบุตรชายอีกคนหนึ่งและเรียกชื่อเขาว่า เชราห์ นางให้กำเนิดเขาที่เคซิบ

6 ยูดาห์หาภรรยาคนหนึ่งให้เอร์ บุตรชายหัวปีของเขา นางชื่อทามาร์ 7 เอร์บุตรชายหัวปีของยูดาห์เป็นคนชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงประหารชีวิตเขา

8 ยูดาห์พูดกับโอนันว่า "จงไปหลับนอนกับพี่สะไภ้ของเจ้า จงทำหน้าที่น้องชายของสามีแก่นาง และให้กำเนิดบุตรเพื่อพี่ชายของเจ้า" 9 โอนันรู้ว่าเด็กนั้นจะไม่ใช่ของเขา เมื่อไรก็ตามที่เขาหลับนอนกับพี่สะใภ้ของเขา เขาทำให้น้ำกามตกดินดังนั้นเขาจึงไม่มีบุตรสำหรับพี่ชายของเขา 10 สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จึงทรงประหารชีวิตเขาด้วย 11 จากนั้นยูดาห์พูดกับทามาร์ บุตรสะใภ้ของเขาว่า "จงอยู่อย่างแม่ม่ายในบ้านของบิดาเจ้าจนกว่าเชราห์ บุตรชายของเราจะเติบใหญ่" เพราะเขากลัวว่า "เขาจะตายเหมือนพวกพี่ชายของเขาด้วย" ทามาร์จึงจากไปและอาศัยอยู่ในบ้านของบิดาของนาง

12 หลังจากนั้นเป็นเวลานาน บุตรหญิงของชูวา ภรรยาของยูดาห์เสียชีวิต ยูดาห์ได้รับการปลอบประโลมและไปหาคนตัดขนแกะของเขาที่ทิมนาห์ เขาและเพื่อนของเขา คือฮีราห์คนอดุลลาม 13 ทามาร์ได้รับการบอกว่า "ดูเถิด บิดาของสามีกำลังไปทิมนาห์ เพื่อตัดขนแกะของเขา" 14 นางเปลี่ยนชุดหญิงม่ายของนาง และห่มตัวนางเองด้วยผ้าคลุมหน้า และปกคลุมตัวนางเอง นางนั่งที่ประตูของบ้านเอนาอิม ซึ่งอยู่ข้างถนนไปยังบ้านทิมนาห์ เพราะนางเห็นว่าเศราห์นั้นได้เติบโตแล้ว แต่นางยังไม่ได้ถูกมอบให้เป็นภรรยาของเขา

15 เมื่อยูดาห์เห็นนาง เขาคิดว่านางคือโสเภณีเพราะว่านางปิดบังใบหน้าของนาง 16 เขาเข้าไปหานางที่ข้างทาง และพูดว่า "มาเถิด ขอให้เราหลับนอนกับเจ้า" เพราะเขาไม่รู้ว่านางคือบุตรสะใภ้ของเขา และนางพูดว่า "ท่านจะหลับนอนกับฉัน ท่านจะให้อะไรแก่ฉัน?" 17 เขาพูดว่า "เราจะส่งแพะหนุ่มจากฝูงมาให้เจ้าหนึ่งตัว" นางถามว่าท่านจะให้ของมัดจำไว้ก่อนจนกว่าจะส่งลูกแพะมาได้ไหม 18 เขากล่าวว่า "เราจะให้อะไรเป็นหลักประกันแก่เจ้าได้?" นางตอบว่า "ขอตราของท่านและเชือก และไม้เท้าที่อยู่ในมือท่านเป็นหลักประกัน" เขาให้สิ่งเหล่านั้นแก่นางและหลับนอนกับนาง และนางก็ตั้งครรภ์กับเขา

19 นางลุกขึ้นและจากไป นางเอาผ้าคลุมหน้าออก และสวมใส่เสื้อผ้าหญิงม่ายของนาง 20 ยูดาห์ส่งแพะหนุ่มจากฝูงไปกับเพื่อนของเขาคนอดุลลามเพื่อที่จะรับของประกันคืนจากมือของผู้หญิงนั้น แต่เขาหานางไม่พบ 21 แล้วคนอดุลลามถามบรรดาผู้ชายของสถานที่นั้นว่า "หญิงโสเภณีที่เคยอยู่ที่เอนาริม ที่ริมทางนี้อยู่ที่ไหน?" พวกเขาตอบว่า "ไม่เคยมีโสเภณีที่นี่" 22 เขาก็กลับไปหายูดาห์และพูดว่า "ฉันหานางไม่พบ พวกผู้ชายของที่นั้นพูดด้วยว่า 'ไม่เคยมีโสเภณีที่นี่' " 23 ยูดาห์พูดว่า "ให้นางเก็บสิ่งของต่างๆ ไว้ เพื่อที่เราจะไม่ต้องอับอาย ที่จริงเราส่งแพะหนุ่มนี้ไป แต่ท่านหานางไม่พบ"

24 หลังจากนั้นประมาณสามเดือนมีคนมาบอกยูดาห์ว่า "ทามาร์บุตรสะใภ้ของท่านได้เป็นโสเภณี และจริงๆ นางได้ตั้งครรภ์เพราะเหตุนั้น" ยูดาห์พูดว่า "จงนำนางมาที่นี่ และเผานางเสีย" 25 เมื่อนางถูกนำออกมา นางส่งข้อความถึงบิดาของสามีนางว่า "ฉันตั้งครรภ์กับผู้ชายซึ่งเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้" นางพูดว่า "ขอได้โปรดพิจารณาเถิดว่าใครเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ ตราและเชือก และไม้เท้านี้" 26 ยูดาห์จำสิ่งเหล่านี้ได้ และพูดว่า "นางมีความชอบธรรมมากกว่าเรา ตั้งแต่เราไม่ได้ยกนางให้เป็นภรรยาของเศราห์ บุตรชายของเรา" และเขาไม่ได้หลับนอนกับนางอีก

27 อยู่มาเมื่อถึงกำหนดที่นางจะให้กำเนิดบุตร ดูเถิด มีบุตรฝาแฝดอยู่ในครรภ์ของนาง 28 เมื่อถึงเวลาคลอด คนหนึ่งได้ยื่นมือออกมา และนางผดุงครรภ์เอาด้ายสีแดง และผูกที่มือของเขา และพูดว่า "คนนี้ออกมาก่อน" 29 แต่เขาดึงมือของเขากลับเข้าไป และดูเถิดน้องชายของเขาออกมาก่อน นางผดุงครรภ์พูดว่า "เจ้าแหวกออกมาอย่างไร?" ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกชื่อว่า เปเรศ 30 จากนั้นพี่ชายของเขาจึงออกมา คือคนที่มีด้ายสีแดงผูกติดมือ และเขาถูกเรียกชื่อว่า เศราห์

39

1 โยเซฟถูกนำลงไปยังอียิปต์ โปทิฟาร์คนอียิปต์ ผู้บัญชาการราชองครักษ์ ข้าราชการของฟาโรห์ซื้อเขาจากคนอิชมาเอล ผู้ซึ่งนำเขาลงมาที่นี่ 2 พระยาห์เวห์สถิตอยู่กับโยเซฟและเขากลายเป็นผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ เขาอาศัยอยู่ในบ้านของเจ้านายคนอียิปต์ของเขา

3 เจ้านายของเขาเห็นว่าพระยาห์เวห์สถิตกับเขาและพระยาห์เวห์ทรงกระทำให้ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นประสบความสำเร็จ 4 โยเซฟเป็นที่ชอบในสายตาของเขา เขารับใช้โปทิฟาร์ โปทิฟาร์ให้โยเซฟจัดการดูแลบ้านของเขา และทุกสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของ เขาให้โยเซฟดูแลทุกสิ่ง

5 อยู่มาหลังจากที่เขาให้โยเซฟจัดการดูแลบ้านของเขา และทุกสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของ ที่พระยาห์เวห์อวยพรบ้านคนอียิปต์นั้นเพราะโยเซฟ พระพรของพระยาห์เวห์มีอยู่ในทุกสิ่งที่โปทิฟาร์มีในบ้านและในท้องทุ่ง 6 โปทิฟาร์ให้ทุกสิ่งที่เขามีให้อยู่ภายใต้การดูแลของโยเซฟ เขาไม่ต้องคิดอะไรนอกจากอาหารที่เขาจะกิน ดูเถอะโยเซฟเป็นหนุ่มหล่อและมีเสน่ห์

7 หลังจากนั้นภรรยาของเจ้านายของเขามีความปรารถนาในโยเซฟ นางพูดว่า “มาหลับนอนกับฉันสิ” 8 แต่เขาได้ปฏิเสธ และพูดกับภรรยาของเจ้านายของเขาว่า “ดูเถิด เจ้านายของข้าพเจ้าไม่ได้สนใจว่าข้าพเจ้าทำอะไรในบ้านนี้ และเขาได้มอบทุกสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของให้อยู่ภายใต้การดูแลของข้าพเจ้า 9 ไม่มีใครในบ้านนี้ที่ใหญ่ไปกว่าข้าพเจ้า เขาไม่ได้หวงอะไรไว้จากข้าพเจ้า ยกเว้นท่าน เพราะท่านคือภรรยาของเขา ข้าพเจ้าจะทำสิ่งที่ชั่วร้ายที่ใหญ่หลวงนี้ และทำบาปต่อพระเจ้าได้อย่างไร?”

10 นางพูดกับโยเซฟวันแล้ววันเล่า แต่เขาปฏิเสธที่จะหลับนอนกับนางหรืออยู่กับนาง 11 อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเขาเข้าไปในบ้านเพื่อที่จะทำงานของเขา ไม่มีผู้ชายของบ้านอยู่ที่นั่นในบ้านนั้น 12 นางจับตัวเขาด้วยเสื้อผ้าของเขาและพูดว่า “จงหลับนอนกับฉันสิ” เขาทิ้งเสื้อผ้าของเขาไว้ในมือนาง หนีไป และออกไปข้างนอก

13 เมื่อนางได้เห็นว่าเขาทิ้งเสื้อผ้าของเขาไว้ในมือของนางและหนีออกไปข้างนอก 14 นางได้เรียกพวกผู้ชายของบ้านนางและบอกพวกเขาว่า “ดูสิ โปทิฟาร์นำคนฮีบรูนี้มาเพื่อจะทำหยาบคายต่อเรา เขาเข้ามาหาฉันเพื่อที่จะหลับนอนกับฉัน แต่ฉันกรีดร้องขึ้น 15 เมื่อเขาได้ยินฉันกรีดร้อง เขาได้ทิ้งเสื้อผ้าของเขาไว้กับฉัน หนีไป และออกไปข้างนอก”

16 นางวางเสื้อผ้าของเขาไว้ข้างๆ นางจนกระทั่งเจ้านายของเขาเข้าบ้านมา 17 นางบอกเขาอย่างนี้ว่า “คนรับใช้ฮีบรูผู้ที่ท่านนำมาให้เรา เข้ามาเพื่อจะทำหยาบคายต่อฉัน 18 เมื่อฉันกรีดร้อง เขาได้ทิ้งเสื้อผ้าของเขาไว้กับฉัน และหนีออกไปข้างนอก”

19 เมื่อเจ้านายของเขาได้ยินเรื่องเล่าที่ภรรยาของเขาบอกเขา “นี่คือสิ่งที่คนรับใช้ของท่านได้กระทำต่อฉัน” เขาโกรธมาก 20 เจ้านายของโยเซฟนำเขาไปและขังเขาไว้ในคุก สถานที่ซึ่งนักโทษของกษัตริย์ถูกจำจองอยู่ เขาอยู่ในคุกนั้น

21 แต่พระยาห์เวห์สถิตกับโยเซฟ และสำแดงพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อแก่เขา พระองค์ทรงกระทำให้เขาเป็นที่ชอบในสายตาของผู้คุมนักโทษ 22 ผู้คุมนักโทษมอบนักโทษทั้งหมดให้อยู่ในมือของโยเซฟ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรที่นั่น โยเซฟเป็นผู้จัดการทั้งหมด 23 ผู้คุมนักโทษไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ ที่อยู่ในมือของเขา เพราะว่าพระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเขา ไม่ว่าเขาทำอะไร พระยาห์เวห์ก็ทรงทำให้ประสบความสำเร็จ

40

1 หลังจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เจ้าพนักงานถวายจอกเสวย และเจ้าพนักงานทำขนมปังได้ทำให้เจ้านายขุ่นเคือง คือกษัตริย์อียิปต์ 2 ฟาโรห์ทรงพระพิโรธเจ้าหน้าทั้งสองของพระองค์ คือหัวหน้าคนถวายจอกเสวยและหัวหน้าคนทำขนมปัง 3 พระองค์จำจองพวกเขาไว้ในบ้านของผู้บัญชาการราชองครักษ์ ในคุกเดียวกันกับที่โยเซฟถูกขังอยู่ 4 ผู้บัญชาการราชองครักษ์ให้โยเซฟเป็นคนรับใช้พวกเขา พวกเขาถูกจำจองมาระยะเวลาหนึ่ง

5 เจ้าพนักงานถวายจอกเสวย และเจ้าพนักงานทำขนมปังของกษัตริย์อียิปต์ ซึ่งถูกจำจองในคุก พวกเขาทั้งสองได้ฝัน แต่ละคนต่างคนต่างฝันในคืนเดียวกัน และความฝันแต่ละความฝันต่างก็มีความหมายของมันเอง 6 โยเซฟมาหาพวกเขาในตอนเช้าและเห็นพวกเขา ดูเถิดพวกเขาเป็นทุกข์ 7 เขาถามเจ้าพนักงานของฟาโรห์ผู้ซึ่งถูกจำจองอยู่กับเขาในบ้านของเจ้านายของเขา กล่าวว่า “ทำไมวันนี้ดูพวกท่านเป็นทุกข์?” 8 พวกเขาตอบแก่เขาว่า “เราทั้งสองได้ฝันและไม่มีใครที่จะสามารถแก้ความฝันนั้นได้” โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “การแก้ความฝันนั้นไม่ใช่เป็นของพระเจ้าหรือ? ขอโปรดบอกข้าพเจ้าเถิด”

9 หัวหน้าเจ้าพนักงานถวายจอกเสวยเล่าความฝันของเขาแก่โยเซฟ เขาพูดกับโยเซฟว่า “ในความฝันของเรา นี่แน่ะ มีเถาองุ่นอยู่ต่อหน้าเรา 10 บนเถาองุ่นนั้นมีสามกิ่ง มันแตกตา มันเบ่งบาน และเป็นพวงองุ่นสุกงอม 11 จอกเสวยของฟาโรห์อยู่ในมือของเรา เราเอาพวงองุ่นและคั้นเอาน้ำใส่ลงในจอกเสวยของฟาโรห์ และเราก็ถวายจอกเสวยนั้นบนพระหัตถ์ของฟาโรห์”

12 โยเซฟพูดกับเขาว่า “นี่คือการแก้ความฝันนั้น สามกิ่งหมายถึงสามวัน 13 ภายในสามวันฟาโรห์จะยกท่านขึ้นและให้ท่านคืนสู่ที่ทำงานของท่าน ท่านจะได้ถวายจอกเสวยของฟาโรห์ในพระหัตถ์ของพระองค์เหมือนเมื่อท่านได้เคยเป็นเจ้าพนักงานถวายจอกเสวย 14 แต่ขอท่านได้โปรดระลึกถึงข้าพเจ้าเมื่อท่านได้ดีแล้ว และกรุณาแสดงความเมตตาต่อข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวถึงข้าพเจ้าให้ฟาโรห์ฟัง และนำข้าพเจ้าออกไปจากคุกนี้ 15 เพราะที่จริงแล้วข้าพเจ้าถูกลักพาตัวมาจากแผ่นดินของคนฮีบรู ที่นี่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำอะไรที่สมควรให้พวกเขาจำจองข้าพเจ้าในคุกที่แข็งแรงมิดชิดนี้”

16 เมื่อหัวหน้าเจ้าพนักงานทำขนมปังเห็นว่าการแก้ความฝันนั้นเป็นที่น่าพอใจ เขาพูดกับโยเซฟว่า “เราก็ฝัน ด้วยเหมือนกัน และนี่แน่ะ มีขนมปังสามตะกร้าอยู่บนศีรษะของเรา 17 ในตะกร้าบนสุดมีขนมปังอย่างดีทุกชนิดสำหรับฟาโรห์ แต่มีฝูงนกมากินขนมปังในตะกร้าบนศีรษะของเรา” 18 โยเซฟตอบและพูดว่า “นี่คือคำแก้ความฝัน สามตะกร้าก็คือสามวัน 19 ภายในสามวันนี้ฟาโรห์จะยกศีรษะของท่านออกจากท่าน และจะแขวนท่านไว้บนต้นไม้ ฝูงนกจะมากินเนื้อท่าน"

20 ในวันที่สามซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของฟาโรห์ พระองค์ทรงจัดงานเลี้ยงสำหรับข้าราชการของพระองค์ทุกคน พระองค์ทรงยกหัวหน้าเจ้าพนักงานถวายจอกเสวย และหัวหน้าเจ้าพนักงานทำขนมปังขึ้น ในท่ามกลางข้าราชบริพารทั้งหลายของพระองค์ 21 พระองค์ทรงคืนตำแหน่งให้กับหัวหน้าเจ้าพนักงานถวายจอกเสวย ทรงมอบให้เขารับผิดชอบถวายจอกเสวยบนพระหัตถ์ของฟาโรห์อีกครั้ง 22 แต่พระองค์ทรงแขวนคอหัวหน้าเจ้าพนักงานทำขนมปัง เหมือนดังที่โยเซฟได้แก้ความฝันให้พวกเขา 23 หัวหน้าเจ้าพนักงานถวายจอกเสวยไม่ได้จดจำโยเซฟ และลืมเขา

41

1 เมื่อสิ้นสุดสองปีเต็มนั้น ฟาโรห์ทรงฝันว่า นี่แน่ะ พระองค์ทรงยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 2 นี่แน่ะ มีแม่วัวเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ น่าดูและอ้วนพีและพวกมันกินหญ้าท่ามกลางต้นกก 3 ดูเถิด และมีแม่วัวอีกเจ็ดตัวที่ตามขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ น่าเกลียด และผอม พวกมันยืนอยู่ข้างๆ กับแม่วัวตัวอื่นๆ บนฝั่งแม่น้ำไนล์ 4 จากนั้นพวกแม่วัวที่น่าเกลียด และตัวผอมก็ได้กินแม่วัวเจ็ดตัวที่น่าดูและอ้วนพีเสีย จากนั้นฟาโรห์ทรงตื่นขึ้น

5 จากนั้นพระองค์ก็บรรทมอีก และทรงฝันเป็นครั้งที่สอง ดูเถิด มีต้นข้าวต้นหนึ่ง มีเจ็ดรวงที่สมบูรณ์และดี 6 ดูเถอะ มีข้าวอีกเจ็ดรวงที่ลีบและไหม้เกรียมเพราะลมตะวันออก งอกขึ้นมา 7 ข้าวลีบเจ็ดรวงได้กลืนข้าวสมบูรณ์ และดีทั้งเจ็ดรวง ฟาโรห์ทรงตื่นขึ้น และดูเถิด มันเป็นความฝัน

8 ในตอนเช้าพระทัยของพระองค์ก็เป็นทุกข์ พระองค์ทรงส่งคนไปเรียกบรรดานักเล่นกลและนักปราชญ์ของอียิปต์เข้ามาเฝ้า ฟาโรห์ทรงบอกพวกเขาถึงความฝันของพระองค์ แต่ไม่มีใครสามารถแก้ความฝันนั้นให้ฟาโรห์ได้ 9 จากนั้นหัวหน้าพนักงานถวายจอกเสวยทูลฟาโรห์ว่า "วันนี้ข้าพระองค์คิดถึงความผิดของข้าพระองค์ 10 ครั้งที่ฟาโรห์ทรงพิโรธต่อพวกคนรับใช้ของพระองค์ และจองจำข้าพระองค์ในบ้านของผู้บัญชาการราชองครักษ์ ทั้งหัวหน้าพนักงานทำขนมปังและข้าพระองค์ 11 พวกข้าพระองค์ คือเขาและข้าพระองค์ได้ฝันในคืนเดียวกัน ต่างคนต่างฝันตามการแก้ความฝันของเขา

12 มีชายหนุ่มคนฮีบรู คนรับใช้ของผู้บัญชาการราชองครักษ์อยู่กับพวกเรา พวกเราได้บอกเขา และเขาได้แก้ความฝันของพวกเราให้พวกเรา เขาก็ได้แก้ความฝันให้พวกเราแต่ละคนตามความฝันของเขา 13 เขาแก้ความฝันนั้นให้พวกเรา ฟาโรห์คืนตำแหน่งให้ข้าพระองค์ แต่อีกคนหนึ่งเขาถูกแขวนคอ"

14 แล้วฟาโรห์ทรงส่งคนไปเรียกโยเซฟ พวกเขารีบไปนำเขาออกมาจากเรือนจำ เขาโกนหนวดเคราของเขาเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าของเขา และมาเข้าเฝ้าฟาโรห์ 15 ฟาโรห์ตรัสแก่โยเซฟว่า "เราได้ฝัน ไม่มีใครแก้ความฝันนี้ได้ แต่เราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเจ้า ว่าเมื่อเจ้าได้ยินเรื่องราวความฝัน เจ้าสามารถแก้ความฝันนั้นได้" 16 โยเซฟทูลตอบฟาโรห์ว่า "ไม่ใช่ข้าพระองค์หรอก แต่เป็นพระเจ้าต่างหากที่จะทรงตอบฟาโรห์ด้วยความชื่นชม"

17 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า "ในความฝันของเรา ดูเถิด เรายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 18 นี่แน่ะ มีแม่วัวเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ อ้วนพี และสวยงาม และพวกมันกินหญ้าท่ามกลางต้นกก 19 ดูเถิด มีแม่วัวอีกเจ็ดตัวตามขึ้นมา อ่อนแอ ไม่น่าดูเลย และผอมโซ ทั่วแผ่นดินอียิปต์ เราไม่เคยเห็นแม่วัวที่ไม่น่าดูเช่นนี้มาก่อน 20 แม่วัวผอมโซ และไม่น่าดูเหล่านี้กินแม่วัวอ้วนพีที่ขึ้นมาตอนแรก 21 เมื่อพวกมันกินแม่วัวอ้วนพีเหล่านั้นแล้ว พวกมันก็ยังคงไม่น่าดูเหมือนเดิม จากนั้นเราก็ตื่นขึ้น

22 เราได้ฝันอีก และดูเถิด มีรวงข้าวเจ็ดรวงแตกออกมาจากต้นข้าวต้นหนึ่ง เมล็ดสมบูรณ์และดี 23 นี่แน่ะ มีรวงข้าวอีกเจ็ดรวงแตกออกมาภายหลัง ลีบ เหี่ยวแห้ง และเกรียมด้วยลมตะวันออก 24 รวงข้าวลีบได้กลืนรวงข้าวดีเจ็ดรวงนั้น เราบอกความฝันเหล่านี้แก่พวกนักมายากล แต่ไม่มีใครสามารถแก้ความฝันเหล่านี้ให้เราได้"

25 โยเซฟทูลต่อฟาโรห์ว่า "ความฝันทั้งสองของฟาโรห์เป็นเรื่องเดียวกัน พระเจ้าทรงแจ้งให้ฟาโรห์ทราบถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำ 26 แม่วัวอ้วนพีเจ็ดตัว คือเจ็ดปี และรวงข้าวสมบูรณ์เจ็ดรวงก็คือเจ็ดปี ความฝันทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกัน 27 แม่วัวผอม และไม่น่าดูเจ็ดตัวที่ได้ขึ้นมาภายหลัง คือเจ็ดปี และเช่นเดียวกันรวงข้าวลีบ ไหม้เกรียมด้วยลมตะวันออกก็จะเป็นเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหาร

28 นั่นคือสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ทูลต่อฟาโรห์ ถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำ และพระองค์ได้ทรงเปิดเผยต่อฟาโรห์ 29 จงระวังเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นทั่วแผ่นดินอียิปต์ 30 เจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารจะตามมา และความสมบูรณ์ที่ผ่านมาในแผ่นดินอียิปต์จะถูกลืมสิ้น และการกันดารอาหารจะทำลายแผ่นดินนั้น 31 ความอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินจะไม่ถูกจดจำเพราะการกันดารอาหารที่ติดตามมานั้นรุนแรงอย่างแสนสาหัส

32 ฟาโรห์ได้ฝันซ้ำเพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้จะทรงทำให้เกิด และพระเจ้าจะทรงทำให้เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ 33 ขอให้ฟาโรห์มองหาผู้ชายที่มีความเข้าใจดี และฉลาดสักคนหนึ่ง ตั้งเขาให้ดูแลเหนือแผ่นดินอียิปต์

34 ขอให้ฟาโรห์ทำสิ่งนี้ คือให้พระองค์แต่งตั้งผู้ดูแลเหนือแผ่นดิน ให้พวกเขาเก็บพืชผลของอียิปต์หนึ่งในห้าส่วนไว้ตลอดเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น 35 ให้พวกเขาเก็บรวบรวมอาหารทั้งหมดของปีที่อุดมสมบูรณ์ที่กำลังมาและเก็บข้าวด้วยอำนาจของฟาโรห์ เพื่อเป็นอาหารที่จะใช้ในเมืองทั้งหลาย พวกเขาต้องดูแลรักษาไว้ 36 อาหารเหล่านี้จะถูกใช้สำหรับแผ่นดินในช่วงเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดินอียิปต์ ด้วยวิธีการนี้แผ่นดินจะไม่ถูกทำลายล้างด้วยการกันดารอาหาร"

37 คำแนะนำนี้เป็นสิ่งที่ดีในสายตาของฟาโรห์และในสายตาของบรรดาข้าราชการทั้งหมดของพระองค์ 38 ฟาโรห์ตรัสกับพวกข้าราชการของพระองค์ว่า "เราจะสามารถหาผู้ชายเช่นนี้ ที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยได้หรือ?" 39 ดังนั้นฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า "เพราะพระเจ้าทรงสำแดงสิ่งทั้งหมดเหล่านี้แก่เจ้า ไม่มีใครที่มีความเข้าใจและฉลาดเหมือนเจ้า 40 เจ้าจะดูแลราชสำนักของเรา และประชาชนของเราทั้งหมดจะถูกปกครองด้วยคำพูดของเจ้า เฉพาะบังลังก์นี้เท่านั้นที่เราจะใหญ่กว่าเจ้า"

41 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า "ดูเถิดเราได้ตั้งเจ้าไว้เหนือแผ่นดินอียิปต์" 42 ฟาโรห์ทรงถอดแหวนตราจากพระหัตถ์ของพระองค์และได้สวมใส่ให้กับโยเซฟ พระองค์ได้สวมเสื้อผ้าลินินอย่างดีให้กับเขา และสวมสร้อยทองคำลงบนคอของเขา 43 พระองค์ทรงให้เขาใช้รถม้าคันที่สองที่พระองค์ทรงเป็นเจ้าของ จะมีผู้ชายประกาศไปข้างหน้าเขาว่า "จงคุกเข่าลง" ฟาโรห์ได้ตั้งเขาไว้เหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด

44 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า "เราคือฟาโรห์ และทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์นี้ไม่มีใครที่จะยกมือ หรือยกเท้าของเขาได้ นอกจากเจ้าจะอนุญาต" 45 ฟาโรห์ตั้งชื่อให้โยเซฟว่า "ศาเฟนาทปาเนอาห์" พระองค์ประทานอาเสนัท บุตรหญิงของโปทิเฟรา ปุโรหิตของเมืองโอนเป็นภรรยาของเขา โยเซฟออกไปทั่วแผ่นดินอียิปต์

46 โยเซฟมีอายุสามสิบปี เมื่อเขายืนอยู่ต่อพระพักตร์ฟาโรห์ กษัตริย์อียิปต์ โยเซฟออกไปจากการเข้าเฝ้าฟาโรห์ และออกไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ 47 ในเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์แผ่นดินให้ผลผลิตอย่างมากมาย 48 ในตลอดเจ็ดปี เขารวบรวมอาหารที่มีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์และเก็บอาหารนั้นไว้ในเมืองต่างๆ เขาเก็บอาหารของแต่ละเมืองจากท้องทุ่งและพื้นที่รอบๆ เมืองไว้ที่แต่ละเมืองนั้น 49 โยเซฟเก็บรักษาข้าวมากมายเหมือนทรายแห่งท้องทะเล มากจนกระทั่งเขาต้องสั่งให้หยุดการทำบัญชีเนื่องจากมันมีมากเกินกว่าที่จะนับได้

50 ก่อนที่ปีแห่งการกันดารอาหารจะมาถึง โยเซฟมีบุตรชายสองคนซึ่งอาเสนัท บุตรหญิงของโปทิเฟรา ปุโรหิตเมืองโอน เป็นผู้ให้กำเนิดแก่เขา 51 โยเซฟเรียกชื่อบุตรชายหัวปีของเขาว่า มนัสเสห์ เพราะเขากล่าวว่า "พระเจ้าทรงกระทำให้ข้าพเจ้าลืมความทุกข์ยากลำบากทั้งหมดของข้าพเจ้า และครัวเรือนทั้งหมดของบิดาข้าพเจ้า" 52 เขาเรียกชื่อบุตรชายคนที่สองว่า เอฟราอิม เพราะเขากล่าวว่า "พระเจ้าทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเกิดผลในดินแดนแห่งความยากลำบากของข้าพเจ้า"

53 เจ็ดปีแห่งความสมบูรณ์ในแผ่นดินอียิปต์ก็จบสิ้นลง 54 เจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารได้เริ่มต้น เหมือนที่โยเซฟได้พูดไว้ เกิดการกันดารอาหารขึ้นทั่วแผ่นดิน แต่ในแผ่นดินอียิปต์ยังมีอาหาร

55 เมื่อเกิดการกันดารขึ้นทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์ ประชาชนร้องขออาหารจากฟาโรห์ ฟาโรห์ตรัสกับประชาชนอียิปต์ทั้งหมดว่า "จงไปหาโยเซฟ และจงปฏิบัติตามที่เขาพูด" 56 การกันดารอาหารเกิดขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน โยเซฟเปิดยุ้งฉางทั้งหมด และขายอาหารให้กับคนอียิปต์ เกิดการกันดารอาหารอย่างรุนแรงในแผ่นดินอียิปต์ 57 คนจากทั่วทั้งแผ่นดินมายังอียิปต์เพื่อซื้อข้าวจากโยเซฟ เพราะว่าเกิดการกันดารอาหารอย่างแสนสาหัสขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน

42

1 บัดนี้ยาโคบรู้ว่ามีข้าวอยู่ที่ในอียิปต์ เขาพูดกับพวกบุตรชายของเขาว่า “พวกเจ้ามองดูกันและกันทำไม?” 2 เขาพูดว่า “ดูนี่ เราได้ยินว่า ที่ในอียิปต์มีข้าว จงลงไปที่นั่น และซื้อข้าวจากที่นั่นมาให้เรา เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตอยู่และไม่ตาย” 3 พี่ชายทั้งสิบคนของโยเซฟลงไปซื้อข้าวจากอียิปต์ 4 แต่เบนยามิน น้องชายของโยเซฟนั้นยาโคบไม่ได้ส่งไปกับพวกพี่ชายของเขา เพราะเขากลัวว่าเบนยามินจะได้รับอันตราย 5 พวกบุตรชายของอิสราเอลเดินทางมาเพื่อที่จะซื้อข้าวเพราะการกันดารอาหารที่เกิดในดินแดนคานาอัน

6 บัดนี้โยเซฟได้เป็นผู้ปกครองเหนือแผ่นดินนั้น เขาเป็นผู้ขายข้าวให้กับคนทั้งแผ่นดินแต่เพียงผู้เดียว พวกพี่ชายของโยเซฟมาและโค้งคำนับเขา จนหน้าของพวกเขาถึงพื้น 7 โยเซฟเห็นพวกพี่ชายและจำพวกเขาได้ แต่เขาปกปิดตัวเขาเองจากพวกเขาและพูดอย่างห้าวๆ กับพวกเขา เขาพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ามาจากไหน?” พวกเขาตอบว่า “จากแผ่นดินคานาอันเพื่อซื้ออาหาร”

8 โยเซฟจำพวกพี่ชายของเขาได้ แต่พวกเขาจำโยเซฟไม่ได้ 9 แล้วโยเซฟก็ระลึกถึงความฝันที่เขาได้ฝันเกี่ยวกับพวกเขา และเขาพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าเป็นคนสอดแนม พวกเจ้ามาเพื่อที่จะดูส่วนที่ไม่ได้มีการป้องกันของแผ่นดิน”

10 พวกเขาพูดกับเขาว่า “ไม่ใช่หรอก เจ้านายของข้าพเจ้า พวกคนรับใช้ของท่านมาเพื่อที่จะซื้ออาหาร 11 พวกเราทั้งหมดเป็นบุตรชายร่วมบิดาคนเดียวกัน พวกเราเป็นคนสัตย์ซื่อ พวกคนรับใช้ของท่านไม่ใช่คนสอดแนม”

12 เขาพูดกับพวกเขาว่า “ไม่ใช่หรอก พวกเจ้ามาเพื่อดูส่วนที่ที่ไม่ได้มีการป้องกันของแผ่นดิน” 13 พวกเขาพูดว่า “พวกเรา พวกคนรับใช้ของท่านมีพี่น้องด้วยกันสิบสองคน เป็นพวกบุตรชายร่วมบิดาคนเดียวกันในแผ่นดินคานาอัน ดูเถอะน้องคนสุดท้อง ขณะนี้อยู่กับบิดาของพวกเรา และน้องอีกคนหนึ่งก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว”

14 โยเซฟพูดกับพวกเขา “มันเป็นอย่างที่เราได้พูดกับพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าเป็นคนสอดแนม 15 ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าต้องถูกตรวจสอบ ฟาโรห์ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด พวกเจ้าจะไปจากที่นี่ไม่ได้ นอกจากน้องชายคนสุดท้องของพวกเจ้าจะมาที่นี่ 16 จงส่งพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งให้ไปพาน้องชายของพวกเจ้ามา เพื่อพิสูจน์คำพูดของพวกเจ้าว่าจริงหรือเท็จ และให้ขังพวกเจ้าที่เหลือไว้ในคุก” 17 เขาจองจำพวกเขาทั้งหมดไว้เป็นเวลาสามวัน

18 ในวันที่สาม โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “เพราะเราเกรงกลัวพระเจ้า จงทำอย่างนี้เพื่อจะมีชีวิตรอด 19 คือถ้าพวกเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อ ก็ให้พี่น้องคนหนึ่งของพวกเจ้าอยู่ในคุก แต่พวกเจ้าที่เหลือให้นำข้าวกลับไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหารในบ้านพวกเจ้า 20 จงนำน้องชายคนสุดท้องมาหาเรา เพื่อยืนยันคำพูดของพวกเจ้าและพวกเจ้าจะไม่ตาย” ดังนั้นพวกเขาก็ได้ทำตามนั้น

21 พวกเขาพูดกันว่า “พวกเรามีความผิดจริงๆ เกี่ยวกับน้องชายของพวกเรา ที่พวกเราได้เห็นความเจ็บปวดของจิตวิญญาณของเขา เมื่อเขาขอร้องพวกเรา แต่พวกเราไม่ได้ฟังเขา ดังนั้นความเจ็บปวดนี้จึงได้ย้อนกลับมาถึงพวกเรา” 22 รูเบนตอบพวกเขาว่า “ฉันไม่ได้บอกพวกเจ้าหรือว่า ‘อย่าทำบาปต่อเด็กคนนั้น’ แต่พวกเจ้าไม่ฟังใช่ไหม? บัดนี้ดูสิ เลือดของเขาได้เรียกร้องต่อพวกเรา”

23 พวกเขาไม่รู้ว่าโยเซฟเข้าใจที่พวกเขาพูด เพราะว่ามีล่ามระหว่างพวกเขา 24 เขาออกไปจากพวกเขาและร้องไห้ เขากลับมาหาพวกเขาและพูดกับพวกเขา เขาเลือกเอาสิเมโอนจากพวกเขา และมัดเขาต่อหน้าพวกเขา 25 จากนั้นโยเซฟสั่งให้คนรับใช้ของเขาใส่ข้าวให้เต็มกระสอบของพวกพี่ชาย และให้ใส่เงินของทุกคนกลับลงไปในกระสอบของเขาด้วย และจัดเตรียมการเดินทางให้พวกเขา มันถูกดำเนินการเพื่อพวกเขา

26 พวกพี่ชายเอาข้าวบรรทุกหลังลาของพวกเขาและเดินทางออกไปจากที่นั่น 27 เมื่อถึงที่พักพวกเขาคนหนึ่งเปิดกระสอบข้าวของเขาเพื่อเอาข้าวให้ลาของเขา เขาเห็นเงินของเขา ดูเถิดมันอยู่ในกระสอบของเขาที่เปิดอยู่ 28 เขาพูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า “เงินของฉันถูกนำกลับมา ดูสิ มันอยู่ในกระสอบของฉัน” พวกเขาขวัญเสีย และพวกเขาพากันตัวสั่น พูดว่า “นี่คืออะไร ที่พระเจ้าทรงกระทำกับพวกเรา?”

29 พวกเขาไปหายาโคบ บิดาของพวกเขาในแผ่นดินคานาอัน และบอกเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาทุกอย่าง พวกเขาพูดว่า 30 “ผู้ชายคนนั้นที่เป็นเจ้านายของแผ่นดิน ได้พูดอย่างหยาบคายกับพวกเรา และคิดว่าเราเป็นคนสอดแนมในแผ่นดินนั้น 31 เราพูดกับเขาว่า ‘พวกเราเป็นคนสัตย์ซื่อ พวกเราไม่ใช่คนสอดแนม 32 พวกเรามีพี่น้องสิบสองคน เป็นบุตรชายทั้งหลายของบิดาของเรา คนหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว และในวันนี้น้องคนสุดท้องอยู่บิดาของพวกเราในแผ่นดินคานาอัน’

33 ผู้ชายคนนั้น เจ้านายของแผ่นดินได้พูดกับพวกเราว่า 'ด้วยวิธีนี้เราจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อจริงหรือไม่ ทิ้งพี่น้องคนหนึ่งไว้กับเรา นำข้าวกลับไปบรรเทาการกันดารอาหารในบ้านของพวกเจ้า และไปตามทางของพวกเจ้า 34 จงนำน้องชายคนสุดท้องมาหาเรา แล้วเราจะรู้ว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนสอดแนม แต่เป็นเป็นคนที่สัตย์ซื่อ จากนั้นเราจะปล่อยพี่น้องของพวกเจ้าให้กับพวกเจ้า และพวกเจ้าจะค้าขายในแผ่นดินนั้น'”

35 เมื่อพวกเขานำข้าวออกจากระสอบ ดูเถิดกระสอบของพวกเขาก็มีเงินอยู่ทุกกระสอบ เมื่อพวกเขาและบิดาของพวกเขาเห็นว่ากระสอบของพวกเขามีเงินอยู่ พวกเขาก็หวาดกลัว 36 ยาโคบบิดาของพวกเขาพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าทำให้เราสูญเสียพวกบุตรชายของเรา โยเซฟก็ได้เสียชีวิตไป สิเมโอนก็ได้จากไป และพวกเจ้าจะมาเอาเบนยามินไปอีก ทั้งหมดเหล่านี้ทำร้ายเรา”

37 รูเบนพูดกับบิดาของเขา กล่าวว่า "ขอให้ท่านประหารบุตรชายทั้งสองของฉัน ถ้าฉันไม่นำเบนยามินกลับมาให้ท่าน มอบเขาไว้ในมือฉัน และฉันจะนำเขากลับมาหาท่านอีก" 38 ยาโคบพูดว่า "บุตรชายของเราจะไม่ลงไปกับเจ้า เพราะว่าพี่ชายของเขาได้ตายแล้ว เหลือเขาเพียงคนเดียว หากเกิดอันตรายกับเขาในระหว่างทางที่พวกเจ้าไปนั้น เท่ากับว่าพวกเจ้าจะนำผมหงอกของเราพร้อมกับความโศกเศร้าลงสู่แดนผู้ตาย"

43

1 การกันดารอาหารในแผ่นดินนั้นรุนแรงยิ่งนัก 2 อยู่มาเมื่อพวกเขากินข้าวที่พวกเขาได้ซื้อมาจากอียิปต์หมดแล้ว บิดาของพวกเขาพูดกับพวกเขาว่า "จงไป และซื้ออาหารมาให้เราอีก"

3 ยูดาห์บอกเขาว่า "ผู้ชายคนนั้นได้กำชับพวกเราอย่างเด็ดขาดว่า 'พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าของเราอีกนอกจากน้องชายของพวกเจ้าจะมากับพวกเจ้า' 4 ถ้าพ่อให้น้องชายของพวกเราไปกับพวกเรา พวกเราจะลงไปและซื้ออาหารมาให้พ่อ 5 แต่ถ้าพ่อไม่ให้เขาไป พวกเราก็จะไม่ลงไป เพราะผู้ชายคนนั้นพูดกับพวกเราว่า 'พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าของเราถ้าน้องชายของพวกเจ้าไม่มากับพวกเจ้า'"

6 อิสราเอลพูดว่า "ทำไมพวกเจ้าได้ทำในสิ่งที่เลวร้ายกับเราด้วยการบอกผู้ชายคนนั้นว่าพวกเจ้ายังมีน้องชายอีกคนหนึ่งเล่า?" 7 พวกเขาพูดว่า "ผู้ชายคนนั้นถามรายละเอียดเกี่ยวกับพวกเรา และครอบครัวของพวกเรา เขาถามว่า 'บิดาของพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ไหม? พวกเจ้ามีพี่น้องอีกคนหนึ่งไหม?' พวกเราตอบเขาตามคำถามเหล่านี้ พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะพูดว่า 'จงนำน้องชายของพวกเจ้าลงมา?'" 8 ยูดาห์พูดกับอิสราเอล บิดาของเขาว่า "จงให้เด็กนั้นไปกับลูก พวกเราจะลุกขึ้นและไปเพื่อพวกเราจะมีชีวิตและไม่ตาย ทั้งพวกเรา พ่อ และบุตรทั้งหลายของพวกเรา 9 ลูกขอเป็นตัวประกันเพื่อเขา พ่อให้ลูกรับผิดชอบได้ ถ้าลูกไม่นำเขากลับมาให้พ่อ และมอบเขาต่อหน้าพ่อ ก็ขอให้ลูกได้รับการประณามตลอดไป 10 เพราะถ้าพวกลูกไม่ล่าช้า แน่นอน เดี๋ยวนี้พวกเราก็ควรที่จะกลับมาที่นี่เป็นครั้งที่สองครั้งแล้ว"

11 อิสราเอล บิดาของพวกเขาพูดกับพวกเขาว่า "ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จงทำเรื่องนี้เดี๋ยวนี้ จงนำสิ่งที่ดีที่สุดของแผ่นดินนี้บางส่วนใส่ในกระสอบทั้งหลายของพวกเจ้า แบกลงไปให้ผู้ชายคนนั้นเป็นของกำนัล คือน้ำมันพืชที่มีกลิ่นหอม และน้ำผึ้ง เครื่องเทศ และยางไม้หอม ถั่วพิสทาชิโอ และอัลมอนด์ 12 นำเงินไปในมือสองเท่า เงินที่ได้ถูกนำกลับมาในกระสอบทั้งหลายของพวกเจ้า จงนำใส่มือของพวกเจ้ากลับไป บางทีอาจจะเป็นความผิดพลาด 13 นำน้องชายของพวกเจ้าไปด้วย จงลุกขึ้น และไปหาผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง 14 ขอพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ประทานความเมตตาแก่พวกเจ้าต่อหน้าผู้ชายคนนั้น เพื่อที่เขาจะได้ปลดปล่อยพี่น้องอีกคนของพวกเจ้าและเบนยามินให้แก่พวกเจ้า ถ้าเราต้องสูญเสียบุตรทั้งหลายของเรา เราก็ต้องสูญเสีย" 15 ชายเหล่านั้นได้นำของกำนัลนี้ และในมือของพวกเขามีเงินจำนวนสองเท่า ไปพร้อมกับเบนยามิน พวกเขาลุกขึ้นและลงไปยังอียิปต์ และยืนอยู่ต่อหน้าโยเซฟ

16 เมื่อโยเซฟเห็นเบนยามินกับพวกเขา เขาพูดกับพ่อบ้านของเขาว่า "จงนำชายเหล่านั้นเข้ามาในบ้าน ฆ่าสัตว์ตัวหนึ่งและจัดเตรียมอาหาร เพราะชายเหล่านั้นจะกินอาหารกับเราเที่ยงนี้" 17 พ่อบ้านนั้นทำตามที่โยเซฟสั่ง เขานำชายเหล่านั้นเข้าไปในบ้านของโยเซฟ 18 ชายเหล่านั้นก็หวาดกลัวเพราะว่าพวกเขาถูกนำเข้าไปในบ้านของโยเซฟ พวกเขาได้พูดว่า "มันเป็นเพราะเงินนั้นที่กลับเข้ามาอยู่ในกระสอบของพวกเราครั้งแรกที่เราถูกนำเข้ามา บางทีเขาอาจจะหาโอกาสหาเรื่องพวกเรา เขาอาจจะจับพวกเราและนำพวกเราไปเป็นทาส และยึดลาทั้งหลายของพวกเรา"

19 พวกเขาเข้าไปหาพ่อบ้านของโยเซฟ และพวกเขาพูดกับเขาที่ประตูบ้าน 20 พูดว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า พวกเราได้ลงมาครั้งแรกเพื่อซื้ออาหาร 21 เมื่อพวกเราไปถึงที่พัก พวกเราได้เปิดกระสอบข้าวของพวกเรา และดูเถิดเงินของทุกคนอยู่ครบในกระสอบของแต่ละคน พวกเราได้นำมันกลับมาในมือพวกเรา 22 เงินอื่นๆ พวกเราก็ได้ถือนำลงมาเพื่อซื้ออาหาร พวกเราไม่รู้ว่าใครได้เอาเงินของพวกเราใส่ในกระสอบข้าวของพวกเรา" 23 พ่อบ้านนั้นพูดว่า "สันติสุขจงมีแก่พวกท่าน อย่ากลัวเลย พระเจ้าของพวกท่าน และพระเจ้าของบิดาพวกท่านต้องเป็นผู้นำเงินของพวกท่านใส่ในกระสอบข้าวของพวกท่าน เราได้รับเงินของพวกท่านแล้ว" จากนั้นพ่อบ้านได้นำสิเมโอนออกมาให้พวกเขา

24 พ่อบ้านของโยเซฟนำพวกเขาทั้งหลายเข้าไปในบ้านของโยเซฟ เขาได้ให้น้ำแก่พวกเขา และพวกเขาล้างเท้าของพวกเขา เขาให้อาหารแก่พวกลาของพวกเขา 25 พวกเขาเตรียมของกำนัลทั้งหลายสำหรับการมาของโยเซฟในเวลาเที่ยงวัน เพราะพวกเขาได้ยินว่าพวกเขาทั้งหลายจะกินอาหารเที่ยงที่นั่น

26 เมื่อโยเซฟกลับมาบ้าน พวกเขานำเอาของกำนัลซึ่งอยู่ในมือของพวกเขาเข้ามาในบ้าน และโค้งคำนับลงถึงพื้นต่อหน้าเขา 27 เขาได้ถามพวกเขาถึงความเป็นอยู่ของพวกเขาและพูดว่า "บิดาของพวกเจ้า คนแก่ที่พวกเจ้าได้พูดถึงนั้นสบายดีไหม? เขายังมีชีวิตอยู่หรือ?" 28 พวกเขาตอบว่า "บิดาของพวกเรา คนรับใช้ของท่านสบายดี เขายังมีชีวิตอยู่" พวกเขาก้มลงและหมอบราบ 29 เมื่อเขามองขึ้น เขาเห็นเบนยามิน น้องชายของเขา บุตรชายของมารดาของเขา และเขาพูดว่า "นี่คือน้องชายคนสุดท้องของพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้บอกเราหรือ?" จากนั้นเขาพูดว่า "บุตรชายของเราเอ๋ย ขอพระเจ้าทรงพระเมตตาแก่เจ้า"

30 โยเซฟรีบออกไปนอกห้อง เพราะว่าเขามีความรู้สึกสะเทือนใจเกี่ยวกับน้องชายของเขา เขาหาที่ที่จะร้องไห้ เขาเข้าไปในห้องของเขาและร้องไห้ที่นั่น 31 เขาได้ล้างหน้าของเขาและออกมา เขาควบคุมตัวเขาเอง พูดว่า "จงยกอาหารมา" 32 พวกคนรับใช้จึงได้ยกอาหารมาให้โยเซฟโดยส่วนของเขาเอง และของพวกพี่ชายโดยส่วนของพวกเขาเอง พวกคนอียิปต์ที่นั่นได้กินกับเขาในส่วนของพวกเขาเพราะว่าคนอียิปต์ไม่สามารถกินขนมปังกับคนฮีบรู เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่น่าเกลียดแก่คนอียิปต์

33 พวกพี่ชายนั่งต่อหน้าเขา บุตรชายหัวปีตามสิทธิบุตรหัวปี และน้องคนสุดท้องตามอายุของเขา ชายทั้งหลายถูกทำให้ประหลาดใจด้วยกัน 34 โยเซฟได้ให้ส่วนต่างๆ แก่พวกเขาจากอาหารที่อยู่ตรงหน้าของเขา แต่ส่วนของเบนยามินนั้นมากเป็นห้าเท่าของพวกพี่ชายของเขา พวกเขาได้ดื่มและสนุกสนานกับเขา

44

1 โยเซฟสั่งคนต้นเรือนของเขา พูดว่า "ใส่อาหารให้เต็มกระสอบของชายเหล่านั้น ให้มากเท่าที่พวกเขาสามารถบรรทุกไปได้ และใส่เงินของพวกเขาแต่ละคนในปากกระสอบของเขา 2 ใส่จอกของเรา จอกเงินในปากกระสอบของคนสุดท้อง พร้อมกับเงินของเขาที่นำมาซื้อข้าว" คนต้นเรือนก็ได้ทำตามที่โยเซฟสั่ง

3 ในตอนรุ่งเช้า และชายเหล่านั้นก็ได้ออกเดินทาง พวกเขาและลาทั้งหลายของพวกเขา 4 เมื่อพวกเขาได้ออกไปจากเมือง แต่ยังไม่ไกล โยเซฟได้สั่งคนต้นเรือนของเขา "จงลุกขึ้นติดตามชายเหล่านั้นไป และเมื่อเจ้าไปทันพวกเขา จงพูดกับพวกเขาว่า 'ทำไมพวกเจ้าตอบแทนการดีด้วยความชั่ว? 5 นี่ไม่ใช่จอกที่เจ้านายของเราใช้ดื่ม และจอกที่ท่านใช้ในการทำนายหรือ? พวกท่านได้ทำสิ่งชั่วร้าย คือสิ่งนี้ที่พวกท่านได้ทำ'"

6 คนต้นเรือนของโยเซฟได้ตามมาทันพวกเขาและพูดถ้อยคำเหล่านี้กับพวกเขา 7 พวกเขาพูดกับเขาว่า "ทำไมเจ้านายของข้าพเจ้าพูดถ้อยคำเหล่านี้? ขอให้มันอยู่ห่างไกลจากพวกคนรับใช้ของท่านที่พวกเขาจะกระทำเช่นนั้น 8 ดูเถิด เงินที่พวกเราพบในกระสอบทั้งหลายของพวกเรา ในการเปิดกระสอบ พวกเราก็ได้นำมันออกมาจากดินแดนคานาอัน กลับมาให้ท่านอีกครั้ง จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเราจะขโมยเงิน หรือทองจากบ้านเจ้านายของท่าน? 9 ไม่ว่าท่านจะพบที่พวกคนรับใช้ของท่านคนใด จงให้เขาคนนั้นตายเถอะ และพวกเราก็จะเป็นทาสของเจ้านายของข้าพเจ้าด้วย"

10 คนต้นเรือนนั้นพูดว่า "บัดนี้ให้เป็นไปตามที่คำพูดของพวกเจ้าเถิด พบจอกที่ใครก็ตามก็ให้คนนั้นเป็นทาสของเรา และพวกท่านที่เหลือก็พ้นผิด" 11 จากนั้นแต่ละคนรีบและนำเอากระสอบของเขาลงมาวางบนพื้น และแต่ละคนได้เปิดกระสอบของเขา 12 คนต้นเรือนได้เริ่มค้นหา เขาเริ่มต้นจากผู้ที่มีอายุมากที่สุด และไปจบที่ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุด และจอกนั้นก็ถูกพบในกระสอบของเบนยามิน 13 ดังนั้นพวกเขาจึงได้ฉีกเสื้อผ้าของพวกเขา แต่ละคนเอากระสอบบรรทุกหลังลาของเขาและกลับเข้าเมือง

14 ยูดาห์และพวกพี่ชายทั้งหลายมายังบ้านของโยเซฟ เขายังอยู่ที่นั่น และพวกเขาโค้งคำนับต่อเขาหน้าถึงพื้น 15 โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า "พวกเจ้าทำอะไรลงไป? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าคนเช่นเราทำนายได้?" 16 ยูดาห์พูดว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า พวกเราจะสามารถพูดอะไรได้อีกเล่า? พวกเราจะสามารถพูดอะไรได้อีก? หรือพวกเราจะพิสูจน์ตัวเราเองได้อย่างไร? พระเจ้าได้พบความชั่วร้ายของพวกคนรับใช้ของท่าน ดูเถิด พวกเราเป็นทาสของเจ้านายของข้าพเจ้า ทั้งพวกเราและเขาผู้ที่ได้พบจอกอยู่ในมือของเขา" 17 โยเซฟพูดว่า "ขอให้มันอยู่ห่างไกลจากเราที่จะทำอย่างนั้น ผู้ชายคนนั้นผู้ที่ได้พบจอกอยู่ในมือของเขา คนนั้นจะเป็นทาสของเรา แต่สำหรับพวกเจ้าทั้งหลายที่เหลือ จงลุกขึ้นกลับไปหาบิดาของพวกเจ้าอย่างสันติเถิด"

18 จากนั้นยูดาห์เข้ามาใกล้เขาและพูดว่า "ขอความกรุณาเถิด เจ้านายของข้าพเจ้า ขอให้คนรับใช้ของท่านพูดสักคำให้ท่านฟัง และให้ความโกรธของท่านตกอยู่กับคนรับใช้ของท่าน เพราะท่านเป็นเหมือนฟาโรห์ 19 เจ้านายของข้าพเจ้าได้ถามคนรับใช้ของเขา กล่าวว่า 'เจ้ามีบิดา หรือน้องชายหรือไม่?' 20 พวกเราได้ตอบเจ้านายของข้าพเจ้า 'เรามีบิดาคนหนึ่ง ชายชรา และบุตรที่เขามีในวัยชรา บุตรเล็กๆ แต่พี่ชายของเขาได้เสียชีวิต และเขาอยู่กับมารดาของเขาคนเดียว และบิดาของเขาก็รักเขา'

21 จากนั้นท่านได้พูดกับพวกคนรับใช้ของท่าน 'จงนำเขาลงมาหาเราเพื่อที่เราจะพบเขา' 22 หลังจากนั้น เราได้พูดกับเจ้านายของเรา 'เด็กคนนั้นไม่สามารถทิ้งบิดาของเขาได้ เพราะว่าถ้าเขาละทิ้งบิดาของเขา บิดาของเขาจะตาย' 23 จากนั้นท่านได้พูดกับพวกคนรับใช้ของท่าน 'ถ้าน้องคนสุดท้องไม่ลงมากับพวกเจ้า พวกเจ้าจะไม่ได้พบหน้าเราอีก' 24 และเมื่อพวกเราขึ้นไปพบบิดาของข้าพเจ้า คนรับใช้ของท่าน พวกเราบอกเขาถึงถ้อยคำของเจ้านายของข้าพเจ้า

25 บิดาของพวกเราพูดว่า 'จงไปอีกครั้ง ซื้ออาหารให้เรา' 26 จากนั้นพวกเราพูดว่า 'พวกเราไม่สามารถลงไปได้ ถ้าน้องคนสุดท้องของพวกเราอยู่กับเรา แล้วพวกเราจะลงไป เพราะพวกเราจะไม่สามารถพบหน้าผู้ชายคนนั้นได้ นอกจากน้องชายคนสุดท้องจะอยู่กับเรา' 27 บิดาของข้าพเจ้า คนรับใช้ของท่านพูดกับพวกเราว่า 'พวกเจ้ารู้ว่าภรรยาของเราได้ให้กำเนิดบุตรชายสองคนแก่เรา 28 คนหนึ่งในพวกเขาได้ไปจากเราและเราพูดว่า "แน่ทีเดียวเขาได้ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และเราไม่ได้พบเขาตั้งแต่นั้นมา" 29 บัดนี้ถ้าพวกเจ้านำคนนี้ไปจากเราอีก และเกิดอันตรายกับเขา พวกเจ้าจะนำผมหงอกของเรากับความโศกเศร้าลงสู่แดนผู้ตาย'

30 ดังนั้น บัดนี้เมื่อข้าพเจ้ามาถึงบิดาของข้าพเจ้า คนรับใช้ของท่าน และเด็กนั้นไม่อยู่กับพวกเรา ตั้งแต่ชีวิตของเขาถูกผูกมัดกับชีวิตของเด็กนั้น 31 เมื่อเขาเห็นเด็กนั้นไม่อยู่กับพวกเรา เขาจะตาย พวกคนรับใช้ของท่านจะนำผมหงอกของบิดาของพวกเรา คนรับใช้ของท่านกับความโศกเศร้าลงสู่แดนผู้ตาย

32 เพราะคนรับใช้ของท่านเป็นคนรับประกันสำหรับเด็กนั้นกับบิดาของข้าพเจ้า และได้พูดว่า 'ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้นำเขากลับมาให้ท่าน แล้วข้าพเจ้าจะยอมรับผิดต่อบิดาของข้าพเจ้าตลอดไป' 33 ดังนั้นบัดนี้ ขอกรุณาให้คนรับใช้ของท่านอยู่เป็นทาสกับเจ้านายของข้าพเจ้าแทนเด็กคนนั้น และอนุญาตให้เด็กนั้นกลับขึ้นไปกับพวกพี่ชายของเขา 34 เพราะข้าพเจ้าจะกลับไปพบบิดาของข้าพเจ้าได้อย่างไร ถ้าเด็กนั้นไม่อยู่กับข้าพเจ้า? ข้าพเจ้าเกรงว่าจะเห็นความชั่วร้ายมาสู่บิดาของข้าพเจ้า"

45

1 จากนั้นโยเซฟก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ต่อหน้าคนรับใช้ทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา เขาพูดเสียงดัง "ทุกคนจงออกไป" ดังนั้นจึงไม่มีคนรับใช้ยืนอยู่ข้างๆ เขา เมื่อโยเซฟเปิดเผยตัวเองให้พวกพี่น้องของเขาทราบ 2 เขาร้องไห้เสียงดัง คนอียิปต์ทั้งหลายได้ยิน และราชสำนักของฟาโรห์ก็ได้ยิน 3 โยเซฟพูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า "ฉันคือโยเซฟ พ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่หรือ?" พวกพี่น้องของเขาไม่สามารถตอบเขาได้ เพราะพวกเขาตกใจในการปรากฏตัวของเขา

4 จากนั้นโยเซฟพูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า "กรุณาเข้ามาใกล้ฉันเถิด" พวกเขาเข้ามาใกล้ เขาพูดว่า "ฉันคือโยเซฟน้องชายของท่าน ผู้ที่พวกท่านได้ขายมายังอียิปต์ 5 อย่าเสียใจหรือโกรธตัวเองที่ขายฉันมายังที่นี่ เพราะพระเจ้าได้ส่งฉันมาก่อนหน้าพวกท่านเพื่อรักษาชีวิต 6 เพราะนี่คือสองปีแห่งการกันดารอาหารที่เกิดขึ้นในแผ่นดิน และยังเหลืออีกห้าปีซึ่งจะไถหว่าน หรือเก็บเกี่ยวไม่ได้เลย 7 พระเจ้าส่งฉันมาล่วงหน้าพวกท่านเพื่อรักษาพวกท่านที่เป็นเหมือนคนที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน และรักษาพวกท่านให้มีชีวิตอยู่ด้วยการช่วยกู้อันยิ่งใหญ่

8 ดังนั้น บัดนี้จึงไม่ใช่พวกท่านที่ส่งฉันมาที่นี่แต่เป็นพระเจ้า และพระองค์ทรงทำให้ฉันเป็นเหมือนบิดาของฟาโรห์ เจ้านายของราชสำนักของพระองค์ และปกครองเหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด 9 จงรีบ และขึ้นไปหาบิดาของฉันและพูดกับท่านว่า 'นี่คือสิ่งที่โยเซฟ บุตรชายของท่านพูด "พระเจ้าทรงทำให้ฉันเป็นเจ้านายของคนอียิปต์ทั้งหมด ลงมาหาฉัน อย่าได้ชักช้า

10 ท่านจะอาศัยอยู่ในเมืองโกเชน และท่านจะได้อยู่ใกล้ฉัน ท่านและบุตรทั้งหลายของท่าน และพวกหลานของท่าน และฝูงแพะ แกะ และโค และทุกสิ่งที่ท่านมี 11 เราจะจัดให้ท่านที่นั่น เพราะยังเหลือเวลาอีกห้าปีของการกันดารอาหาร ดังนั้นท่านจะไม่ต้องยากจน ท่านและครัวเรือนของท่าน และทุกสิ่งที่ท่านมี'"

12 ดูเถอะ ตาของพวกพี่ และตาของเบนยามิน น้องชายของฉันก็เห็นแล้ว นี่คือคำพูดของฉันที่พูดกับพวกท่าน 13 พวกท่านจะบอกบิดาของฉันเกี่ยวกับเกียรติยศชื่อเสียงของฉันในอียิปต์ และทุกสิ่งที่พวกท่านเห็น ขอให้พวกท่านรีบไปนำบิดาของฉันลงมาที่นี่เถิด" 14 เขากอดคอเบนยามินน้องชายของเขาและร้องไห้ และเบนยามินก็ร้องไห้ที่คอของเขา 15 เขาจูบพวกพี่ชายของเขาทุกคน และร้องไห้กับพวกเขา หลังจากนั้นพวกพี่ชายของเขาก็ได้พูดกับเขา

16 ข่าวเรื่องนี้รู้ไปถึงราชสำนักของฟาโรห์ว่า "พี่น้องของโยเซฟมาถึง" เป็นสิ่งที่ทำให้ฟาโรห์ทรงดีใจรวมทั้งพวกข้าราชบริพารของพระองค์ด้วย 17 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า "จงพูดกับพวกพี่น้องของเจ้า 'จงทำอย่างนี้ บรรทุกหลังพวกสัตว์ของเจ้า และไปยังแผ่นดินคานาอัน 18 นำบิดาของเจ้า และครัวเรือนของเจ้าและมาพบเรา เราจะให้สิ่งที่ดีของแผ่นดินอียิปต์แก่เจ้า และเจ้าจะได้กินผลอันอุดมสมบูรณ์แห่งแผ่นดิน' 19 บัดนี้เราสั่งเจ้า 'จงทำอย่างนี้ นำขบวนเกวียนบรรทุกของออกจากแผ่นดินอียิปต์เพื่อพวกบุตรของเจ้า และพวกภรรยาของเจ้า นำบิดาของเจ้าและกลับมา 20 อย่ากังวลเกี่ยวกับทรัพย์สินทั้งหลายของเจ้า เพราะว่าสิ่งที่ดีของแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมดเป็นของเจ้า'"

21 พวกบุตรชายของอิสราเอลก็ได้ทำอย่างนั้น โยเซฟให้ขบวนเกวียนกับพวกเขาตามพระบัญชาของฟาโรห์ และจัดเตรียมการเดินทางสำหรับพวกเขา 22 สำหรับพวกเขาทุกคน เขาให้เสื้อผ้าสำหรับการเปลี่ยนแก่แต่ละคน แต่สำหรับเบนยามินเขาให้เงินสามร้อยแผ่น และเสื้อผ้าสำหรับการเปลี่ยนห้าชุด 23 สำหรับบิดาของเขา เขาส่งสิ่งต่อไปนี้คือ ลาสิบตัวบรรทุกสิ่งดีๆ ทั้งหลายของอียิปต์ และลาตัวเมียสิบตัวที่บรรทุกข้าว ขนมปัง และสิ่งต่างๆ สำหรับการเดินทางของบิดาของเขา 24 ดังนั้นเขาได้ส่งพี่น้องของเขาออกเดินทาง และพวกเขาก็จากไป เขาพูดกับพวกเขาว่า "นี่แน่ะ พวกท่านอย่าได้ทะเลาะกันระหว่างการเดินทาง"

25 พวกเขาได้ออกไปจากอียิปต์ และมาถึงแผ่นดินคานาอัน มาพบยาโคบ บิดาของพวกเขา 26 พวกเขาบอกกับเขาว่า "โยเซฟยังมีชีวิตอยู่ และเขาเป็นผู้ปกครองเหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด" จิตใจของเขารู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาได้บอกเขา 27 พวกเขาได้บอกเขาทุกคำพูดของโยเซฟที่เขาพูดกับพวกเขา เมื่อยาโคบเห็นรถบรรทุกที่โยเซฟส่งมาบรรทุกเขา จิตวิญญาณของยาโคบ บิดาของพวกเขาก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นอีก 28 อิสราเอลพูดว่า "นี่เพียงพอแล้ว โยเซฟบุตรชายของเรายังมีชีวิตอยู่ เราจะไปและพบเขาก่อนที่เราจะตาย"

46

1 อิสราเอลเริ่มการเดินทางของเขาพร้อมกับทุกสิ่งที่เขามี และไปยังเบเออร์เชบา ที่นั่นเขาได้ถวายเครื่องบูชาแก่พระเจ้าของอิสอัคบิดาของเขา 2 พระเจ้าตรัสกับอิสราเอลในนิมิตในเวลากลางคืน ตรัสว่า "ยาโคบ ยาโคบ" เขาทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่" 3 พระองค์ตรัสว่า "เราคือพระเจ้า พระเจ้าของบิดาเจ้า อย่ากลัวที่จะลงไปอียิปต์ เพราะว่าที่นั่นเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ 4 เราจะลงไปยังอียิปต์กับเจ้า และแน่นอนเราจะนำเจ้ากลับขึ้นมาอีกครั้ง และโยเซฟจะปิดตาของเจ้าด้วยมือของเขาเอง"

5 ยาโคบลุกขึ้นจากเบเออร์เชบา บุตรชายทั้งหลายของอิสราเอลได้พายาโคบบิดาของพวกเขา บุตรทั้งหลายของพวกเขา และภรรยาทั้งหลายของพวกเขา ไปในขบวนเกวียนที่ฟาโรห์ส่งมารับเขา 6 พวกเขาเอาสัตว์เลี้ยง และทรัพย์สินทั้งหลายของพวกเขาที่ได้สะสมในแผ่นดินคานาอัน พวกเขาเข้ามายังอียิปต์ ทั้งยาโคบและเชื้อสายทั้งหมดของเขาก็มากับเขา 7 เขาได้พาบุตรชายทั้งหลายของเขาและหลานชายทั้งหลายของเขา บุตรสาวทั้งหลายของเขา และหลานสาวทั้งหลายของเขา และเชื้อสายทั้งหมดของเขามายังอียิปต์กับเขาด้วย

8 ต่อไปนี้คือบรรดาชื่อบุตรของอิสราเอล ผู้ซึ่งเข้ามายังอียิปต์ ยาโคบและบุตรชายทั้งหลายของเขา รูเบน บุตรชายหัวปีของยาโคบ 9 บุตรชายทั้งหลายของรูเบนคือ ฮาโนค และปัลลู และเฮลโรน และคารมี 10 บุตรชายทั้งหลายของสิเมโอนคือ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน และโศหาร์ และชาอูล บุตรชายของผู้หญิงคนคานาอัน

11 บุตรชายทั้งหลายของเลวีคือ เกอร์โชน โคฮาท และเมราวี 12 บุตรชายทั้งหลายของยูดาห์คือ เอร์ โอนัน เชลาห์ เปเรศ และเศราห์ (แต่เอร์ และโอนันได้เสียชีวิตในแผ่นดินคานาอัน) บุตรชายทั้งหลายของเปเรศคือ เฮสโรน และฮามูล

13 บุตรชายทั้งหลายของอิสสาคาร์คือ โทลา ปูวาห์ โยบ และชิมโรน 14 บุตรชายทั้งหลายของเศบูลุนคือ เสเรด เอโลน และยาเลเอล 15 เหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเลอาห์ผู้ซึ่งนางได้ให้กำเนิดแก่ยาโคบในปัดดานอารัม รวมทั้งดีนาห์บุตรหญิงของเขา บุตรชายทั้งหลายของเขาและบุตรหญิงทั้งหลายของเขา นับได้สามสิบสามคน

16 บุตรชายทั้งหลายของกาดคือ ศิฟีโยน ฮักกี ชูนี เอสโบน เอรี อาโรดี และอาเรลี 17 บุตรชายทั้งหลายของอาเชอร์คือ ยิมนาห์ ยิชวาห์ ยิชวี และเบรีอาห์ และน้องสาวของพวกเขาคือ เสราห์ บุตรชายทั้งหลายของเบรีอาห์คือเฮเบอร์ และมัลคีเอล

18 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของศิลปาห์ผู้ที่ลาบันได้ยกให้แก่เลอาห์บุตรหญิงของเขา บุตรชายทั้งหลายเหล่านี้นางได้ให้กำเนิดแก่ยาโคบ จำนวนทั้งหมดสิบหกคน 19 บุตรชายทั้งหลายของราเชลภรรยายาโคบคือโยเซฟและเบนยามิน

20 อาเสนัทบุตรหญิงของโปทิเฟรา ปุโรหิตของเมืองโอนได้ให้กำเนิด มนัสเสห์ และเอฟราอิมแก่โยเซฟในอียิปต์ 21 บุตรชายทั้งหลายของเบนยามินคือ เบลา เบคอร์ อัชเบล เกรา นาอามาน เอฮี โรช มัปปิม หุปปิม และอาร์ด 22 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของราเชลที่เกิดให้แก่ยาโคบ จำนวนทั้งหมดสิบสี่คน 23 บุตรชายของดานคือ หุชิม

24 บุตรชายทั้งหลายของนัฟทาลีคือ ยาเซเอล กูนี เยเซอร์ และชิลเลม 25 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของยาโคบที่ได้เกิดจากบิลฮาห์ผู้ซึ่งลาบันได้ยกให้แก่ราเชลบุตรหญิงของเขา จำนวนทั้งหมดเจ็ดคน

26 บรรดาคนทั้งหมดเหล่านั้นที่ได้ลงไปอียิปต์กับยาโคบ คือบรรดาเชื้อสายทั้งหลายของเขา ไม่นับลูกสะใภ้ของยาโคบ จำนวนทั้งหมดหกสิบหกคน 27 รวมกับบุตรชายสองคนของโยเซฟผู้ซึ่งได้เกิดกับเขาในอียิปต์ จำนวนสมาชิกของครอบครัวเขาที่ได้ลงไปอียิปต์มีทั้งหมดเจ็ดสิบคน

28 ยาโคบส่งยูดาห์ล่วงหน้าเขาไปหาโยเซฟเพื่อนำทางเขาไปยังเมืองโกเชน และเขาทั้งหลายได้เข้ามาถึงแผ่นดินโกเชน 29 โยเซฟจัดเตรียมรถม้าของเขาและขึ้นไปพบอิสราเอลบิดาของเขาในโกเชน โยเซฟเห็นเขา กอดคอเขา และร้องไห้ที่คอของเขาเป็นเวลานาน

30 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า "บัดนี้เราตายได้แล้ว ตั้งแต่เราได้เห็นหน้าเจ้า ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่" 31 โยเซฟพูดกับพวกพี่น้องของเขาและครัวเรือนของบิดาเขา "ฉันจะขึ้นไปและทูลกับฟาโรห์ กล่าวว่า 'พวกพี่น้องของข้าพระองค์ และครัวเรือนของบิดาของข้าพระองค์ผู้ซึ่งอยู่ในแผ่นดินคานาอันได้มาหาฉัน

32 พวกผู้ชายทั้งหลายก็เป็นคนเลี้ยงแกะ เพราะว่าพวกเขาเคยเป็นคนเลี้ยงสัตว์ พวกเขานำเอาฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเขา ฝูงแพะ แกะ และทั้งหมดที่พวกเขามีมาด้วย' 33 เมื่อฟาโรห์เรียกหาพวกท่าน และถาม 'พวกเจ้าทำอาชีพอะไร?' 34 พวกท่านควรทูลตอบว่า 'คนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์ ทั้งเรา และบรรพบุรุษของเราเคยเลี้ยงสัตว์มาตั้งแต่เราเป็นเด็กจนกระทั่งบัดนี้' จงทำอย่างนี้ แล้วพวกท่านจะได้อาศัยในแผ่นดินโกเชน เพราะคนเลี้ยงสัตว์ทุกคนเป็นที่เกลียดชังของคนอียิปต์

47

1 จากนั้นโยเซฟเข้าไปเฝ้าฟาโรห์และกราบทูลว่า "บิดาของข้าพระองค์ และพี่น้องของข้าพระองค์ ฝูงวัว และฝูงแกะของพวกเขา และทุกสิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของ ที่มาจากแผ่นดินคานาอันก็มาถึงแล้ว ดูเถิดพวกเขาอยู่ที่แผ่นดินเมืองโกเชน" 2 เขานำพี่ชายของเขามาห้าคนและแนะนำพวกเขาต่อฟาโรห์

3 ฟาโรห์ตรัสกับพวกพี่ชายทั้งหลายของเขาว่า "พวกเจ้าทำอาชีพอะไร?" พวกเขาทูลตอบฟาโรห์ว่า "พวกคนรับใช้ของพระองค์เป็นคนเลี้ยงสัตว์เหมือนบรรพบุรุษของพวกเรา" 4 จากนั้นพวกเขาทูลตอบฟาโรห์ว่า "พวกเรามาอาศัยที่นี่ ในแผ่นดินนี้เพียงชั่วคราว ไม่มีทุ่งหญ้าสำหรับฝูงสัตว์เลี้ยงของคนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์เพราะการกันดารอาหารที่รุนแรงในแผ่นดินคานาอัน มาบัดนี้ขอท่านได้โปรดกรุณาให้คนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์อาศัยอยู่ในแผ่นดินเมืองโกเชน"

5 จากนั้นฟาโรห์ทรงกล่าวกับโยเซฟ ตรัสว่า "บิดาของเจ้า และพี่น้องทั้งหลายของเจ้ามาหาเจ้า 6 แผ่นดินอียิปต์ก็อยู่ต่อหน้าเจ้าแล้ว จงจัดการให้บิดาของเจ้าและพี่น้องทั้งหลายของพวกเจ้าในเขตที่ดีที่สุด ในแผ่นดินเมืองโกเชน ถ้าในท่ามกลางพวกเขามีใครที่มีความสามารถ ก็จงตั้งพวกเขาให้ดูแลฝูงสัตว์ของเรา"

7 จากนั้นโยเซฟก็พายาโคบบิดาของเขาเข้าเฝ้าต่อฟาโรห์ ยาโคบก็ถวายพระพรแก่ฟาโรห์ 8 ฟาโรห์ตรัสกับยาโคบว่า "เจ้ามีชีวิตอยู่นานแค่ไหนแล้ว?" 9 ยาโคบทูลต่อฟาโรห์ว่า "ข้าพระองค์ใช้ชีวิตมานานหนึ่งร้อยสามสิบปีแล้ว ปีทั้งหลายของชีวิตของข้าพระองค์นั้นแสนสั้นและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มันไม่ยืนยาวเหมือนบรรพบุรุษทั้งหลายของข้าพระองค์" 10 จากนั้นยาโคบได้ถวายพระพรฟาโรห์และออกไปจากพระพักตร์ของพระองค์

11 แล้วโยเซฟให้บิดาของเขาและพี่น้องทั้งหลายของเขาตั้งถิ่นฐาน เขาให้พื้นที่ในแผ่นดินอียิปต์แก่พวกเขา เป็นพื้นที่ดีที่สุดในแผ่นดินของราเมเสสตามที่ฟาโรห์ทรงรับสั่ง 12 โยเซฟจัดอาหารสำหรับบิดาของเขา พี่น้องของเขา และครัวเรือนทั้งหมดของบิดาของเขาตามจำนวนเชื้อสายของพวกเขา

13 บัดนี้ไม่มีอาหารในแผ่นดินทั้งสิ้น เพราะการกันดารรุนแรงมาก แผ่นดินอียิปต์ และแผ่นดินคานาอันเสียหายเพราะการกันดารอาหาร 14 โยเซฟรวบรวมเงินทั้งหมดที่อยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และในแผ่นดินคานาอันด้วยการขายข้าวแก่คนทั้งหลาย จากนั้นโยเซฟนำเงินส่งให้สำนักพระราชวังของฟาโรห์

15 เมื่อเงินทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอันใช้จนหมดแล้ว คนอียิปต์ทั้งหมดได้มาหาโยเซฟกล่าวว่า "ขออาหารให้พวกเราด้วย ทำไมพวกเราจะต้องมาสิ้นชีวิตต่อหน้าท่านเพราะเงินหมด?" 16 โยเซฟกล่าวว่า "ถ้าเงินของพวกเจ้าหมด ก็จงนำฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเจ้ามา และเราจะให้อาหารแก่พวกเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยนกับฝูงสัตว์ของพวกเจ้า" 17 ดังนั้นพวกเขาก็นำเอาฝูงสัตว์ของพวกเขามาให้โยเซฟ โยเซฟให้อาหารเป็นการแลกเปลี่ยนกับฝูงม้า ฝูงโค และฝูงแกะ และฝูงลา เขาเลี้ยงพวกเขาด้วยขนมปังเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับฝูงสัตว์ทั้งหมดของพวกเขาในปีนั้น

18 เมื่อหนึ่งปีผ่านไป พวกเขากลับมาหาเขาในปีถัดมาและพูดกับเขาว่า "พวกเราจะไม่ปกปิดเจ้านายของเราอีกต่อไปว่าเงินของพวกเราหมดแล้ว และฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเราก็เป็นของเจ้านายของเราหมด ไม่มีอะไรเหลืออยูในสายตาเจ้านายของพวกเรา นอกจากร่างกายของพวกเราและที่ดินของพวกเรา 19 ทำไมพวกเราจะต้องมาสิ้นชีวิตต่อหน้าต่อตาท่าน ทั้งตัวพวกเราและที่ดินของพวกเราเล่า? จงซื้อตัวพวกเรา และที่ดินของพวกเราเพื่อแลกกับอาหาร และพวกเราและที่ดินของพวกเราจะเป็นพวกคนรับใช้ของฟาโรห์ ขอเมล็ดพืชให้พวกเราเพื่อที่พวกเราจะมีชีวิตอยู่ และไม่ตาย และแผ่นดินนั้นจะไม่ว่างเปล่า"

20 ดังนั้นโยเซฟจึงซื้อที่ดินทั้งหมดของอียิปต์เพื่อฟาโรห์ เพราะคนอียิปต์ทุกคนได้ขายทุ่งนาของเขาเพราะการกันดารอาหารรุนแรงมาก ด้วยวิธีนี้ที่ดินนั้นก็ตกเป็นของฟาโรห์ 21 ประชาชนทั้งหลายทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์ขายตัวเป็นทาสของฟาโรห์ 22 มีเพียงที่ดินของปุโรหิตทั้งหลายเท่านั้นที่โยเซฟไม่ได้ซื้อเพราะว่าพวกปุโรหิตได้รับการเลี้ยงดู พวกเขาได้กินจากการจัดสรรที่ฟาโรห์ประทานให้พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ขายที่ดินของพวกเขา

23 จากนั้นโยเซฟพูดกับประชาชนทั้งหลายว่า "ดูเถิด วันนี้เราซื้อตัวพวกเจ้า และที่ดินของพวกเจ้าให้ฟาโรห์ และนี่คือเมล็ดพืชสำหรับพวกเจ้า และพวกเจ้าจะได้เพาะปลูกบนที่ดิน 24 ในการเก็บเกี่ยว พวกเจ้าต้องถวายหนึ่งในห้าแก่ฟาโรห์ และอีกสี่ส่วนจะเป็นของพวกเจ้าเอง เพื่อเป็นเมล็ดพันธ์ุพืชของทุ่งนา และเพื่อเป็นอาหารสำหรับครัวเรือนของพวกเจ้า และบุตรทั้งหลายของพวกเจ้า" 25 เขาทั้งหลายพูดว่า "ท่านได้ช่วยชีวิตพวกเรา ขอให้เราเป็นที่ชอบในสายตาของท่าน เราจะเป็นคนรับใช้ทั้งหลายของฟาโรห์" 26 ดังนั้นโยเซฟได้ทำกฏระเบียบบังคับใช้ทั่วแผ่นดินอียิปต์จนถึงทุกวันนี้ ที่หนึ่งในห้าเป็นของฟาโรห์ มีเพียงที่ดินของปุโรหิตเท่านั้นที่ไม่ได้เป็นของฟาโรห์

27 ดังนั้นอิสราเอลจึงได้อาศัยในแผ่นดินอียิปต์ ในแผ่นดินเมืองโกเชน คนของพวกเขาได้รับสิทธิการเป็นเจ้าของที่นั่น พวกเขาได้เกิดผลและทวีขึ้นอย่างมากมาย 28 ยาโคบอาศัยในแผ่นดินอียิปต์สิบเจ็ดปี ดังนั้นชีวิตของยาโคบคือหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดปี

29 เมื่อเวลาใกล้จะมาถึงที่อิสราเอลจะเสียชีวิต เขาเรียกบุตรชายของเขา คือโยเซฟเข้ามา และกล่าวกับเขาว่า "ถ้าบัดนี้พ่อเป็นที่ชอบในสายตาของเจ้า จงเอามือของเจ้าวางไว้ใต้ขาอ่อนของพ่อ และแสดงความสัตย์ซื่อ และความน่าไว้วางใจต่อพ่อ ขออย่าฝังพ่อในแผ่นดินอียิปต์ 30 เมื่อพ่อได้ล่วงหลับไปกับเหล่าบรรพบุรุษของพ่อ พวกเจ้าจะต้องนำร่างพ่อออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ และฝังพ่อในสุสานของบรรพบุรุษของพ่อ" โยเซฟพูดว่า "ลูกจะทำตามที่พ่อได้พูดแล้ว" 31 อิสราเอลพูดว่า "จงสาบานต่อพ่อ" และโยเซฟก็ไดสบานต่อเขา จากนั้นอิสราเอลก็ได้โน้มตัวลงที่หัวเตียงของเขา

48

1 หลังจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มีคนหนึ่งได้มาบอกโยเซฟว่า “ดูเถิด บิดาของท่านป่วย” ดังนั้นเขาจึงนำเอาบุตรชายทั้งสองคนของเขาไปกับเขา คือมนัสเสห์ และเอฟราอิม 2 เมื่อยาโคบได้รับการบอกว่า “ดูเถิด โยเซฟ บุตรชายของท่านได้มาถึงเพื่อจะเยี่ยมท่าน” อิสราเอลรวบรวมกำลังและลุกขึ้นนั่งบนเตียง

3 ยาโคบพูดกับโยเซฟว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ปรากฏแก่พ่อที่ตำบลลูซในแผ่นดินคานาอัน พระองค์ทรงอวยพรพ่อ 4 และตรัสกับพ่อว่า ‘ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเกิดผล และเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมาย เราจะทำให้เจ้าเป็นชุมนุมชนของบรรดาประชาชาติ เราจะประทานแผ่นดินนี้แก่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้า เป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป’

5 บัดนี้บุตรชายทั้งสองคนของลูก ผู้ซึ่งได้บังเกิดแก่ลูกในแผ่นดินอียิปต์ก่อนที่พ่อมาหาลูกในอียิปต์ พวกเขาเป็นของพ่อ เอฟราอิม และมนัสเสห์จะเป็นของพ่อ เหมือนที่รูเบนและสิเมโอนเป็นของพ่อ 6 บรรดาบุตรที่ลูกมีหลังจากพวกเขาทั้งหลายจะเป็นของลูก พวกเขาจะถูกจดชื่อไว้ภายใต้ชื่อของพวกพี่น้องของพวกเขาในมรดกของพวกเขา 7 แต่สำหรับพ่อ เมื่อพ่อมาจากปัดดาน ความโศกเศร้าของพ่อต่อราเชลที่เสียชีวิตระหว่างทางที่จะไปแผ่นดินคานาอัน ในขณะที่ยังอยู่ห่างไกลจากเอฟราธาห์ พ่อได้ฝังนางไว้ระหว่างทางที่จะไปยังเอฟราธาห์” (นั่นคือ เบธเลเฮม)

8 เมื่ออิสราเอลเห็นพวกบุตรชายของโยเซฟ เขาพูดว่า “คนเหล่านี้ใครกันเหรอ?” 9 โยเซฟพูดกับบิดาของเขาว่า “พวกเขาคือบุตรชายทั้งหลายของลูก ผู้ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่ลูกที่นี่” อิสราเอลพูดว่า “จงนำพวกเขาเข้ามาหาพ่อเพื่อที่พ่อจะได้อวยพรพวกเขา” 10 บัดนี้ดวงตาของอิสราเอลมืดมัวเพราะความมีอายุมากของเขา ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็น และโยเซฟพาพวกเขาเข้ามาใกล้เขา และเขาจูบพวกเขา และกอดพวกเขา 11 อิสราเอลกล่าวว่ากับโยเซฟว่า “พ่อไม่เคยคาดหวังที่ได้เห็นหน้าของลูกอีก แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้พ่อได้เห็นบุตรทั้งหลายของลูก”

12 โยเซฟนำพวกเขาออกจากระหว่างหัวเข่าของอิสราเอล และจากนั้นเขาก้มหน้าลงถึงพื้น 13 โยเซฟนำพวกเขาทั้งสองคือ เอฟราอิมอยู่ทางขวามือของเขา คืออยู่ทางซ้ายมือของอิสราเอล และมนัสเสห์อยู่ทางซ้ายมือของเขา คืออยู่ทางขวามือของอิสราเอล และนำพวกเขาเข้ามาใกล้เขา 14 อิสราเอลยื่นมือขวาออกและวางบนศีรษะของเอฟราอิม ผู้ซึ่งเป็นน้อง และมือซ้ายของเขาบนศีรษะของมนัสเสห์ เขาไขว้มือของเขาเพราะว่ามนัสเสห์เป็นบุตรหัวปี

15 อิสราเอลอวยพรโยเซฟ กล่าวว่า “ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ที่บรรพบุรุษของข้าพระองค์ อับราฮัมและอิสอัคได้ติดตาม พระเจ้าผู้ที่ได้ดูแลข้าพระองค์จนถึงทุกวันนี้ 16 ทูตสวรรค์ผู้ที่ปกปักรักษาข้าพระองค์จากอันตรายทั้งปวง ขอให้พระองค์ทรงอวยพระพรเด็กเหล่านี้ ขอให้ชื่อของข้าพระองค์เป็นชื่อของพวกเขา และชื่อของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ คืออับราฮัมและอิสอัค ขอให้พวกเขาเติบโตขึ้น ทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน"

17 เมื่อโยเซฟเห็นบิดาของเขาวางมือขวาบนศีรษะของเอฟราอิม เขารู้สึกไม่สบายใจ เขาจับมือของบิดาของเขาย้ายจากศีรษะเอฟราอิมไปยังศีรษะของมนัสเสห์ 18 โยเซฟพูดกับบิดาของเขา "ไม่ใช่อย่างนี้ พ่อของลูก เพราะว่านี่คือบุตรหัวปี วางมือขวาของพ่อบนศีรษะของเขาเถิด" 19 บิดาของเขาปฏิเสธ และพูดว่า "พ่อรู้ลูกเอ๋ย พ่อรู้ เขาจะกลายเป็นชนชาติ และเขาจะยิ่งใหญ่ด้วย น้องชายของเขาจะยิ่งใหญ่กว่าเขา และเชื้อสายทั้งหลายของเขาจะทวีคูณกลายเป็นประชาชาติ"

20 อิสราเอลอวยพรพวกเขาในวันนั้นด้วยคำเหล่านี้ "ประชาชนของอิสราเอลจะประกาศการอวยพรโดยชื่อของเจ้า กล่าวว่า 'ขอพระเจ้าทำให้เจ้าเหมือนเอฟราอิม และเหมือนมนัสเสห์'" ด้วยวิธีนี้ อิสราเอลจึงจัดเอฟราอิมไว้ก่อนมนัสเสห์ 21 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า "ดูเถอะ พ่อกำลังจะตาย แต่พระเจ้าจะทรงอยู่กับลูก และจะทรงนำลูกกลับไปยังดินแดนของบรรพบุรุษทั้งหลายของลูก 22 สำหรับลูก ซึ่งเป็นคนเดียวที่อยู่เหนือบรรดาพี่น้อง พ่อขอมอบที่ลาดภูเขาที่พ่อได้มาจากคนอาโมไรต์ด้วยดาบและธนูของพ่อให้ลูก"

49

1 จากนั้นยาโคบเรียกหาบุตรชายทั้งหลายของเขาและกล่าวว่า "พวกเจ้าทั้งหลายจงมารวมกัน และเราจะบอกพวกเจ้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเจ้าในอนาคต 2 พวกเจ้าจงมาชุมนุมกันและฟัง บุตรชายทั้งหลายของยาโคบ จงฟังอิสราเอล บิดาของพวกเจ้า

3 รูเบน เจ้าเป็นบุตรหัวปีของเรา เป็นอำนาจของเรา และเป็นจุดเริ่มต้นของกำลังของเรา เป็นเกียรติยศชื่อเสียงที่สำคัญของเรา และเป็นพลังที่สำคัญของเรา 4 เจ้าไม่สามารถควบคุมได้เหมือนน้ำที่ไหลเชี่ยว เจ้าจะไม่ดีกว่าคนอื่นเพราะว่าเจ้าได้ขึ้นไปบนเตียงของบิดาเจ้า จากนั้นเจ้าได้ทำให้มันเป็นมลทิน เจ้าได้ขึ้นไปบนที่นอนของเรา

5 สิเมโอน และเลวี เป็นพี่น้องกัน อาวุธแห่งความรุนแรงคือดาบทั้งหลายของพวกเขา 6 โอ้ จิตวิญญาณของเรา อย่าเข้าไปในที่ชุมนุมของพวกเขา อย่าเข้าร่วมในการประชุมของพวกเขา เพราะจิตใจของเรามีศักดิ์ศรีมากกว่านั้น เพราะว่าความโกรธของพวกเขา พวกเขาได้ฆ่าผู้ชายทั้งหลาย มันเป็นความพอใจที่พวกเขาทำให้พวกวัวตัวผู้ทั้งหลายพิการ 7 ความโกรธของพวกเขาทำให้ถูกแช่ง เพราะว่ามันคือความดุร้าย และความโมโหร้ายของพวกเขา เพราะว่ามันคือความโหดร้าย เราจะแบ่งแยกพวกเขาในยาโคบ และกระจายพวกเขาในอิสราเอล

8 ยูดาห์เอ๋ย พวกพี่น้องจะสรรเสริญเจ้า มือของเจ้าจะอยู่บนคอของเหล่าศัตรูของเจ้า บุตรชายทั้งหลายของบิดาเจ้าจะก้มคำนับลงต่อหน้าเจ้า 9 ยูดาห์เป็นเหมือนลูกของสิงโต บุตรชายของเราเอ๋ย เจ้าได้ขึ้นไปจากเหยื่อของเจ้า เขาได้ก้มลง เขาได้หมอบลงเหมือนสิงโต เหมือนสิงโตตัวเมีย ใครจะกล้าปลุกเขา? 10 ไม้เท้าจะไม่ขาดไปจากยูดาห์ หรือผู้ปกครองจะไม่ขาดไปจากระหว่างเท้าของเขา จนกว่าชีโลห์จะมา ประชาชาติทั้งหลายจะเชื่อฟังผู้นั้น 11 จงผูกลาของเขากับเถาองุ่น และลูกลาตัวผู้ของเขากับเถาองุ่นที่เลือกไว้ เขาได้ซักเสื้อผ้าของเขาในเหล้าองุ่น และเสื้อคลุมของเขาในเลือดแห่งผลองุ่นทั้งหลาย 12 ดวงตาของเขาจะมีสีเข้มเหมือนเหล้าองุ่น และฟันของเขาจะขาวเหมือนน้ำนม

13 เศบูลุนจะอาศัยอยู่ริมชายทะเล เขาจะเป็นท่าเรือสำหรับเรือทั้งหลาย และอาณาเขตของเขาจะขยายออกไปถึงไซดอน 14 อิสสาคาร์เป็นลาที่มีกำลังแข็งแรง กำลังนอนอยู่ระหว่างคอกแกะทั้งหลาย 15 เขาเห็นที่พักผ่อนที่ดี และแผ่นดินที่น่าพึงพอใจ เขาจะลดไหล่ของเขาลงเพื่อรับแอก และกลายเป็นคนรับใช้สำหรับงานนั้น

16 ดานจะพิพากษาประชาชนของเขา เหมือนเผ่าหนึ่งของอิสราเอล 17 ดานจะเป็นงูตัวหนึ่งที่อยู่ข้างทาง งูพิษตัวหนึ่งในทางนั้นที่จะกัดส้นเท้าม้า ทำให้ผู้ที่ขี่ม้าหงายหลังตก 18 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์รอคอยการช่วยกู้ของพระองค์

19 กาดเอ๋ย ผู้กดขี่จะจู่โจมเขา แต่เขาจะโจมตีพวกเขาที่ส่วนหลังของพวกเขา 20 อาหารของอาเซอร์จะสมบูรณ์ และเขาจะจัดอาหารสำหรับกษัตริย์ 21 นัฟทาลีจะเป็นกวางตัวเมียที่ถูกปล่อย เขาจะมีลูกกวางที่สวยงาม

22 โยเซฟเป็นกิ่งที่เกิดผล กิ่งที่เกิดผลที่อยู่ใกล้บ่อน้ำ ที่มีกิ่งทั้งหลายเลื้อยอยู่บนกำแพง 23 พวกพลธนูจะโจมตีเขาและยิงไปที่เขา และข่มขู่เขา 24 แต่ธนูของเขาจะยังคงตั้งตรง และมือของเขาเต็มไปด้วยความชำนาญเพราะพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของยาโคบเพราะชื่อของพระผู้เลี้ยง พระศิลาของของอิสราเอล 25 พระเจ้าของบิดาเจ้าจะทรงช่วยเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะทรงอวยพรเจ้าด้วยพระพรของท้องฟ้าเบื้องบน พระพรแห่งที่ลึกที่อยู่ข้างใต้ และพระพรแห่งเต้านมและครรภ์ 26 พระพรแห่งบิดาของเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพระพรแห่งภูเขาโบราณ หรือสิ่งทั้งหลายที่น่าปรารถนาของเนินเขาโบราณทั้งหลาย ให้พระพรทั้งหลายอยู่บนศีรษะของโยเซฟ แม้กระทั่งบนกระหม่อมของเจ้าชายแห่งพี่น้องทั้งหลายของเขา

27 เบนยามินเป็นสุนัขป่าที่หิวโหย ในตอนเช้าเขาจะกลืนกินเหยื่อ และในตอนเย็นเขาจะแบ่งสิ่งที่ปล้นมา" 28 คนเหล่านี้คือคนอิสราเอลทั้งสิบสองเผ่า นี่คือสิ่งที่บิดาของพวกเขาได้พูดกับพวกเขา เมื่อเขาได้อวยพรพวกเขา เขาได้อวยพรแต่ละคนด้วยคำอวยพรที่เหมาะสม

29 จากนั้นยาโคบได้สั่งพวกเขาและพูดกับพวกเขา "เรากำลังจะไปอยู่กับบรรพบุรุษของเรา จงฝังเรากับบรรพบุรุษทั้งหลายของเราในถ้ำที่อยู่ในทุ่งนาของเอโฟรนคนฮิตไทต์ 30 ในถ้ำที่อยู่ในทุ่งนาของมัคเปลาห์ ซึ่งอยู่ใกล้มัมเรในแผ่นดินคานาอัน ทุ่งนาที่อับราฮัมได้ซื้อเพื่อเป็นสุสานจากเอโฟรนคนฮิตไทต์ 31 ที่นั่นพวกเขาได้ฝังอับราฮัมและซาราห์ผู้เป็นภรรยาของเขา ที่นั่นพวกเขาได้ฝังอิสอัคและเรเบคาห์ผู้เป็นภรรยาของเขา และที่นั่นเราได้ฝังเลอาห์ 32 ทุ่งนาและถ้ำที่อยู่ในที่นั้นถูกซื้อจากคนฮิตไทต์" 33 เมื่อยาโคบสั่งเสียบุตรชายทั้งหลายของเขาเสร็จ เขาดึงเท้าของเขาขึ้นบนเตียง หายใจเฮือกสุดท้าย และไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา

50

1 แล้วโยเซฟก็โศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก เขาทรุดตัวซบลงบนใบหน้าของบิดาของเขา และเขาร้องไห้บนร่างของเขาและจูบเขา 2 โยเซฟสั่งคนรับใช้ของเขาซึ่งเป็นหมอให้อาบยาศพบิดาของเขา ดังนั้นพวกหมอจึงได้อาบยาศพอิสราเอล 3 พวกเขาใช้เวลาสี่สิบวัน เพราะนั่นคือเวลาการอาบยาศพ คนอียิปต์ทั้งหลายไว้ทุกข์เพื่อเขาเป็นเวลาเจ็ดสิบวัน

4 เมื่อเวลาการไว้ทุกข์ผ่านไป โยเซฟพูดกับข้าราชสำนักของฟาโรห์ กล่าวว่า "ถ้าบัดนี้ข้าพเจ้าเป็นที่ชอบในสายตาของพวกท่าน ขอได้โปรดทูลฟาโรห์ว่า 5 'บิดาของเราได้ให้เราสาบานว่า "ดูเถิดเรากำลังจะตาย จงฝังเราในอุโมงค์ที่เราขุดไว้สำหรับตัวเราเองในแผ่นดินคานาอัน พวกเจ้าจงฝังเราไว้ที่นั่น" บัดนี้ขอให้เราขึ้นไปและฝังบิดาของเรา และจากนั้นเราจะกลับมา'" 6 ฟาโรห์ตรัสตอบว่า "ไปเถิด และจงฝังบิดาของเจ้า ดังที่เขาให้เจ้าสาบานไว้"

7 โยเซฟขึ้นไปฝังบิดาของเขา ข้าราชการทั้งหมดของฟาโรห์ก็ไปกับเขาคือ ข้าราชสำนักทั้งหลายของฟาโรห์ ข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งหมดของแผ่นดินอียิปต์ 8 พร้อมด้วยครัวเรือนทั้งหมดของโยเซฟและพวกพี่น้องของเขา และครัวเรือนของบิดาของเขา ยกเว้นบุตรทั้งหลายของพวกเขา ฝูงวัวและฝูงแกะทั้งหลายของพวกเขาถูกละไว้ที่แผ่นดินเมืองโกเชน 9 ขบวนรถรบทั้งหลายและนักรบทั้งหลายก็ไปกับเขาด้วย นับเป็นคนกลุ่มใหญ่ 10 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวแห่งอาทาด บนอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาร้องคร่ำครวญมากมาย และโศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง ที่นั่นโยเซฟให้มีการร้องคร่ำครวญเพื่อบิดาของเขาเป็นเวลาเจ็ดวัน

11 เมื่อคนคานาอันที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นเห็นการคร่ำครวญที่ลานนวดข้าวแห่งอาทาด พวกเขาพูดว่า "นี่คือวาระแห่งความเสียใจอย่างยิ่งสำหรับคนอียิปต์ทั้งหลาย" นั่นคือสาเหตุที่เรียกชื่อสถานที่นั้น ซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนว่า อาเบล มิสราอิม 12 ดังนั้นบุตรชายทั้งหลายของเขาได้กระทำเพื่อยาโคบตามที่เขาได้สั่งพวกเขาไว้ 13 บุตรชายทั้งหลายของเขานำเขามายังแผ่นดินคานาอันและฝังเขาในถ้ำในทุ่งนาของมัคเปลาห์ ใกล้มัมเร อับราฮัมได้ซื้อถ้ำนั้นกับทุ่งนาเพื่อเป็นสุสาน เขาซื้อจากเอโฟรนคนฮิตไทต์ 14 หลังจากที่เขาฝังบิดาของเขาแล้ว โยเซฟก็กลับไปยังอียิปต์ เขาและพวกพี่น้องของเขา และทั้งหมดผู้ที่เดินทางร่วมไปกับเขาเพื่อฝังบิดาของเขา

15 เมื่อพวกพี่ชายของโยเซฟเห็นว่าบิดาของพวกเขาเสียชีวิตแล้ว พวกเขาพูดว่า "อะไรจะเกิดขึ้นถ้าโยเซฟยังโกรธพวกเราและต้องการแก้แค้นพวกเราอย่างเต็มที่สำหรับสิ่งที่ชั่วร้ายที่พวกเราได้กระทำไว้กับเขา?" 16 ดังนั้นพวกเขาจึงให้คนไปหาโยเซฟเพื่อกล่าวว่า "บิดาของท่านสั่งไว้ก่อนที่ท่านจะตายว่า 17 'จงบอกโยเซฟดังนี้ "ขอให้ยกโทษการละเมิดของพวกพี่ชายของเจ้าและความบาปของพวกเขาที่พวกเขาได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่อเจ้า"' บัดนี้ขอให้ยกโทษพวกคนรับใช้ของพระเจ้าของบิดาของท่าน" โยเซฟร้องไห้เมื่อคนเหล่านั้นพูดกับเขา

18 พวกพี่ชายไปและก้มหน้าต่อโยเซฟด้วย พวกเขาพูดว่า "ดูเถิด พวกเราเป็นคนรับใช้ทั้งหลายของท่าน" 19 แต่โยเซฟตอบพวกเขาว่า "อย่ากลัวเลย น้องเป็นพระเจ้าหรือ? 20 สำหรับพวกพี่ พวกพี่ได้มุ่งร้ายต่อน้อง แต่พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดี เพื่อรักษาชีวิตคนจำนวนมาก ดังที่พวกพี่ๆ เห็นทุกวันนี้ 21 บัดนี้อย่ากลัวเลย น้องจะจัดการดูแลพวกพี่ๆ และบุตรทั้งหลายของพวกพี่" เขาได้ปลอบใจพวกเขาด้วยวิธีนี้และพูดอย่างเมตตาต่อจิตใจของพวกเขา

22 โยเซฟใช้ชีวิตอยู่ในอียิปต์กับครอบครัวของบิดาของเขา เขามีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยสิบปี 23 โยเซฟเห็นบุตรทั้งหลายของเอฟราอิมถึงรุ่นที่สาม เขาเห็นบุตรทั้งหลายของมาคีร์บุตรชายของมนัสเสห์ ผู้ซึ่งถูกวางบนเข่าของโยเซฟ 24 โยเซฟพูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า "เรากำลังจะตาย แต่แน่นอนพระเจ้าจะมาเยี่ยมพวกท่านและนำพวกท่านออกไปจากแผ่นดินนี้ไปยังแผ่นดินที่พระองค์ทรงสัญญาที่จะประทานให้แก่อับราฮัม แก่อิสอัคและแก่ยาโคบ" 25 แล้วโยเซฟก็ให้คนอิสราเอลให้คำสัตย์สาบาน เขาพูดว่า "แน่นอนพระเจ้าจะมาเยี่ยมพวกท่าน ในเวลานั้นพวกท่านต้องนำกระดูกของเราไปจากที่นี่" 26 ดังนั้นโยเซฟได้เสียชีวิตเมื่ออายุ 110 ปี พวกเขาอาบยาศพเขา และเขาถูกใส่ไว้ในโลงในอียิปต์