ไทย (Thai): Unlocked Literal Bible Print

Updated ? hours ago # views See on WACS
2 SAMUEL
2 SAMUEL
1

1 หลังจากการเสด็จสวรรคตของซาอูลแล้ว ดาวิดก็ได้กลับจากการโจมตีคนอามาเลขและพักอยู่ที่ศิกลากได้สองวัน 2 ในวันที่สาม มีผู้ชายคนหนึ่งได้มาจากค่ายของซาอูล สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นและมีดินเปื้อนที่บนศีรษะของเขา เมื่อเขามาถึงดาวิด จึงหมอบลงซบหน้าถึงดิน 3 ดาวิดถามเขาว่า “เจ้ามาจากไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าหนีมาจากค่ายของคนอิสราเอล"

4 ดาวิดถามเขาว่า “ขอบอกข้าหน่อยว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” เขาตอบว่า “พวกประชาชนหนีจากการสู้รบ มีหลายคนล้มลงและมีคนตายแล้วมากมาย ซาอูลและโยนาธานราชโอรสของพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ด้วย” 5 ดาวิดจึงถามชายหนุ่มนั้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ซาอูลและโยนาธานราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์?” 6 ชายหนุ่มนั้นตอบว่า “บังเอิญข้าพเจ้ามาที่ภูเขากิลโบอา และที่นั่นซาอูลได้ทรงยืนพิงหอกของพระองค์อยู่ และรถม้าศึกและทหารม้าก็กำลังมาใกล้พระองค์

7 ซาอูลทรงเหลียวมาและทอดพระเนตรเห็นข้าพเจ้าและได้ตรัสเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทูลตอบว่า ‘ข้าพระองค์อยู่ที่นี่’ 8 พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าเป็นใครหรือ?’ ข้าพเจ้าทูลตอบพระองค์ว่า ‘ข้าพระองค์เป็นคนอามาเลข’ 9 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงมายืนเหนือเราและฆ่าเราเสีย เพราะเรากำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่เรายังมีชีวิตอยู่’

10 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยืนเหนือพระองค์และประหารพระองค์เสีย เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์จะไม่สามารถดำรงพระชนม์ชีพอยู่ได้อีกหลังจากที่พระองค์ทรงล้มลงแล้ว แล้วข้าพเจ้าได้ถอดมงกุฎบนพระเศียรของพระองค์และกำไลที่พระกรของพระองค์ และได้นำสิ่งเหล่านั้นมาให้ท่าน เจ้านายของข้าพเจ้า” 11 แล้วดาวิดจึงได้ฉีกเสื้อของเขา และคนทั้งปวงที่อยู่กับเขาก็ได้ทำเหมือนกัน 12 พวกเขาได้คร่ำครวญ ร้องไห้ และอดอาหารจนถึงเวลาเย็นเพื่อซาอูล เพื่อโยนาธานราชโอรสของพระองค์ และเพื่อประชาชนของพระยาห์เวห์ และเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพราะว่าพวกเขาได้ล้มตายด้วยดาบ

13 ดาวิดถามชายหนุ่มว่า “เจ้ามาจากไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นบุตรชายของคนต่างด้าวในดินแดนของคนอามาเลข” 14 ดาวิดถามเขาว่า “ทำไมเจ้าไม่เกรงกลัวในการฆ่ากษัตริย์ผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเจิมไว้ด้วยมือของเจ้าเอง?” 15 ดาวิดได้เรียกชายหนุ่มคนหนึ่งและกล่าวว่า “จงไปและฆ่าเขาเสีย” แล้วผู้ชายคนนั้นจึงไปและฆ่าเขา และคนอามาเลขนั้นก็ตาย

16 แล้วดาวิดกล่าวแก่ศพของคนอามาเลขว่า "โลหิตของเจ้าก็ตกบนหัวของเจ้า เพราะว่าปากของเจ้าปรักปรำตัวเจ้าและกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าได้ฆ่ากษัตริย์ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้’” 17 แล้วดาวิดก็ได้ร้องบทเพลงคร่ำครวญเกี่ยวกับซาอูลและโยนาธานราชโอรสของพระองค์ 18 เขาออกคำสั่งให้ประชาชนสอนบทเพลงแห่งคันธนูให้แก่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือยาชาร์ว่า

19 “ศักดิ์ศรีของท่าน อิสราเอลเอ๋ย ได้ถูกประหารเสียแล้วบนที่สูงของท่าน วีรบุรุษล้มลงได้อย่างไร 20 อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท อย่าประกาศเรื่องนี้ในถนนเมืองอัชเคโลน เพื่อที่พวกบุตรีคนฟีลิสเตียจะไม่ร่าเริง เพื่อที่พวกบุตรีของพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตจะไม่เฉลิมฉลองกัน 21 เทือกเขากิลโบอาเอ๋ย ขออย่ามีน้ำค้างหรือน้ำฝนบนเจ้า อย่าให้ท้องทุ่งออกรวง เพราะว่าที่นั่นโล่ของวีรบุรุษได้มีมลทินแล้ว โล่ของซาอูลไม่ได้ถูกเจิมด้วยน้ำมันอีกต่อไป

22 จากโลหิตของคนเหล่านั้นที่ได้ถูกฆ่าไปแล้ว จากร่างของเหล่านักรบ คันธนูขอโยนาธานไม่ได้หันกลับมา และดาบของซาอูลก็ไม่ได้กลับมาว่างเปล่า 23 ซาอูลและโยนาธานได้เป็นที่รักและน่ายินดีในชีวิต และในความตายของพวกเขา พวกเขาจะไม่แยกจากกัน พวกเขาก็ว่องไวกว่านกอินทรีทั้งหลาย พวกเขาก็แข็งแรงกว่าเหล่าสิงห์ 24 บุตรีของอิสราเอลเอ๋ย จงร้องไห้เพื่อซาอูล ผู้ทรงประดับพวกเจ้าอย่างโอ่อ่าด้วยผ้าสีแดงเข้ม เช่นเดียวกับเครื่องเพชรพลอย และผู้ทรงประดับอาภรณ์ทองคำบนเครื่องแต่งกายของพวกเจ้า

25 วีรบุรุษได้ล้มลงเสียแล้วในท่ามกลางศึกสงคราม โยนาธานได้ถูกสังหารอยู่บนที่สูงของท่าน 26 ข้าเป็นทุกข์เพื่อท่าน โยนาธานพี่ชายของข้าเอ๋ย ท่านเป็นที่ชื่นใจของข้ามาก ความรักของท่านที่มีต่อข้านั้นอัศจรรย์ เหนือกว่าความรักของสตรี 27 วีรบุรุษได้ล้มลงเสียแ และเครื่องยุทโธปกรณ์ก็พินาศไป”

2

1 หลังจากเหตุการณ์นี้ ดาวิดได้ทูลถามพระยาห์เวห์ และทูลว่า “ข้าพระองค์ควรขึ้นไปยังเมืองหนึ่งในจำนวนเมืองต่างๆ ของยูดาห์หรือไม่?” พระยาห์เวห์ตรัสตอบเขาว่า “จงขึ้นไปเถิด” ดาวิดทูลว่า “ข้าพระองค์ควรขึ้นไปที่ไหน?” พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ที่เมืองเฮโบรน” 2 ดาวิดจึงขึ้นไปที่นั่นพร้อมกับภรรยาทั้งสองของเขาด้วยคือ อาหิโนอัมคนยิสเรเอลและอาบีกายิลคนคารเมลภรรยาม่ายของนาบาล 3 ดาวิดได้นำคนที่อยู่กับเขาขึ้นไปทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็ได้พาครอบครัวไปด้วย ไปยังเมืองต่างๆ ของเฮโบรน สถานที่ซึ่งพวกเขาก็ได้เริ่มอาศัยอยู่

4 แล้วผู้คนจากยูดาห์ได้มาและเจิมดาวิดให้เป็นกษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์ พวกเขามาทูลดาวิดว่า “ชาวยาเบชกิเลอาดเป็นผู้ฝังพระศพซาอูล” 5 ดังนั้นดาวิดจึงได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปหาชาวยาเบชกิเลอาดนั้น ตรัสกับพวกเขาว่า “ขอพวกท่านรับพระพรจากพระยาห์เวห์ ที่ท่านแสดงความจงรักภักดีนี้ต่อซาอูลเจ้านายของพวกท่าน และได้ฝังพระศพของพระองค์ 6 บัดนี้ขอพระยาห์เวห์ทรงสำแดงความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ต่อพวกท่าน และเราจะทำความดีนี้ต่อพวกท่านเพราะสิ่งนี้ที่ท่านได้ทำ

7 บัดนี้ เพราะฉะนั้น ขอให้มือของพวกท่านเข้มแข็ง และขอให้พวกท่านกล้าหาญเถิด เพราะว่าซาอูลเจ้านายของพวกท่านเสด็จสวรรคตแล้ว และพงศ์พันธุ์ยูดาห์ได้เจิมตั้งเราไว้เป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา” 8 แต่อับเนอร์บุตรชายของเนอร์แม่ทัพของกองทัพซาอูลได้พาอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลข้ามไปที่เมืองมาหะนาอิม 9 และได้สถาปนาอิชโบเชทให้เป็นกษัตริย์เหนือเมืองกิเลอาด คนอาชูร์ คนยิสเรเอล คนเอฟราอิม คนเบนยามิน และคนอิสราเอลทั้งหมด

10 เมื่ออิชโบเชทราชโอรสของซาอูลได้ทรงเริ่มครองราชย์เหนืออิสราเอลนั้น ทรงมีพระชนมายุได้สี่สิบพรรษา และทรงครองราชย์อยู่สองปี แต่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ได้ติดตามดาวิด 11 เวลาที่ดาวิดทรงเป็นกษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์ในเฮโบรนนั้นเป็นเวลาเจ็ดปีกับหกเดือน 12 อับเนอร์บุตรเนอร์และทหารของอิชโบเชทราชโอรสของซาอูล ได้ออกจากมาหะนาอิมไปยังเมืองกิเบโอน

13 โยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์และทหารของดาวิด ได้ออกไปพบกับพวกเขาที่สระเมืองกิเบโอน พวกเขาได้นั่งที่ขอบสระ พวกหนึ่งอยู่ฝั่งหนึ่งของสระและอีกพวกหนึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง 14 อับเนอร์จึงพูดกับโยอาบว่า “ขอให้พวกคนหนุ่มลุกขึ้นและแข่งขันกันต่อหน้าพวกเราสิ” แล้วโยอาบจึงตอบว่า “ให้พวกเขาลุกขึ้น” 15 แล้วพวกคนหนุ่มจึงลุกขึ้นและรวมตัวกัน สิบสองคนสำหรับฝ่ายเบนยามิน และฝ่ายอิชโบเชทราชโอรสของซาอูล และฝ่ายพวกมหาดเล็กของดาวิดจำนวนสิบสองคน

16 ต่างก็ได้จับศีรษะของคู่ต่อสู้ และแทงดาบเข้าที่สีข้างของคู่ต่อสู้ และพวกเขาต่างก็ล้มลงด้วยกัน ดังนั้นเขาจึงเรียกที่นั่นเป็นภาษาฮีบรูว่า "เฮลขัทฮัสซูริม" หรือ "สนามแห่งดาบ" ซึ่งอยู่ในกิเบโอน 17 การสู้รบในวันนั้นดุเดือดยิ่งนัก และอับเนอร์และพวกคนอิสราเอลก็แพ้พรรคพวกของดาวิด 18 บุตรชายทั้งสามของนางเศรุยาห์ก็ได้อยู่ที่นั่นคือ โยอาบ และอาบีชัย และอาสาเฮล อาสาเฮลนั้นมีฝีเท้าเร็วเหมือนกับละมั่งป่า

19 อาสาเฮลจึงไล่ตามอับเนอร์ไป และติดตามเขาไปโดยไม่ได้เลี้ยวไปทางไหน 20 อับเนอร์ได้เหลียวหลังมาและพูดว่า “นั่นอาสาเฮลหรือ?” เขาตอบว่า “ข้าเอง” 21 อับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงเลี้ยวไปทางขวาของเจ้าหรือทางซ้ายของเจ้า และจับเอาคนหนุ่มคนหนึ่ง แล้วก็ริบเอาเครื่องอาวุธของเขาไป” แต่อาสาเฮลไม่ยอมละจากการไล่ตาม

22 ดังนั้นอับเนอร์จึงได้บอกอาสาเฮลอีกครั้งหนึ่งว่า “จงหยุดตามข้า จะให้ข้าฟาดเจ้าล้มลงดินทำไมเล่า? แล้วข้าจะเงยหน้าดูโยอาบพี่ของเจ้าได้อย่างไร?” 23 แต่อาสาเฮลได้ปฏิเสธที่จะหันกลับ และดังนั้น อับเนอร์จึงได้แทงที่ร่างของเขาด้วยด้ามหอกของเขา ดังนั้นหอกก็ทะลุออกอีกด้านหนึ่ง อาสาเฮลได้ล้มลงตายอยู่ที่นั่น ดังนั้นต่อมา ใครก็ตามที่มาถึงสถานที่แห่งนั้นที่อาสาเฮลล้มลงและตาย เขาจะหยุดที่นั่นและยืนนิ่ง 24 แต่โยอาบกับอาบีชัยได้ไล่ตามอับเนอร์ไป เมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะตกเขาทั้งสองได้มาถึงเนินเขาอัมมาห์ ซึ่งอยู่ใกล้กียาห์ตามทางไปถิ่นทุรกันดารเมืองกิเบโอน

25 คนเบนยามินได้รวมตัวกันหลังอับเนอร์และยืนอยู่บนยอดของเนินเขา 26 แล้วอับเนอร์ร้องถามโยอาบ และกล่าวว่า “จะให้ดาบทำลายท่านเรื่อยไปหรือ? ท่านไม่ทราบหรือที่สุดจะกลายเป็นความขมขื่น? อีกนานสักเท่าใดท่านจึงจะสั่งพวกทหารของท่านให้หันกลับจากการไล่ตามพี่น้องของพวกเขา?” 27 โยอาบจึงตอบว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าท่านไม่พูดขึ้น พวกทหารก็จะไล่ตามพวกพี่น้องของเขาจนกระทั่งถึงพรุ่งนี้เช้า”

28 ดังนั้น โยอาบจึงเป่าแตร และพวกทหารทั้งปวงก็หยุดและไม่ได้ไล่ตามอิสราเอล และไม่ได้สู้รบกันอีกต่อไป 29 อับเนอร์และพวกของเขาได้เดินทางตลอดคืนนั้นในอาราบาห์ พวกเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดน ได้เดินทัพตลอดช่วงเช้า และได้มาถึงมาหะนาอิม 30 โยอาบได้กลับมาจากการไล่ตามอับเนอร์ เขารวบรวมทหารทั้งหมดของเขา ที่ขาดหายไปคืออาสาเฮล และทหารของดาวิดสิบเก้าคน

31 แต่คนของดาวิดได้ฆ่าคนเบนยามินและคนของอับเนอร์ตายไป 360 คน 32 แล้วพวกเขาได้ยกศพอาสาเฮลและไปฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพของบิดาของเขา ซึ่งอยู่ที่เมืองเบธเลเฮม โยอาบและพวกคนของเขาได้เดินทางตลอดคืนและในตอนเช้ามืดจึงมาถึงเมืองเฮโบรน

3

1 บัดนี้ ได้มีสงครามอันยาวนานระหว่างฝ่ายของซาอูลกับฝ่ายของดาวิด ฝ่ายดาวิดเข้มแข็งยิ่งขึ้นและมากยิ่งขึ้น แต่ฝ่ายของซาอูลได้อ่อนกำลังลงทุกที 2 มีพระราชโอรสหลายองค์ของดาวิดได้ประสูติที่เมืองเฮโบรน พระราชโอรสหัวปีของพระองค์คืออัมโนน โอรสพระนางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอล 3 พระราชโอรสองค์ที่สองของพระองค์คือคิเลอาบ โอรสพระนางอาบีกายิลภรรยาม่ายของนาบาลชาวคารเมล และองค์ที่สามคืออับซาโลม โอรสพระนางมาอาคาห์พระราชธิดาของทัลมัยกษัตริย์เมืองเกชูร์

4 พระราชโอรสองค์ที่สี่ของดาวิดคืออาโดนียาห์ โอรสพระนางฮักกีท พระราชโอรสองค์ที่ห้าของพระองค์คือเชฟาทิยาห์ โอรสพระนางอาบีทัล 5 และพระราชโอรสองค์ที่หกคืออิทเรอัม โอรสพระนางเอกลาห์พระมเหสีของดาวิด พระราชโอรสเหล่านี้ของดาวิดได้ประสูติที่เมืองเฮโบรน 6 สิ่งนี้เกิดขึ้นในช่วงสงครามระหว่างฝ่ายของซาอูลกับฝ่ายของดาวิด ที่อับเนอร์ได้ทำตัวให้เข้มแข็งขึ้นในฝ่ายของซาอูล

7 ซาอูลนั้นมีนางสนมคนหนึ่งชื่อริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ อิชโบเชทจึงตรัสกับอับเนอร์ว่า “ทำไมท่านจึงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของเรา?” 8 อับเนอร์ก็โกรธมากในถ้อยคำของอิชโบเชท และทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นหัวสุนัขของยูดาห์หรือ? ทุกวันนี้ข้าพระองค์สำแดงความจงรักภักดีต่อพงศ์พันธุ์ของซาอูลเสด็จพ่อของพระองค์ และต่อพี่น้อง และต่อมิตรสหายของเสด็จพ่อของพระองค์ ไม่ได้มอบพระองค์ไว้ในมือของดาวิด แต่บัดนี้พระองค์ยังทรงกล่าวหาข้าพระองค์ด้วยเรื่องผู้หญิงคนนี้หรือ? 9 ขอพระเจ้าทรงลงโทษข้าพระองค์ คืออับเนอร์และขอทรงเพิ่มโทษนั้นด้วย ถ้าข้าพระองค์จะไม่ทำเพื่อดาวิดดังที่พระยาห์เวห์ได้ทรงปฏิญาณไว้ต่อเขาแล้ว

10 คือย้ายราชอาณาจักรจากพงศ์พันธุ์ของซาอูล และสถาปนาบัลลังก์ของดาวิดเหนืออิสราเอลและเหนือยูดาห์ ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา” 11 อิชโบเชทไม่ทรงสามารถตอบกลับอับเนอร์แม้แต่คำเดียว เพราะพระองค์ทรงเกรงกลัวเขา 12 แล้วอับเนอร์ได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปยังดาวิดเพื่อพูดแทนตัวเขาเองว่า “แผ่นดินนี้เป็นของใคร? ขอทรงทำพันธสัญญากับข้าพระองค์ และ พระองค์จะทรงเห็นว่า มือของข้าพระองค์อยู่ฝ่ายพระองค์เพื่อจะนำอิสราเอลทั้งสิ้นมาอยู่ฝ่ายพระองค์”

13 ดาวิดตรัสตอบว่า “ดีแล้ว เราจะทำพันธสัญญากับเจ้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราจะให้เจ้าทำคือว่า เจ้าไม่อาจมาพบหน้าเราได้ เว้นแต่ว่าเจ้าจะนำมีคาลราชธิดาของซาอูลมาด้วยเมื่อเจ้ามาพบเรา” 14 แล้วดาวิดได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปยังอิชโบเชทราชโอรสของซาอูล กล่าวว่า “จงมอบมีคาลภรรยาของข้าพเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้หมั้นไว้ด้วยหนังปลายองคชาตของพวกฟีลิสเตียหนึ่งร้อยชิ้น” 15 ดังนั้น อิชโบเชทจึงส่งคนไปพามีคาลมาจากสามีของเธอ คือปัลทีเอลบุตรชายของลาอิช

16 สามีของเธอได้ไปกับเธอ ร้องไห้ตามเธอไปจนถึงบาฮูริม แล้วอับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงกลับไปบ้านเดี๋ยวนี้เลย” แล้วเขาก็กลับไป 17 อับเนอร์จึงกล่าวกับพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลว่า “ในอดีตพวกท่านได้พยายามให้ดาวิดเป็นกษัตริย์เหนือพวกท่าน 18 บัดนี้จงทำดังนั้น เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับดาวิด ทรงกล่าวว่า ‘ด้วยมือของดาวิดผู้รับใช้ของเรา เราจะช่วยกู้อิสราเอลประชากรของเราจากมือของพวกฟีลิสเตีย และจากมือศัตรูทั้งสิ้นของพวกเขา’”

19 อับเนอร์ได้พูดเป็นส่วนตัวกับคนเบนยามินด้วย แล้วอับเนอร์ได้ไปทูลดาวิดที่เมืองเฮโบรนด้วยเช่นกัน เพื่ออธิบายถึงทุกสิ่งที่อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของเบนยามินได้ปรารถนาที่จะทำให้สำเร็จ 20 เมื่ออับเนอร์พร้อมกันคนของเขาจำนวนยี่สิบคนได้มาถึงเฮโบรนเพื่อเข้าเฝ้าดาวิด ดาวิดได้ทรงจัดเตรียมงานเลี้ยงสำหรับพวกเขา 21 อับเนอร์ได้ทูลดาวิดว่า “ข้าพระองค์จะลุกขึ้นและจะรวบรวมคนอิสราเอลทั้งสิ้นมายังพระองค์ กษัตริย์ผู้เป็นเจ้านายของข้าพระองค์ ดังนั้น เพื่อที่พวกเขาจะทำพันธสัญญากับพระองค์ และเพื่อที่พระองค์จะทรงครอบครองทุกอย่างตามชอบพระทัยของพระองค์” ดังนั้นดาวิดได้ทรงส่งอับเนอร์กลับไป และอับเนอร์ได้จากไปโดยสันติ

22 แล้วเหล่าทหารของดาวิดและโยอาบได้กลับมาจากการไปปล้น และนำสิ่งของที่ยึดได้มากมายมาด้วยกับพวกเขา แต่อับเนอร์ไม่ได้อยู่กับดาวิดที่เฮโบรนแล้ว ดาวิดได้ทรงส่งเขากลับไปแล้ว และเขาก็จากไปโดยสันติ 23 เมื่อโยอาบกับกองทัพทั้งสิ้นที่อยู่กับเขาได้มาถึง พวกเขาบอกโยอาบว่า “อับเนอร์บุตรชายของเนอร์ได้มาเฝ้ากษัตริย์ และพระองค์ทรงส่งเขากลับไป และอับเนอร์ได้กลับไปโดยสันติ” 24 แล้วโยอาบได้เข้าไปเฝ้ากษัตริย์และทูลว่า “พระองค์ทรงทำอะไรไปแล้ว? ดูเถิด อับเนอร์ได้มาเข้าเฝ้าพระองค์! ทำไมพระองค์จึงส่งเขาไปอย่างนี้ และเขาก็จากไปแล้ว?

25 พระองค์ไม่ทรงทราบหรือว่าอับเนอร์บุตรชายของเนอร์มาเพื่อล่อลวงพระองค์ และเพื่อทราบถึงแผนการณ์ของพระองค์ และเพื่อทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์กำลังทรงกระทำ?” 26 เมื่อโยอาบเข้าเฝ้าดาวิดเสร็จแล้ว เขาส่งพวกผู้สื่อสารตามอับเนอร์ไป และพวกเขาได้นำอับเนอร์กลับมาจากบ่อน้ำแห่งสีราห์ แต่ดาวิดไม่ได้ทรงทราบเรื่องนี้ 27 เมื่ออับเนอร์ได้กลับมาถึงเฮโบรนแล้ว โยอาบนำเขาหลบเข้าไปที่กลางประตูเมืองเพื่อจะพูดกับเขาตามลำพัง ที่นั่นเองโยอาบได้แทงท้องของเขาและฆ่าเขาตาย โยอาบได้แก้แค้นโลหิตของอาสาเฮลน้องชายของเขา

28 เมื่อดาวิดได้ทรงทราบถึงเรื่องนี้ พระองค์ตรัสว่า “ตัวเราและราชอาณาจักรของเรา ปราศจากความผิดสืบไปเป็นนิตย์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ด้วยเรื่องโลหิตของอับเนอร์บุตรชายของเนอร์ 29 ขอให้ความผิดของการตายของอับเนอร์ตกเหนือศีรษะของโยอาบ และเหนือพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของบิดาเขา ขออย่าให้คนที่มีแผลเยิ้มหรือโรคผิวหนัง หรือคนที่พิการและต้องเดินโดยใช้ไม้เท้า หรือถูกฆ่าด้วยดาบ หรือคนที่ขาดแคลนอาหาร ขาดไปจากวงศ์วานของโยอาบ" 30 ดังนั้นโยอาบและอาบีชัยน้องชายของเขาได้ฆ่าอับเนอร์ เพราะอับเนอร์ได้ฆ่าอาสาเฮลน้องชายของพวกเขาในการรบที่กิเบโอน

31 ดาวิดจึงตรัสกับโยอาบ และประชาชนทุกคนที่อยู่กับพระองค์ว่า “จงฉีกเสื้อผ้าของพวกท่าน และเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้และจงไว้ทุกข์ต่อหน้าร่างของอับเนอร์” บัดนี้กษัตริย์ดาวิดได้เสด็จตามขบวนศพไป 32 พวกเขาจึงฝังศพอับเนอร์ไว้ที่เฮโบรน กษัตริย์ทรงกันแสงและทรงร้องเสียงดังที่อุโมงค์ฝังศพของอับเนอร์ และประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้เช่นเดียวกัน 33 กษัตริย์ทรงคร่ำครวญถึงอับเนอร์และร้องเพลงว่า “ควรหรือที่อับเนอร์จะตายอย่างคนเขลา?

34 มือของเจ้าก็ไม่ได้ถูกมัด เท้าของเจ้าก็ไม่ได้ติดโซ่ตรวน เหมือนอย่างคนล้มลงต่อหน้าเหล่าบุตรชายของความไม่ยุติธรรม ดังนั้นเจ้าก็ได้ล้มลง" อีกครั้งหนึ่งที่ประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้ถึงเขา 35 แล้วประชาชนทั้งปวงได้มาทูลดาวิดให้เสวยอาหารเมื่อเวลายังวันอยู่ แต่ดาวิดทรงปฏิญาณว่า “ขอพระเจ้าทรงลงโทษเราและทรงเพิ่มโทษนั้นด้วย ถ้าเราได้ลิ้มรสขนมปังหรือสิ่งอื่นใดก่อนดวงอาทิตย์ตก” 36 ประชาชนทั้งปวงสังเกตเห็นการโศกเศร้าของดาวิดเช่นนั้นก็พอใจ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่กษัตริย์ได้ทรงกระทำก็สร้างความพอใจให้พวกเขา

37 ดังนั้นประชาชนทั้งสิ้นและอิสราเอลทั้งปวงจึงเข้าใจในวันนั้นว่า กษัตริย์ไม่ได้ทรงมีความปรารถนาในการฆ่าอับเนอร์บุตรชายของเนอร์ 38 กษัตริย์ตรัสกับพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “พวกท่านไม่ทราบหรือว่า วันนี้เจ้าชายและคนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งได้ล้มลงในอิสราเอล? 39 บัดนี้ เราก็อ่อนกำลังในวันนี้ ถึงแม้ว่าเราได้รับการเจิมเป็นกษัตริย์แล้ว ผู้ชายเหล่านี้ซึ่งเป็นบุตรชายของนางเศรุยาห์ก็แข็งกร้าวเกินไปสำหรับเรา ขอพระยาห์เวห์ทรงตอบสนองผู้ทำชั่วโดยการลงโทษเขาตามความชั่ว ที่เขาสมควรได้รับเถิด”

4

1 เมื่ออิชโบเชทโอรสของซาอูลทรงทราบว่าอับเนอร์ได้สิ้นชีวิตที่เฮโบรนแล้ว พระหัตถ์ของพระองค์ได้อ่อนลง และอิสราเอลทั้งปวงก็ท้อใจ 2 บัดนี้โอรสของซาอูลได้มีผู้ชายสองคนเป็นหัวหน้าหน่วยทหาร ชื่อของเขาคือบาอานาห์ และอีกคนหนึ่งชื่อเรคาบ ทั้งสองคนเป็นบุตรชายของริมโมน ชาวเมืองเบเอโรท คนเผ่าเบนยามิน (เพราะว่าเบเอโรทถูกนับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าเบนยามินด้วย 3 และชาวเบเอโรทได้หนีไปยังกิททาอิม และได้อาศัยอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้)

4 บัดนี้ โยนาธานราชโอรสของซาอูล มีบุตรชายคนหนึ่งที่เท้าของเขาเป็นง่อย เมื่อเด็กคนนี้มีอายุห้าขวบ มีข่าวเรื่องซาอูลกับโยนาธานมาจากยิสเรเอล พี่เลี้ยงจึงอุ้มเขาลุกขึ้นหนี แต่เมื่อเธอกำลังรีบหนีไปนั้น บุตรชายของโยนาธานได้ตกลงมา และกลายเป็นง่อย เขาชื่อเมฟีโบเชท 5 ดังนั้นบุตรชายทั้งสองของริมโมนชาวเบเอโรท ที่ชื่อเรคาบและบาอานาห์นั้นได้เดินทางในช่วงที่ร้อนของกลางวัน ไปถึงวังของอิชโบเชท ขณะที่พระองค์กำลังทรงพักในตอนเที่ยง 6 ผู้หญิงที่เฝ้ายามที่ประตูได้หลับขณะฝัดร่อนข้าวสาลี และ เรคาบและบาอานาห์จึงเดินย่องเข้าไปอย่างเงียบๆ และผ่านเธอเข้าไปได้

7 ดังนั้น หลังจากที่พวกเขาทั้งสองได้เข้าไปในวังนั้น พวกเขาได้จู่โจมพระองค์และฆ่าพระองค์ในขณะที่พระองค์กำลังทรงบรรทมหลับอยู่บนพระแท่นในห้องบรรทมของพระองค์ แล้วพวกเขาตัดพระเศียรของพระองค์และนำพระเศียรนั้นไป พวกเขาได้เดินทางไปตามถนนตลอดคืนจนถึงอาราบาห์ 8 พวกเขานำพระเศียรของอิชโบเชทไปถวายดาวิดที่เมืองเฮโบรน และพวกเขาทูลกษัตริย์ว่า “ขอทรงทอดพระเนตรเถิด นี่คือพระเศียรของอิชโบเชทโอรสของซาอูลศัตรูของพระองค์ ผู้ที่ต้องการพระชนม์ชีพของพระองค์ ในวันนี้พระยาห์เวห์ทรงแก้แค้นแทนกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ต่อซาอูลและพงศ์พันธุ์ของซาอูล” 9 ดาวิดตรัสตอบเรคาบและบาอานาห์พี่ชายของเขาบุตรชายของริมโมนชาวเบเอโรท พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผู้ทรงช่วยกู้ชีวิตของเราจากความทุกข์ยากทั้งมวลฉันนั้น

10 เมื่อมีผู้ได้บอกเราว่า ‘ดูเถิด ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว’ และคิดว่าเขาเป็นผู้นำข่าวดีมา เราได้จับเขาและฆ่าเสียที่ศิกลาก นั่นเป็นรางวัลที่เราให้แก่เขาสำหรับข่าวของเขานั้น 11 ยิ่งกว่านั้นเท่าใด เมื่อเหล่าคนชั่วได้ฆ่าคนชอบธรรมที่ในบ้านและบนที่นอนของเขานั้น ควรที่เราจะไม่เรียกเอาโลหิตของเขาจากมือของพวกเจ้า และขจัดพวกเจ้าเสียจากแผ่นดินหรือ?” 12 แล้วดาวิดได้ทรงบัญชาพวกคนหนุ่ม และพวกเขาฆ่าพวกเขาทั้งสอง และตัดมือและตัดเท้าของพวกเขาออก และแขวนศพพวกเขาไว้ที่ข้างสระน้ำที่เมืองเฮโบรน แต่พวกเขานำพระเศียรของอิชโบเชทไปฝังไว้ในที่ฝังศพของอับเนอร์ในเมืองเฮโบรน

5

1 แล้วอิสราเอลทุกเผ่าได้มาหาดาวิดที่เมืองเฮโบรน และทูลว่า “ดูเถิด พวกข้าพระองค์เป็นกระดูกและเนื้อของพระองค์ 2 ในอดีตเมื่อไม่นานมานี้เมื่อซาอูลทรงเป็นกษัตริย์เหนือเหล่าข้าพระองค์ คือเป็นพระองค์นั่นแหละที่ทรงเป็นผู้นำกองทัพของอิสราเอล พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่พระองค์ว่า ‘เจ้าจะนำประชาชนอิสราเอลของเราอย่างดูแลแกะ และเจ้าจะเป็นผู้ปกครองเหนืออิสราเอล’” 3 ดังนั้นพวกผู้อาวุโสทั้งหมดของอิสราเอลจึงมาเฝ้ากษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน และกษัตริย์ดาวิดทรงทำพันธสัญญากับพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ พวกเขาจึงได้เจิมดาวิดให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล

4 ดาวิดทรงมีพระชนมายุได้สามสิบพรรษาเมื่อทรงเริ่มครองราชย์ และพระองค์ได้ทรงครองราชย์อยู่สี่สิบปี 5 ทรงครองราชย์เหนือยูดาห์ที่เมืองเฮโบรนเป็นเวลาเจ็ดปีหกเดือน และที่กรุงเยรูซาเล็มพระองค์ได้ทรงครองราชย์สามสิบสามปีเหนืออิสราเอลและยูดาห์ทั้งหมด 6 กษัตริย์และพวกคนของพระองค์ไปกรุงเยรูซาเล็ม ต่อสู้กับคนเยบุสพวกที่อาศัยในแผ่นดินนั้น พวกเขาได้กล่าวกับดาวิดว่า “เจ้าจะไม่เข้ามาที่นี่ เว้นแต่ว่าคนตาบอดและคนง่อยจะหันหลังให้ ดาวิดไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้”

7 อย่างไรก็ตาม ดาวิดทรงยึดที่กำบังเข้มแข็งของศิโยนได้ ซึ่งบัดนี้ก็คือนครของดาวิด 8 ในวันนั้นดาวิดตรัสว่า “ใครจะโจมตีคนเยบุส ก็ให้ผู้นั้นไปตามรางน้ำ ไปสู้ 'คนง่อยและคนตาบอด' ผู้เป็นพวกศัตรูของดาวิด” นั่นคือที่พวกเขาพูดว่า “อย่าให้ 'คนตาบอดและคนง่อย' เข้ามาในพระราชวัง” 9 ดังนั้น ดาวิดประทับอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง และเรียกที่นั้นว่านครของดาวิด พระองค์ทรงเสริมสร้างรอบเมืองจากด้านหน้าไปจนถึงข้างใน

10 ดาวิดทรงมีพลังเข้มแข็งมากขึ้น เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งจอมทัพได้สถิตกับพระองค์ 11 แล้วฮีรามกษัตริย์เมืองไทระทรงส่งพวกผู้สื่อสารมาหาดาวิด และทรงส่งไม้สนสีดาร์ พวกช่างไม้ และพวกช่างก่อสร้าง พวกเขามาสร้างวังสำหรับดาวิด 12 ดาวิดทรงทราบว่า พระยาห์เวห์ทรงสถาปนาพระองค์ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และพระองค์ทรงยกย่องราชอาณาจักรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์

13 ภายหลังที่พระองค์เสด็จจากเฮโบรนและเสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม ดาวิดทรงมีเหล่านางสนมและพวกมเหสีในเยรูซาเล็มเพิ่มขึ้นอีก และมีราชโอรสและราชธิดาประสูติใหเกับพระองค์อีก 14 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อราชโอรสของพระองค์ที่ประสูติในเยรูซาเล็มคือ ชัมมุอา โชบับ นาธัน ซาโลมอน 15 อิบฮาร์ เอลีชูอา เนเฟก ยาเฟีย

16 เอลีชามา เอลียาดา และเอลีเฟเลท 17 บัดนี้ เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าดาวิดทรงรับการเจิมเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล พวกเขาทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด แต่ดาวิดทรงทราบเรื่องนี้และลงไปยังที่กำบังเข้มแข็ง 18 บัดนี้ คนฟีลิสเตียได้มาและขยายแนวออกที่หุบเขาเรฟาอิม

19 แล้วดาวิดทูลขอการทรงช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทูลว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะยกขึ้นไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียหรือไม่? พระองค์จะทรงมอบชัยชนะเหนือพวกเขาหรือไม่?” พระยาห์เวห์ตรัสกับดาวิดว่า "จงออกไปสู้รบ เพราะแน่นอนเราจะมอบชัยชนะให้แก่เจ้าเหนือพวกฟีลิสเตีย" 20 ดังนั้น ดาวิดจึงทรงโจมตีที่ บาอัลเป-ราซิม และที่นั่นเองพระองค์ทรงชนะพวกเขา พระองค์ได้ตรัสว่า “พระยาห์เวห์ทรงทะลวงเหล่าข้าศึกของข้าพระองค์ต่อหน้าข้าพระองค์ดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่” ดังนั้น ชื่อของสถานที่นั้นจึงได้เปลี่ยนเป็น บาอัลเป-ราซิม 21 คนฟีลิสเตียได้ทิ้งรูปเคารพที่นั่น และดาวิดกับคนของพระองค์ก็ขนเอาไปเสีย

22 แล้วคนฟีลิสเตียได้ยกขึ้นมาอีก และขยายแนวอีกครั้งในหุบเขาเรฟาอิม 23 ดังนั้นดาวิดทรงเสาะแสวงหาการทรงช่วยจากพระยาห์เวห์ อีกครั้ง และพระยาห์เวห์ตรัสกับพระองค์ว่า “เจ้าอย่าขึ้นไปโจมตีด้านหน้าของพวกเขา แต่จงอ้อมไปข้างหลังของพวกเขา และเข้าถึงพวกเขาตรงหน้าหมู่ต้นยาง 24 เมื่อเจ้าได้ยินเสียงขบวนทัพในสายลมพัดผ่านยอดของต้นยาง แล้วจงรุกเข้าไปด้วยกองกำลัง จงกระทำอย่างนี้เพราะพระยาห์เวห์จะเสด็จไปข้างหน้าเจ้า เพื่อโจมตีกองทัพของคนฟีลิสเตีย” 25 ดังนั้นดาวิดได้ทรงทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้ พระองค์ทรงสังหารคนฟีลิสเตียจากเกบาตลอดทางมาจนถึงถึงเกเซอร์

6

1 บัดนี้ ดาวิดทรงรวบรวมคนอิสราเอลที่เลือกสรรแล้วทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง ได้สามหมื่นคน 2 ดาวิดจึงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้นของพระองค์ที่อยู่กับพระองค์ที่ได้มาจากบาอาลาห์ในยูดาห์ เพื่อนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่น ซึ่งได้เรียกตามพระนาม คือพระนามของพระยาห์เวห์จอมทัพ ผู้ประทับเหนือพวกเครูบ 3 พวกเขาเอาเกวียนเล่มใหม่บรรทุกหีบของพระเจ้า พวกเขาได้นำออกมาจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา อุสซาห์และอาหิโยพวกบุตรชายของเขาจึงขับเกวียนเล่มใหม่นั้น

4 พวกเขานำเกวียนที่ได้บรรทุกหีบของพระเจ้าออกจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา อาหิโยได้เดินข้างหน้าหีบนั้น 5 แล้วดาวิดและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลได้เริ่มสนุกสนานกันเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เฉลิมฉลองกันด้วยเครื่องดนตรีไม้ ด้วยพิณ ด้วยพิณใหญ่ ด้วยรำมะนา ด้วยกรับ และด้วยฉาบ 6 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวของนาโคน เหล่าโคนั้นก็สะดุด และอุสซาห์จึงเหยียดมือของเขาออกไปจับหีบของพระเจ้าไว้ และเขาได้คว้าทั้งหีบไว้

7 แล้วพระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงพลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ พระเจ้าได้ทรงประหารเขาที่นั่นเพราะความผิดของเขา อุสซาห์ได้ตายที่ข้างหีบของพระเจ้า 8 ดาวิดจึงกริ้วเพราะพระยาห์เวห์ทรงประหารอุสซาห์ และพระองค์ทรงเรียกที่ตรงนั้นว่า เปเรศอุสซาห์ สถานที่นั้นได้ชื่อว่าเปเรศอุสซาห์มาจนถึงทุกวันนี้ 9 ในวันนั้นดาวิดทรงกลัวพระยาห์เวห์ พระองค์ตรัสว่า “หีบของพระยาห์เวห์จะมาถึงข้าพระองค์ได้อย่างไรกัน?”

10 ดังนั้นดาวิดจึงไม่ทรงยอมนำหีบของพระยาห์เวห์เข้าไปกับพระองค์ในนครของดาวิด แต่พระองค์ทรงให้เลี้ยวไปที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัทแทน 11 หีบของพระยาห์เวห์อยู่ที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัทเป็นเวลาสามเดือน ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงอวยพรเขาและครอบครัวของเขาทุกคน 12 มีคนไปทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระยาห์เวห์ทรงอวยพรครอบครัวของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า” ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จขึ้นไปนำหีบของพระเจ้าจากบ้านของโอเบดเอโดมถึงนครของดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี

13 เมื่อพวกเขาเหล่านั้นที่กำลังหามหีบของพระยาห์เวห์เดินไปได้หกก้าว พระองค์ทรงถวายโคตัวหนึ่งกับลูกโคอ้วนตัวหนึ่ง 14 ดาวิดทรงเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ด้วยสุดกำลังของพระองค์ พระองค์ทรงสวมเพียงเสื้อเอโฟดผ้าป่านเท่านั้น 15 ดังนั้นดาวิดและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอล ได้นำหีบของพระยาห์เวห์ขึ้นมา ด้วยเสียงโห่ร้องและด้วยเสียงแตรทั้งหลาย

16 บัดนี้ ขณะที่หีบของพระยาห์เวห์เข้ามาถึงนครของดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลได้มองออกไปที่หน้าต่าง นางทรงเห็นกษัตริย์ดาวิดทรงกำลังกระโดดและทรงกำลังเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ แล้วนางดูหมิ่นดาวิดในใจ 17 พวกเขานำหีบของพระยาห์เวห์เข้ามาตั้งไว้ในที่กำหนด ตรงกลางเต็นท์ซึ่งดาวิดทรงกำหนดไว้ แล้วดาวิดทรงถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 18 เมื่อดาวิดทรงเสร็จสิ้นการถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาแล้ว พระองค์ก็ทรงอวยพรประชาชนในพระนามของพระยาห์เวห์จอมทัพ

19 แล้วพระองค์ทรงแจกขนมปังให้แก่ประชาชนทุกคน คือประชาชนอิสราเอลทั้งปวงทั้งผู้ชายและผู้หญิง ได้แก่ขนมปังคนละก้อน เนื้อหนึ่งส่วน และขนมปังลูกเกดคนละก้อน แล้วประชาชนทั้งปวงต่างก็กลับไปยังบ้านของตน 20 แล้วดาวิดทรงกลับไปอวยพรแก่ราชตระกูลของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลออกมาพบดาวิดและทูลว่า “วันนี้กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้เกียรติยศนักหนาทีเดียวเลย ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ต่อหน้าพวกสาวใช้ของเหล่าข้าราชการของพระองค์ อย่างกับไพร่คนหนึ่งแก้ผ้าไร้ยางอาย!” 21 ดาวิดทรงกล่าวตอบมีคาลว่า “เรากระทำสิ่งนั้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ผู้ได้ทรงเลือกเราไว้เหนือเสด็จพ่อของเจ้า และเหนือราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ ผู้ได้ทรงแต่งตั้งให้เราเป็นผู้นำเหนือประชาชนของพระยาห์เวห์ เหนืออิสราเอล เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เราจึงจะเปรมปรีดิ์!

22 เราจะยอมถูกดูหมิ่นยิ่งกว่านี้ และเราจะเป็นคนต่ำต้อยในสายตาเรา แต่พวกสาวใช้ที่เจ้าได้พูดถึงนั้น สำหรับพวกเขา เราจะเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติ” 23 ดังนั้นมีคาลราชธิดาของซาอูลจึงไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพของนาง

7

1 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น หลังจากที่กษัตริย์ประทับในวังของพระองค์ และหลังจากที่พระยาห์เวห์ทรงให้พระองค์พักสงบจากเหล่าศัตรูรอบด้านของพระองค์ 2 กษัตริย์ได้ตรัสกับนาธันผู้เผยพระวจนะว่า “จงดูเถิด เราอยู่ในวังที่ทำด้วยไม้สนซีดาร์ แต่หีบของพระเจ้าทรงอยู่ในเต็นท์” 3 แล้วนาธันทูลกษัตริย์ว่า “ขอทรงทำทุกสิ่งตามพระทัยของพระองค์เพราะพระยาห์เวห์ทรงสถิตกับพระองค์”

4 แต่ในคืนเดียวกันนั้น พระดำรัสของพระยาห์เวห์ได้มาถึงนาธันว่า 5 “จงไปและบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า 'พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะสร้างนิเวศน์ให้เราอยู่หรือ? 6 เพราะเราไม่เคยอยู่ในนิเวศน์นับแต่วันที่เรานำพงศ์พันธุ์อิสราเอลขึ้นมาจากอียิปต์จนถึงวันนี้ แต่เราเองก็ไปกับเต็นท์และกับพลับพลา

7 ในที่ต่างๆ ที่เราไปกับประชาชนอิสราเอลทั้งหมด เราเคยพูดสักคำกับผู้นำคนไหนของคนอิสราเอล ผู้ที่เราแต่งตั้งให้เขาเลี้ยงดูอิสราเอลประชาชนของเราไหมว่า "ทำไมพวกเจ้าไม่สร้างนิเวศน์ไม้สนซีดาร์ให้เรา?'"" 8 ฉะนั้น บัดนี้ จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า "นี่คือที่พระยาห์เวห์จอมทัพได้ตรัสดังนี้ว่า 'เราได้นำเจ้ามาจากทุ่งหญ้า จากการตามฝูงแกะ เพื่อให้เจ้าเป็นผู้นำเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา 9 เราอยู่กับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป เราได้กำจัดศัตรูของเจ้าทั้งหมดให้พ้นหน้าเจ้า และเราจะทำให้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดัง เช่นเดียวกับชื่อเสียงของพวกผู้ยิ่งใหญ่ในโลก

10 เราจะกำหนดที่หนึ่งให้อิสราเอลประชาชนของเรา และเราจะก่อตั้งพวกเขาไว้ เพื่อพวกเขาจะอยู่ในที่ของพวกเขาเองและไม่ถูกรบกวนอีกต่อไป พวกประชาชนอธรรมจะไม่ข่มเหงพวกเขาอีกดังที่พวกเขาได้กระทำในเวลาที่ผ่านมา 11 ดังที่พวกเขากระทำตั้งแต่สมัยเมื่อเราบัญชาให้พวกผู้วินิจฉัยทำเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา บัดนี้ เราจะให้เจ้าหยุดพักสงบจากบรรดาศัตรูของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เราเอง พระยาห์เวห์ประกาศกับพวกเจ้าว่าเราจะสร้างราชวงศ์ให้เจ้า 12 เมื่อวันของเจ้าครบบริบูรณ์แล้ว และเจ้าล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า เราจะยกพงศ์พันธุ์ของเจ้าคนหนึ่งสืบต่อจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเอง และเราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา

13 เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศน์เพื่อนามของเรา และเราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ 14 เราจะเป็นบิดาเขา และเขาจะเป็นบุตรชายของเรา ถ้าเขาทำบาป เราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์และ ด้วยการเฆี่ยนอย่างบุตรของมนุษย์ทั้งหลาย 15 แต่พันธสัญญาความสัตย์ซื่อมั่นคงของเราจะไม่ละไปจากเขา ดังที่เราได้ถอดออกจากซาอูล ผู้ซึ่งเราได้ถอดออกต่อหน้าเจ้า

16 ราชวงศ์ของเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะตั้งมั่นอยู่ต่อหน้าเจ้านิรันดร์ และบัลลังก์ของเจ้าจะมั่นคงนิรันดร์'" 17 นาธันได้ทูลดาวิดตามถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นและเขาทูลดาวิดตามนิมิตนี้ทั้งหมด 18 แล้วกษัตริย์ดาวิดจึงเสด็จไปประทับเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์เป็นใครเล่าและพงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์เป็นใคร พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาถึงจุดนี้?

19 บัดนี้สิ่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ยังตรัสถึงราชวงศ์ของผู้รับใช้ของพระองค์ในอนาคต และให้ข้าพระองค์ได้รับทราบถึงชนในรุ่นต่อไปในอนาคต ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ 20 ข้าพระองค์ ดาวิดจะทูลสิ่งใดอีกต่อพระองค์ได้อีกเล่า? พระองค์ทรงรู้จักผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า 21 เพื่อเห็นแก่พระดำรัสของพระองค์และเพื่อให้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำสิ่งใหญ่โตนี้ทั้งสิ้น และทรงเปิดเผยให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์

22 ฉะนั้น พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีใครเสมอเหมือนพระองค์ และไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์ ตามที่หูของพวกข้าพระองค์ได้ยินมา 23 ชนชาติใดจะเหมือนอิสราเอลประชาชนของพระองค์ ชนชาติเดียวในโลกที่พระองค์ พระเจ้าเสด็จไป และทรงช่วยกู้ให้เป็นประชาชนของพระองค์? เพื่อให้พระนามของพระองค์รับเกียรติ เพื่อทรงทำสิ่งยิ่งใหญ่และพระกรณียกิจที่น่าครั่นคร้ามสำหรับแผ่นดินของพระองค์ พระองค์ได้ทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ และบรรดาพระต่างๆ ของพวกเขาให้พ้นหน้าประชาชนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงช่วยกู้ออกจากอียิปต์ 24 พระองค์ทรงตั้งอิสราเอลประชาชนของพระองค์ให้เป็นประชาชนของพระองค์ตลอดนิรันดร์ และพระองค์เองพระยาห์เวห์ได้ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา

25 บัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้า ขอให้พระสัญญาที่พระองค์ได้ตรัสไว้เกี่ยวกับผู้รับใช้ของพระองค์ และเกี่ยวกับราชวงศ์ของเขานั้นมั่นคงอยู่เป็นนิตย์ ขอทรงทำดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้นั้น 26 ขอพระนามของพระองค์ยิ่งใหญ่ตลอดนิรันดร์ เพื่อประชาชนจะกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์จอมทัพทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอล’ ขณะที่ราชวงศ์ดาวิด ผู้รับใช้ของพระองค์จะตั้งมั่นคงอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ 27 เพราะพระองค์ พระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าของอิสราเอล ทรงสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่าพระองค์จะสร้างราชวงศ์ให้เขา นั้นเป็นเหตุว่า ข้าพระองค์ ผู้รับใช้ของพระองค์จึงมีใจกล้าอธิษฐานต่อพระองค์

28 บัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และพระดำรัสของพระองค์ทรงวางใจได้ และพระองค์ทรงกระทำสัญญาที่ดีนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ 29 ฉะนั้น บัดนี้ ขอทรงอวยพรราชวงศ์ของผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อให้ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์เป็นนิตย์ เพราะข้าแต่พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ตรัสสิ่งเหล่านี้แล้ว และด้วยพระพรของพระองค์ ก็ขอให้ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ได้รับพระพรเป็นนิตย์”

8

1 ต่อมาเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้น ดาวิดทรงโจมตีคนฟีลิสเตียและทรงปราบปรามพวกเขา ดังนั้นดาวิดจึงทรงยึดเมืองกัทและหมู่บ้านต่างๆ จากการควบคุมของคนฟีลิสเตีย 2 แล้วพระองค์ได้ทรงปราบปรามคนโมอับและทรงประเมินคนของพวกเขาโดยการให้เป็นแถว ให้เป็นแถวโดยให้พวกเขานอนลงที่พื้นดิน พระองค์ทรงประเมินให้ประหารชีวิตสองแถว และอีกแถวหนึ่งที่ทรงให้ไว้ชีวิต ดังนั้นคนโมอับก็ได้กลายเป็นข้ารับใช้ของดาวิด และเริ่มนำเครื่องบรรณาการมาถวายพระองค์ 3 แล้วดาวิดทรงโจมตีฮาดัดเอเซอร์บุตรชายของเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์ ที่กษัตริย์ฮาดัดเอเซอร์เสด็จไปฟื้นฟูอำนาจของพระองค์ที่ริมแม่น้ำยูเฟรติส

4 ดาวิดทรงยึดรถม้าศึก 1,700 คัน และทหารราบสองหมื่นคนจากเขา ดาวิดทรงตัดเอ็นขาม้ารถศึกทั้งหมด แต่ได้เหลือไว้ให้พอแก่รถม้าศึกหนึ่งร้อยคัน 5 เมื่อคนอารัม ชาวเมืองดามัสกัสมาช่วยฮาดัดเอเซอร์ กษัตริย์เมืองโศบาห์ ดาวิดทรงประหารคนอารัมเสียสองหมื่นสองพันคน 6 แล้วดาวิดได้ทรงตั้งกองทหารรักษาการณ์ไว้ท่ามกลางคนอารัมเมืองดามัสกัส และคนอารัมได้เป็นข้ารับใช้ของพระองค์ และพวกเขานำเครื่องบรรณาการมาถวาย พระยาห์เวห์ได้ประทานชัยชนะแก่ดาวิดในทุกแห่งที่ดาวิดเสด็จไป

7 ดาวิดทรงยึดพวกโล่ทองคำที่ทหารของฮาดัดเอเซอร์ถือนั้น และทรงนำไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 8 จากเมืองเบทาห์และเมืองเบโรธัย เมืองต่างๆ ของฮาดัดเอเซอร์ กษัตริย์ดาวิดทรงยึดทองสัมฤทธิ์จำนวนมาก 9 เมื่อโทอิกษัตริย์เมืองฮามัททรงทราบว่า ดาวิดรบชนะกองทัพทั้งสิ้นของฮาดัดเอเซอร์

10 โทอิก็ทรงส่งฮาโดรัมพระโอรสของพระองค์ไปเฝ้ากษัตริย์ดาวิด เพื่อถวายคำนับและถวายพระพรพระองค์ที่ดาวิดทรงรบกับฮาดัดเอเซอร์และปราบปรามเขาลงได้ และเพราะว่าฮาดัดเอเซอร์เคยทำสงครามกับโทอิ ฮาโดรัมได้นำเครื่องเงิน เครื่องทองคำ และเครื่องทองสัมฤทธิ์ไปถวายพระองค์ด้วย 11 กษัตริย์ดาวิดทรงมอบถวายสิ่งเหล่านี้แด่พระยาห์เวห์ พร้อมกับเงินและทองคำจากประชาชาติทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงรับชัยชนะ 12 นับตั้งแต่อารัม โมอับ พวกประชาชนของอัมโมน คนฟีลิสเตีย และอามาเลข และจากของทั้งหมดที่ยึดมาจากฮาดัดเอเซอร์โอรสของเรโหบ กษัตริย์แห่งเมืองโศบาห์

13 พระนามของดาวิดได้เลื่องลือไปเมื่อพระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือพวกอารัมในหุบเขาแห่งเกลือ ที่มีทหารจำนวนถึงหนึ่งหมื่นแปดพันคน 14 พระองค์ทรงตั้งกองทหารรักษาการณ์ตลอดทั่วเมืองเอโดม และคนเอโดมทั้งสิ้นก็เป็นข้ารับใช้ของดาวิด พระยาห์เวห์ประทานชัยชนะให้แก่ดาวิดในทุกแห่งที่พระองค์ได้เสด็จไป 15 ดาวิดจึงทรงปกครองอิสราเอลทั้งสิ้น และพระองค์ทรงทำความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมแก่ชนชาติของพระองค์ทั้งสิ้น

16 โยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ได้เป็นแม่ทัพ และเยโฮชาฟัทบุตรชายของอาหิลูดได้เป็นเจ้าหน้าที่ผู้จดบันทึก 17 ศาโดกบุตรชายของอาหิทูบและอาหิเมเลคบุตรชายของอาบียาธาร์ได้เป็นปุโรหิต และเสไรยาห์ได้เป็นอาลักษณ์ 18 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาได้เป็นผู้บังคับบัญชาคนเคเรธีและคนเปเลท และบรรดาราชโอรสของดาวิดก็ได้เป็นบรรดาหัวหน้าที่ปรึกษาของกษัตริย์

9

1 ดาวิดได้ตรัสว่า “ยังมีพงศ์พันธุ์ของซาอูลเหลืออยู่เพื่อที่เราจะแสดงความรักมั่นคงแก่ผู้นั้นโดยเห็นแก่โยนาธานหรือไม่?” 2 มีคนรับใช้ในพงศ์พันธุ์ซาอูลคนหนึ่งชื่อศิบา และพวกเขาได้เรียกเขาให้มาเฝ้าดาวิด กษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าคือศิบาหรือ?” เขาทูลตอบว่า “ใช่ ข้าพระองค์คือผู้รับใช้ของพระองค์” 3 ดังนั้นกษัตริย์จึงตรัสว่า “ไม่มีใครในพงศ์พันธุ์ซาอูลเหลืออยู่แล้วหรือ ผู้ที่เราจะแสดงความรักมั่นคงของพระเจ้าต่อเขา?” ศิบาทูลกษัตริย์ว่า “โยนาธานยังทรงมีราชโอรสเหลืออยู่พระองค์หนึ่ง เท้าของเขาพิการ”

4 กษัตริย์ตรัสถามเขาว่า “เขาอยู่ที่ไหนหรือ?” ศิบาจึงทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิดพระเจ้าข้า เขาอยู่ในบ้านของมาคีร์บุตรชายของอัมมีเอล ในเมืองโลเดบาร์” 5 แล้วกษัตริย์ดาวิดได้ทรงส่งคนไปนำเขามาจากบ้านของมาคีร์บุตรชายของอัมมีเอล ที่โลเดบาร์ 6 ดังนั้นฟีโบเชทโอรสของโยนาธานราชโอรสของซาอูลได้มาเฝ้าดาวิดและคุกเข่าซบหน้าลงกับพื้นเพื่อคารวะแด่ดาวิด ดาวิดตรัสว่า “เมฟีโบเชทหรือนี่” เขาทูลตอบว่า “ดูเถิดพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์”

7 ดาวิดตรัสกับเขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเราจะแสดงความรักมั่นคงต่อเจ้าแน่นอน เพื่อเห็นแก่โยนาธานราชบิดาของเจ้า และเราจะคืนที่ดินทั้งหมดของซาอูลปู่ของเจ้าแก่เจ้า และเจ้าจะรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะของเราเสมอไป” 8 เมฟีโบเชทได้คุกเข่าลงคำนับและทูลว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นใครเล่า ซึ่งพระองค์จะทรงทอดพระเนตรด้วยความชื่นชมกับสุนัขที่ตายแล้วอย่างข้าพระองค์นี้?” 9 แล้วกษัตริย์ตรัสเรียกศิบาคนรับใช้ของซาอูล และตรัสกับเขาว่า “สิ่งของทั้งสิ้นที่เป็นของซาอูลและของพงศ์พันธุ์ของพระองค์ เราได้มอบให้แก่หลานเจ้านายของเจ้าแล้ว

10 ตัวเจ้าและบรรดาบุตรชายของเจ้าและเหล่าคนใช้ของเจ้าจะต้องทำไร่ไถนาให้เขา และเจ้าจะต้องเก็บเกี่ยวผลนั้นมาเพื่อโอรสแห่งเจ้านายเจ้าจะได้มีอาหารรับประทาน สำหรับเมฟีโบเชทหลานเจ้านายของเจ้านั้น จะต้องรับประทานอาหารที่โต๊ะของเราเสมอไป” บัดนี้ศิบามีบุตรชายสิบห้าคนและคนรับใช้ยี่สิบคน 11 แล้วศิบาจึงทูลกษัตริย์ว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์จะทำทุกสิ่งที่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ได้ทรงมีพระบัญชาแก่ผู้รับใช้ของพระองค์" กษัตริย์ตรัสต่อไปอีกว่า "สำหรับเมฟีโบเชท เขาจะรับประทานที่โต๊ะเสวยของเรา เช่นเดียวกับโอรสของกษัตริย์องค์หนึ่ง" 12 เมฟีโบเชทมีบุตรชายเล็กคนหนึ่งชื่อมีคา ทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านของศิบาจึงได้เป็นคนรับใช้ของเมฟีโบเชท 13 ดังนั้นเมฟีโบเชทจึงอาศัยในเยรูซาเล็ม และเขารับประทานที่โต๊ะของกษัตริย์เสมอ แม้ว่าเท้าทั้งสองของเขาจะพิการ

10

1 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นหลังจากที่กษัตริย์แห่งคนอัมโมนได้เสด็จสวรรคต และแล้วฮานูนโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทนพระองค์ 2 ดาวิดจึงตรัสว่า “เราจะแสดงน้ำใจต่อฮานูนโอรสของนาหาช ดังที่พระบิดาของเขาทรงแสดงความกรุณาต่อเรา” ดาวิดจึงส่งพวกข้าราชการของพระองค์ไปปลอบโยนฮานูน เกี่ยวด้วยเรื่องพระบิดาของเขา พวกคนรับใช้ของดาวิดก็เข้ามาในแผ่นดินของประชาชนอัมโมน 3 แต่พวกผู้นำของคนอัมโมนได้ทูลฮานูนเจ้านายของพวกเขาว่า “พระองค์ทรงคิดว่าดาวิดทรงให้เกียรติพระบิดาของพระองค์จริงๆ หรือ ที่เขาส่งพวกคนเหล่านั้นมาเพื่อทรงปลอบโยนพระองค์? ดาวิดไม่ได้ส่งพวกข้าราชการของเขามาหาพระองค์เพื่อตรวจเมือง เพื่อสอดแนม และเพื่อจะคว่ำเมืองนี้หรือ?”

4 ดังนั้นฮานูนจึงจับพวกคนรับใช้ของดาวิดมาโกนเคราออกเสียครึ่งหนึ่ง และตัดเครื่องแต่งกายพวกเขาออกจนถึงสะโพกของพวกเขา และปล่อยไป 5 เมื่อพวกเขาทูลเรื่องนี้ให้ดาวิดทรงทราบ พระองค์ก็ส่งคนไปพบพวกเขาเหล่านั้น เพราะว่าพวกเขาได้รับความอับอายมาก และกษัตริย์ตรัสว่า “จงพักที่เมืองเยรีโคจนกว่าเคราของพวกเจ้าได้ขึ้นแล้ว จึงค่อยกลับมา” 6 เมื่อประชาชนอัมโมนเห็นว่า พวกเขาเป็นที่เกลียดชังของดาวิด ประชาชนอัมโมนจึงส่งผู้สื่อสารไปจ้างคนอารัมมาจากเมืองเบธเรโหบ และโศบาห์ เป็นทหารราบจำนวนสองหมื่นคน และกษัตริย์เมืองมาอาคาห์พร้อมด้วยกำลังคนหนึ่งพันคน และกำลังคนเมืองโทบหนึ่งหมื่นสองพันคน

7 เมื่อดาวิดทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จึงส่งโยอาบและกองทัพเหล่านักรบทั้งหมดไป 8 พวกคนอัมโมนก็ยกทัพออกมาและจัดแนวรบไว้ที่ทางเข้าประตูเมืองของพวกเขา ขณะที่คนอารัมจากเมืองโศบาห์และจากเมืองเรโหบ และชาวเมืองโทบและชาวเมืองมาอาคาห์ อยู่ที่พื้นที่โล่งเฉพาะพวกเขา 9 เมื่อโยอาบเห็นว่า การสู้รบนั้นขนาบเขาอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เขาจึงเลือกจากคนอิสราเอลทั้งหมดที่เก่งในการรบและจัดพวกเขาไว้แล้วเพื่อต่อสู้คนคนอารัม

10 สำหรับพวกทหารที่เหลืออยู่ในกองทัพ เขาจัดไว้ให้อยู่ในบังคับบัญชาของอาบีชัยน้องชายของเขาเอง และเขาได้จัดคนเหล่านั้นเข้าต่อสู้กับกองทัพของคนอัมโมน 11 โยอาบได้กล่าวว่า “อาบีชัยถ้ากำลังคนอารัมแข็งกว่ากำลังของเราก็ให้เจ้าไปช่วยเรา แต่ถ้ากำลังคนอัมโมนแข็งกว่ากำลังของเจ้า เราจะมาช่วยเจ้า 12 จงเข้มแข็งไว้ และจงให้เราแสดงความกล้าหาญทำตนให้เข้มแข็งเพื่อประชาชนของเรา และเพื่อบรรดาเมืองต่างๆ ของพระเจ้าของเรา เพื่อพระยาห์เวห์จะทรงทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบตามพระประสงค์ของพระองค์”

13 ดังนั้น โยอาบกับพวกทหารของกองทัพของเขาได้บุกเข้าไปสู้รบกับคนอารัมที่ถูกกดดันให้หนีไปต่อหน้ากองทัพของอิสราเอล 14 เมื่อกองทัพของคนอัมโมนได้เห็นว่าคนอารัมหนีไปแล้ว พวกเขาก็หนีไปจากอาบีชัยด้วย และกลับเข้าไปในเมือง แล้วโยอาบจึงกลับจากการสู้รบกับประชาชนอัมโมนและกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 15 เมื่อคนอารัมได้เห็นว่า พวกเขาได้พ่ายแพ้ต่อคนอิสราเอลแล้ว พวกเขาจึงรวมตัวเข้าด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง

16 แล้วฮาดัดเอเซอร์ส่งคนไปนำกองทหารอารัมจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติส พวกเขาได้มายังตำบลเฮลาม โดยมีโชบัคแม่ทัพของฮาดัดเอเซอร์นำหน้าพวกเขา 17 เมื่อมีผู้ทูลดาวิดให้ทรงทราบ พระองค์ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมด ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และมาถึงเฮลาม คนอารัมได้จัดแนวรบของพวกเขาเข้าต่อสู้ดาวิดและสู้รบกับพระองค์ 18 คนอารัมหนีไปจากคนอิสราเอล ดาวิดทรงประหารคนอารัมซึ่งเป็นทหารรถม้าศึกเจ็ดร้อยคน และทหารม้าสี่หมื่นคน และโชบัคแม่ทัพของพวกเขาได้รับบาดเจ็บและตายที่นั่น 19 เมื่อบรรดากษัตริย์พวกผู้รับใช้ของฮาดัดเอเซอร์เห็นว่า พวกเขาพ่ายแพ้ต่ออิสราเอล พวกเขาได้ทำสัญญายอมสงบศึกกับอิสราเอล และยอมรับใช้พวกเขา ดังนั้นคนอารัมจึงกลัวที่จะช่วยประชาชนของคนอัมโมนอีกต่อไป

11

1 แล้วสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ในเวลาที่บรรดากษัตริย์โดยปกติก็ทรงออกไปรบ ที่ดาวิดทรงส่งโยอาบพร้อมกับพวกทหาร และกองทัพของอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาไปทำลายกองทัพของคนอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่กรุงเยรูซาเล็ม 2 ดังนั้นมันเกิดขึ้นในเวลาเย็นวันหนึ่ง เมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นจากพระแท่นของพระองค์ และเดินอยู่บนดาดฟ้าหลังคาพระราชวังของพระองค์ จากที่นั่นพระองค์ทอดพระเนตรผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ และผู้หญิงคนนั้นสวยงามน่าดูมาก 3 ดังนั้นดาวิดทรงส่งคนไปและถามคนทั้งหลายที่รู้เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น บางคนทูลว่า “ผู้หญิงนี้คือบัทเชบา บุตรีของเอลีอัม และนางเป็นภรรยาของอุรียาห์คนฮิตไทต์ไม่ใช่หรือ?”

4 ดาวิดจึงส่งพวกผู้สื่อสารไป และได้นำนางมา นางมาเฝ้าพระองค์ แล้วพระองค์ได้ทรงหลับนอนกับนาง (เพราะว่านางชำระตัวจากมลทินของนางแล้ว) แล้วนางก็กลับไปบ้านของนาง 5 ผู้หญิงนั้นได้ตั้งครรภ์ และนางจึงส่งคนไปและทูลดาวิด นางได้ทูลว่า “หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้ว” 6 ดาวิดจส่งคนไปหาโยอาบบอกว่า “จงส่งอุรียาห์คนฮิตไทต์มาให้เรา” ดังนั้นโยอาบจึงส่งอุรียาห์ไปให้ดาวิด

7 เมื่ออุรียาห์มาเฝ้าพระองค์ ดาวิดได้รับสั่งถามว่าโยอาบเป็นอย่างไรบ้าง กองทัพเป็นอย่างไรบ้าง และสงครามเป็นอย่างไรบ้าง 8 ดาวิดรับสั่งกับอุรียาห์ว่า “จงลงไปบ้านของเจ้า และให้ล้างเท้าของเจ้าเสีย” ดังนั้นอุรียาห์ก็ออกไปจากพระราชวังของกษัตริย์ และกษัตริย์ส่งของประทานไปให้อุรียาห์หลังจากที่เขาจากไปแล้ว 9 แต่อุรียาห์นอนที่ประตูพระราชวังของกษัตริย์ พร้อมกับมหาดเล็กทั้งหมดของนายของเขา และเขาไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขา

10 เมื่อพวกเขาทูลดาวิดว่า “อุรียาห์ไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขา” ดาวิดได้รับสั่งแก่อุรียาห์ว่า “เจ้าเดินทางมาไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าไม่ลงไปบ้านของเจ้า?” 11 อุรียาห์ทูลตอบดาวิดว่า “หีบพันธสัญญาและอิสราเอลและยูดาห์อยู่ในเต็นท์ และโยอาบนายของข้าพระองค์ กับบรรดาข้าราชการของเจ้านายของข้าพระองค์ตั้งค่ายอยู่ที่พื้นที่โล่ง แล้วข้าพระองค์เองจะไปที่บ้านของข้าพระองค์เพื่อกิน ดื่มและนอนกับภรรยาของข้าพระองค์ได้อย่างไร? พระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระองค์จะไม่ทำอย่างนี้เลย” 12 ดังนั้นดาวิดจึงรับสั่งแก่อุรียาห์ว่า “วันนี้ก็ให้ค้างเสียที่นี่เถิด และพรุ่งนี้เราจะให้เจ้าไป” ดังนั้นอุรียาห์จึงค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในวันนั้นและวันต่อมา

13 เมื่อดาวิดได้ทรงเรียกเขามา เขาก็ได้มารับประทานและดื่มเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และดาวิดทรงทำให้เขามึนเมา ในตอนเย็นอุรียาห์ก็ได้ออกไปนอนในที่นอนกับพวกข้าราชการของเจ้านายของเขา เขาไม่ได้ลงไปบ้านของเขา 14 ดังนั้นพอรุ่งเช้าดาวิดทรงเขียนพระราชสารถึงโยอาบ และส่งไปกับมืออุรียาห์ 15 ดาวิดทรงเขียนในพระราชสารนั้นว่า “จงตั้งอุรียาห์ให้อยู่แนวหน้าของการรบที่ดุเดือดที่สุด แล้วให้พวกเจ้าถอยไปจากเขา เพื่อให้เขาถูกตีและถูกฆ่าตาย”

16 ดังนั้นขณะเมื่อโยอาบเฝ้าล้อมเมืองอยู่ เขาจึงกำหนดให้อุรียาห์ไปที่ที่เขาได้ทราบว่ามีพวกทหารของพวกศัตรูที่เข้มแข็งที่สุดที่กำลังสู้รบอยู่ 17 เมื่อคนของเมืองนั้นออกมาสู้รบกับกองทัพของโยอาบ มีทหารบางคนของดาวิดล้มตาย และอุรียาห์คนฮิตไทต์ก็ถูกฆ่าตายที่นั่นด้วย 18 เมื่อโยอาบส่งถ้อยคำไปทูลดาวิดเรื่องการรบทั้งสิ้นให้ทรงทราบเกี่ยวกับสงคราม

19 เขาได้สั่งผู้สื่อสารนั้นว่า “เมื่อเจ้าทูลเรื่องราวการรบทั้งสิ้นต่อกษัตริย์เสร็จแล้ว 20 อาจจะเกิดขึ้นได้ว่ากษัตริย์กริ้วขึ้นมาและพระองค์ตรัสถามเจ้าว่า ‘ทำไมพวกเจ้าจึงเข้าสู้รบใกล้เมืองนั้น? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเขาจะยิงจากกำแพง? 21 ใครฆ่าอาบีเมเลคบุตรเยรุบเบเชท? ไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่งเอาหินโม่ทุ่มเขาจากกำแพงเมือง ดังนั้นเขาได้ตายที่เมืองเธเบศหรือ? ทำไมพวกเจ้าจึงเข้าไปใกล้กำแพง?’ แล้วให้เจ้าทูลว่า ‘อุรียาห์คนฮิตไทต์ผู้รับใช้ของพระองค์ก็ได้ตายด้วย’”

22 ดังนั้นผู้สื่อสารได้จากไป เขามาเฝ้าดาวิดและทูลพระองค์ให้ทรงทราบทุกอย่างตามที่โยอาบได้สั่งเขามา 23 แล้วผู้สื่อสารนั้นได้ทูลดาวิดว่า “พวกศัตรูมีกำลังเหนือเราในตอนแรก พวกเขาได้ออกมาสู้กับเราที่กลางทุ่งนา แต่เราไล่พวกเขาให้กลับไปถึงทางเข้าประตูเมือง 24 แล้วพลธนูของพวกเขาก็ได้ยิงเหล่าทหารของพระองค์จากกำแพง และทหารของกษัตริย์บางคนได้สิ้นชีวิต และอุรียาห์คนฮิตไทต์ผู้รับใช้ของพระองค์ได้สิ้นชีวิตด้วย”

25 แล้วดาวิดรับสั่งผู้สื่อสารนั้นว่า “จงกล่าวกับโยอาบว่า ‘อย่าให้เรื่องนี้ทำให้เจ้าทุกข์ใจ เพราะดาบย่อมสังหารไม่ว่าคนนั้นหรือคนนี้ จงสู้รบให้เข้มแข็งและให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นเพื่อต่อสู้เมืองนั้น และทำลายเสียให้ได้’ และให้กำลังใจเขา” 26 ดังนั้นเมื่อภรรยาของอุรียาห์ทราบว่า อุรียาห์สามีของนางสิ้นชีวิตแล้ว นางก็ได้คร่ำครวญอย่างหนักเรื่องสามีของนาง 27 เมื่อการไว้ทุกข์ของนางได้ผ่านไปแล้ว ดาวิดส่งคนไปให้รับนางมาที่พระราชวังของพระองค์ และนางได้เป็นมเหสีของพระองค์ และประสูติโอรสองค์หนึ่งให้พระองค์ แต่สิ่งซึ่งดาวิดได้ทรงกระทำนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยของพระยาห์เวห์

12

1 แล้วพระยาห์เวห์ทรงใช้นาธันไปหาดาวิด นาธันได้ไปเข้าเฝ้าและทูลพระองค์ว่า "ยังมีผู้ชายสองคน อาศัยอยู่ในเมืองหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งมั่งมี และอีกคนหนึ่งยากจน 2 ผู้ชายคนมั่งมีนั้นมีแพะ แกะ และโคมากมาย 3 แต่ผู้ชายคนยากจนนั้นไม่มีอะไรเลย เว้นแต่ลูกแกะตัวเมียตัวเล็กๆ ตัวเดียวที่ได้เขาซื้อมา และเลี้ยงไว้ และเติบโตขึ้นมากับเขาและบรรดาบุตรทั้งหลายของเขา ลูกแกะนั้นกินอาหารร่วมกับเขาด้วย และได้ดื่มจากถ้วยเดียวกับเขา และมันได้นอนในอ้อมแขนของเขา และเป็นเหมือนบุตรสาวของเขา

4 วันหนึ่งมีแขกคนหนึ่งได้เดินทางมาหาคนมั่งมี แต่คนมั่งมีไม่เต็มใจที่จะเอาสัตว์จากฝูงวัวและแกะของเขามาทำอาหารสำหรับเลี้ยงแขก เขาจึงเอาลูกแกะตัวเมียของคนจนนั้นและเตรียมเป็นอาหารให้แก่แขกของเขา” 5 ดาวิดได้กริ้วผู้ชายที่มั่งมีคนนั้นมาก และรับสั่งแก่นาธันว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผู้ชายคนที่ทำเช่นนั้นสมควรตาย 6 เขาจะต้องชดใช้คืนลูกแกะให้สี่เท่าเพราะเขาทำสิ่งนี้ และเพราะว่าเขาไม่มีความเมตตาต่อผู้ชายที่ยากจน”

7 นาธันจึงทูลดาวิดว่า “พระองค์นั่นแหละคือผู้ชายคนนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และเราได้ช่วยกู้เจ้าให้พ้นจากมือของซาอูล 8 เราได้มอบราชวงศ์เจ้านายของเจ้าให้เจ้า และได้มอบเหล่ามเหสีของเจ้านายของเจ้าไว้ในอ้อมแขนของเจ้า เราได้มอบวงศ์วานของอิสราเอลและยูดาห์ให้แก่เจ้าด้วยเช่นกัน แต่ถ้าเท่านี้ยังน้อยเกินไป เราจะเพิ่มให้มากมายกว่านี้ 9 ดังนั้นทำไมเจ้าถึงได้ดูหมิ่นพระบัญชาของพระยาห์เวห์ ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์? เจ้าประหารอุรียาห์คนฮิตไทต์ด้วยดาบ และเอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของเจ้า เจ้าฆ่าเขาเสียด้วยดาบของกองทัพของคนอัมโมน

10 ดังนั้น บัดนี้ดาบนั้นจะไม่คลาดไปจากราชวงศ์ของเจ้า เพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา และเอาภรรยาของอุรียาห์คนฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของเจ้า’ 11 พระยาห์เวห์ตรัสว่า 'นี่แน่ะ เราจะให้เหตุร้ายเกิดขึ้นกับเจ้า จากครอบครัวของเจ้าเอง ต่อหน้าต่อตาเจ้า เราจะเอาบรรดาภรรยาของเจ้าไปให้เพื่อนของเจ้า และเขาจะนอนร่วมกับบรรดาภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย 12 เพราะเจ้าได้ทำบาปของเจ้านั้นอย่างลับๆ แต่เราจะทำการนี้ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้นอย่างเปิดเผย’”

13 แล้วดาวิดจึงตรัสกับนาธันว่า “เราได้กระทำบาปต่อพระยาห์เวห์แล้ว” นาธันทูลดาวิดว่า “พระยาห์เวห์ทรงให้อภัยบาปของพระองค์แล้วเช่นกัน พระองค์เองจะไม่ถูกปลงพระชนม์ 14 อย่างไรก็ตาม เพราะพระองค์ทรงหมิ่นประมาทพระยาห์เวห์แล้ว ด้วยการกระทำครั้งนี้ ราชโอรสที่ประสูติมานั้นจะสิ้นพระชนม์แน่นอน” 15 แล้วนาธันก็จากไป กลับไปยังบ้านของเขา แล้วพระยาห์เวห์ทรงทำให้ราชโอรส ซึ่งภรรยาของอุรียาห์ประสูติให้แก่ดาวิดนั้นป่วย และพระราชโอรสนั้นได้ประชวรหนัก

16 ดาวิดได้ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อพระกุมารนั้น ดาวิดทรงอดอาหารและเสด็จเข้าไปข้างในและบรรทมบนพื้นตลอดคืน 17 พวกผู้อาวุโสในวังของพระองค์ก็ลุกขึ้นและมายืนอยู่ข้างพระองค์ เพื่อจะยกพระองค์ขึ้นจากพื้น แต่พระองค์ไม่ทรงยอมลุกขึ้นและพระองค์ไม่เสวยกับพวกเขา 18 แล้วเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้น พอวันที่เจ็ดพระกุมารนั้นก็สิ้นพระชนม์ ส่วนข้าราชการของดาวิดก็กลัว ไม่กล้าทูลพระองค์ว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะพวกเขาพูดกันว่า “ดูสิ ขณะที่พระกุมารยังทรงพระชนม์อยู่ พวกเราทูลต่อพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงฟังเสียงของพวกเราเลย พระองค์ก็อาจทำอะไรต่อตัวพระองค์เองหรือไม่ ถ้าพวกเราทูลพระองค์ว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว?”

19 แต่เมื่อดาวิดได้ทอดพระเนตรเหล่าข้าราชการกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ ดาวิดก็เข้าพระทัยว่าพระกุมารนั้นได้สิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์จึงรับสั่งกับข้าราชการของพระองค์ว่า “เด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้วหรือ?” พวกเขาทูลตอบว่า “สิ้นพระชนม์แล้ว ใช่” 20 แล้วดาวิดก็ทรงลุกขึ้นจากพื้นและชำระพระกายของพระองค์ ชโลมพระองค์ เปลี่ยนฉลองพระองค์ พระองค์ดำเนินเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์และได้นมัสการที่นั่น และหลังจากนั้นแล้วพระองค์ได้เสด็จกลับพระราชวังของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงรับสั่งให้จัดอาหารมา พวกเขาก็จัดพระกระยาหารต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ และพระองค์ได้เสวย 21 แล้วเหล่าข้าราชการของพระองค์จึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพระองค์ทรงทำเช่นนี้? พระองค์ทรงอดอาหารและทรงกันแสงเพื่อพระกุมารนั้นในขณะที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ แต่เมื่อพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นเสวยอาหาร”

22 ดาวิดตรัสตอบว่า “เมื่อเด็กนั้นมีชีวิตอยู่ เราได้อดอาหารและร้องไห้ เพราะเราว่า ‘ใครจะทราบได้ว่าพระยาห์เวห์จะทรงเมตตาต่อเราหรือไม่ ที่จะทรงโปรดให้เด็กนั้นมีชีวิตต่อได้?’ 23 แต่เดี๋ยวนี้เขาได้สิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม? เราจะทำเด็กให้ฟื้นขึ้นมาได้หรือ? เราจะตามเด็กนั้นไป แต่เขาจะไม่กลับมาหาเรา” 24 ดาวิดทรงปลอบโยนบัทเชบามเหสีของพระองค์ และทรงเข้าไปหาพระนาง และทรงหลับนอนกับพระนาง พระนางก็ประสูติโอรสองค์หนึ่งชื่อซาโลมอน พระยาห์เวห์ทรงรักพระองค์

25 และพระองค์ทรงใช้นาธันผู้เผยพระวจนะไป ตั้งชื่อพระราชโอรสนั้นว่า เยดีดิยาห์ เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักพระองค์ 26 บัดนี้โยอาบสู้รบกับเมืองรับบาห์ของคนอัมโมน และเขายึดเมืองหลวงนั้นได้ 27 ดังนั้นโยอาบจึงส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าดาวิด และทูลว่า “ข้าพระองค์ได้สู้รบกับเมืองรับบาห์ และข้าพระองค์ยึดแหล่งน้ำของเมืองนั้นได้แล้ว

28 บัดนี้ขอพระองค์ทรงรวบรวมทหารที่เหลือ และตั้งค่ายตีเมืองนั้นและยึดให้ได้ เพราะเกรงว่าถ้าข้าพระองค์ตีได้ ก็จะเรียกชื่อเมืองนั้นตามชื่อของข้าพระองค์” 29 ดังนั้นดาวิดจึงทรงรวบรวมทหารทั้งหมดและยกไปยังเมืองรับบาห์ พระองค์ทรงต่อสู้และยึดเมืองนั้นได้ 30 ดาวิดทรงริบมงกุฎจากเศียรของกษัตริย์ของพวกเขา มงกุฎนั้นเป็นทองคำหนักหนึ่งตะลันต์ ประดับด้วยเพชรพลอย เขาก็สวมบนพระเศียรของดาวิด แล้วพระองค์ทรงริบทรัพย์สมบัติของเมืองนั้นออกไปอย่างมากมาย 31 พระองค์ทรงนำประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นออกมา และทรงบังคับให้ทำงานด้วยเลื่อยต่างๆ คราดเหล็กต่างๆ และขวานเหล็กต่างๆ พระองค์ทรงให้พวกเขาทำงานที่เตาเผาอิฐ ดาวิดทรงให้เมืองทั้งหมดของคนอัมโมนทำงานใช้แรงงานนี้ แล้วดาวิดก็เสด็จกลับไปกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับทหารทั้งสิ้น

13

1 เหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ อัมโนนพระราชโอรสของดาวิด ทรงหลงรักทามาร์พระขนิษฐาต่างพระมารดาของพระองค์ที่งดงาม ชื่อทามาร์ ผู้ซึ่งเป็นพระขนิษฐาจริงๆ ของอับซาโลม ราชบุตรอีกพระองค์หนึ่งของดาวิด 2 อัมโนนทรงคับอกคับใจจนล้มป่วยเนื่องด้วยพระขนิษฐาทามาร์ เธอเป็นสาวพรหมจารี และดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้สำหรับอัมโนนที่จะทำอะไรกับเธอได้ 3 แต่อัมโนนมีสหายคนหนึ่งชื่อเยโฮนาดับบุตรชายของชิเมอาห์พระเชษฐาของดาวิด เยโฮนาดับนั้นเป็นคนเจ้าปัญญา

4 เยโฮนาดับจึงทูลอัมโนนว่า “ทำไมราชโอรสของกษัตริย์จึงทรงซึมเศร้าเช่นนี้ทุกเช้า? พระองค์จะไม่ทรงบอกให้ข้าพระองค์ทราบบ้างหรือ?” ดังนั้นอัมโนนจึงตอบเขาว่า “เรารักทามาร์น้องหญิงของอับซาโลมน้องชายของเรา” 5 แล้ว เยโฮนาดับจึงทูลพระองค์ว่า “ขอเชิญบรรทมบนพระแท่น และแสร้งทำเป็นประชวร เมื่อเสด็จพ่อของพระองค์เสด็จมาเยี่ยม ก็ให้ทูลว่า ‘ขอโปรดให้ทามาร์น้องหญิงของข้าพระองค์มาให้อาหารแก่ข้าพระองค์ และมาเตรียมอาหารต่อหน้าข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้เห็น และรับประทานจากมือของเธอ?’” 6 ดังนั้น อัมโนนจึงบรรทม และแสร้งทำเป็นประชวร เมื่อกษัตริย์เสด็จมาเยี่ยม อัมโนนก็ทูลกษัตริย์ว่า “ขอโปรดให้ทามาร์น้องหญิงมาทำอาหารต่อหน้าข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้รับประทานจากมือของเธอ”

7 แล้วดาวิดก็ทรงใช้คนไปแจ้งทามาร์ที่วังของพระองค์ว่า “จงไปที่วังของอัมโนนพี่ของเจ้า และทำอาหารให้เขา” 8 ดังนั้นทามาร์ก็ไปยังวังของอัมโนนพระเชษฐาของเธอ ที่เขากำลังได้บรรทมอยู่ เธอได้หยิบแป้งมาและได้นวด และทำขนมต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ 9 เธอได้ปิ้งขนม เธอก็ได้ยกกระทะมาและให้ขนมนั้นต่อพระเชษฐา แต่อัมโนนได้ทรงปฏิเสธที่จะเสวย แล้วอัมโนนได้ตรัสกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในนั้นว่า “ให้ทุกคนออกไป ออกไปจากเรา” ดังนั้นทุกคนก็ออกไปจากพระองค์

10 ดังนั้นอัมโนนได้รับสั่งกับทามาร์ว่า “จงเอาอาหารเข้ามาในห้องของพี่ เพื่อพี่จะรับประทานจากมือของน้อง” ดังนั้นทามาร์ได้นำขนมที่เธอทำนั้นและนำเข้าไปในห้องให้อัมโนนพระเชษฐาของเธอ 11 เมื่อเธอนำขนมมาใกล้พระองค์ อัมโนนก็ทรงจับเธอไว้ และตรัสว่า “มาเถิด เข้ามาหลับนอนกับพี่” 12 เธอจึงตอบพระองค์ว่า “อย่าเลย พระเชษฐาของหม่อมฉัน อย่าบังคับหม่อมฉันเลย สิ่งอย่างนี้เขาไม่ทำกันในอิสราเอล อย่าทำเรื่องที่น่ากลัวอย่างนี้เลย

13 หม่อมฉันจะขจัดความอายนี้ไปได้อย่างไร? ส่วนพระเชษฐาเล่า? พระองค์ก็จะเป็นคนโฉดเขลาคนหนึ่งในอิสราเอล บัดนี้ขอทูลกษัตริย์เถิด พระองค์จะไม่หวงหม่อมฉันไว้จากพระองค์” 14 อย่างไรก็ตามอัมโนนไม่ยอมฟังเสียงเธอ เพราะพระองค์ทรงมีกำลังมากกว่าทามาร์ พระองค์จึงทรงบังคับเธอและนอนกับเธอ 15 แล้วอัมโนนก็ทรงเกลียดเธอด้วยความเกลียดชังที่สุด พระองค์ทรงเกลียดชังเธอมากยิ่งกว่าความปรารถนาซึ่งพระองค์ทรงเคยมีต่อเธอ อัมโนนตรัสกับเธอว่า “จงลุกขึ้นไปให้พ้น”

16 แต่เธอตอบพระองค์ว่า “ไม่ เพราะความผิดใหญ่หลวงนี้ ที่จะทรงขับไล่หม่อมฉันไปก็มากกว่าสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำกับหม่อมฉัน” แต่อัมโนนไม่ทรงยอมฟังเธอ 17 แต่ทรงเรียกมหาดเล็กส่วนพระองค์และตรัสว่า “จงเอาผู้หญิงคนนี้ออกไปให้พ้นเรา แล้วปิดประตูใส่กลอนหลังจากเธอออกไป” 18 และมหาดเล็กของพระองค์ก็นำเธอออกไปและปิดประตูใส่กลอนหลังเธอ ทามาร์สวมเสื้อคลุมยาวที่ได้ประดับประดา เพราะเหล่าพระราชธิดาของกษัตริย์ที่ยังเป็นหญิงพรหมจารีสวมกันเช่นนั้น

19 ทามาร์ก็เอาขี้เถ้าใส่ที่ศีรษะของเธอและฉีกเสื้อคลุมยาวของเธอ เธอเอามือทั้งสองข้างของเธอกุมศีรษะและเดินไป ร้องไห้เสียงดังขณะที่เธอได้เดินไป 20 อับซาโลมพระเชษฐาของเธอก็ตรัสกับเธอว่า “อัมโนนพระเชษฐาของน้องได้อยู่กับน้องหรือ? แต่ บัดนี้ จงนิ่งเสีย น้องของพี่ เขาเป็นพี่ของเจ้า อย่าทุกข์ใจเพราะเรื่องนี้เลย” ดังนั้นทามาร์ได้อยู่เดียวดายในวังของอับซาโลมพระเชษฐา 21 แต่เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงทราบเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก

22 อับซาโลมไม่ได้พูดกับอัมโนนเลย เพราะอับซาโลมเกลียดชังพระองค์มากในสิ่งที่พระองค์ทำกับทามาร์น้องหญิงของพระองค์ได้อับอาย 23 แล้วสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น ต่อมาอีกสองปีเต็ม ที่อับซาโลมจัดงานตัดขนแกะที่ตำบลบาอัลฮาโซร์ ซึ่งอยู่ใกล้เอฟราอิม และอับซาโลมเชิญพระราชโอรสทั้งสิ้นของกษัตริย์ไปในงานนั้น 24 อับซาโลมไปเฝ้ากษัตริย์ และทูลว่า “ดูเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์มีงานตัดขนแกะ ขอทูลเชิญกษัตริย์พร้อมด้วยมหาดเล็กของพระองค์ไปในงานนั้นไปกับข้าพระองค์ผู้รับใช้ของพระองค์”

25 กษัตริย์ตรัสกับอับซาโลมว่า “ไม่ ลูกเอ๋ย อย่าเลย พวกเราทุกคนไม่ควรไปกันหมดเลย เพราะว่าพวกเราจะเป็นภาระแก่เจ้า” อับซาโลมได้ทรงคะยั้นคะยอกษัตริย์ แต่พระองค์ไม่ยอมเสด็จไป แต่พระองค์ทรงอวยพรให้อับซาโลม 26 แล้วอับซาโลมจึงทูลว่า “ถ้าไม่โปรดเสด็จ ก็ขอทรงโปรดอนุญาตให้อัมโนนพระเชษฐาของข้าพระองค์ไปด้วยกันกับพวกเราเถิด” ดังนั้นกษัตริย์ได้ตรัสว่า “ทำไมจะให้อัมโนนไปกับเจ้าด้วย?” 27 อับซาโลมได้ทูลคะยั้นคะยอดาวิด และดังนั้นพระองค์จึงทรงให้อัมโนนและพระราชโอรสของกษัตริย์ทั้งสิ้นไปด้วยกันกับพระองค์

28 อับซาโลมทรงบัญชาพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “จงคอยดูอย่างใกล้ชิด เมื่ออัมโนนเริ่มเมาเหล้าองุ่นเมื่อไร และเมื่อเราสั่งพวกเจ้าว่า ‘จงประหารอัมโนน’ แล้วจงฆ่าเขาเสีย อย่ากลัวเลย เราเองสั่งพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด” 29 ดังนั้นพวกมหาดเล็กของอับซาโลมได้ทำกับอัมโนนตามที่อับซาโลมได้ทรงบัญชาไว้ แล้วพระราชโอรสทั้งหมดของกษัตริย์ได้ลุกขึ้น และทุกพระองค์ได้ทรงล่อของแต่ละพระองค์และหนีไป 30 ดังนั้น สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น ขณะเมื่อเหล่าราชโอรสทรงดำเนินอยู่ตามทาง มีข่าวไปถึงดาวิดว่า “อับซาโลมทรงประหารพระราชโอรสของพระราชาทั้งหมดแล้ว และไม่เหลือรอดอยู่สักพระองค์เดียว”

31 แล้วกษัตริย์ทรงลุกขึ้นและฉีกฉลองพระองค์ และบรรทมบนพื้น ข้าราชการทั้งสิ้นได้สวมเสื้อผ้าฉีกขาดยืนเฝ้าอยู่ 32 เยโฮนาดับบุตรชายของชิเมอาห์พระเชษฐาของดาวิด ได้ทรงตอบและทูลว่า “ขออย่าให้เจ้านายของข้าพระองค์สำคัญผิดไปว่า พวกเขาได้ประหารคนหนุ่มแน่นทั้งหมดที่เป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ เพราะว่าอัมโนนสิ้นพระชนม์แต่ผู้เดียว อับซาโลมทรงวางแผนการณ์นี้ตั้งแต่วันที่อัมโนนทรงกระทำรุนแรงต่อทามาร์น้องหญิงของท่าน 33 เพราะฉะนั้น ขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์อย่าทุกข์พระทัย ด้วยทรงเชื่อว่า พระราชโอรสทั้งหมดของพระองค์สิ้นพระชนม์ เพราะอัมโนนสิ้นพระชนม์แต่พระองค์เดียว”

34 อับซาโลมได้หนีไป ทหารยามได้เงยหน้าขึ้นมองและเห็นคนจำนวนมากกำลังมาจากถนนตามเชิงเขาทางด้านตะวันตกของเขา 35 แล้วเยโฮนาดับจึงทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด บรรดาพระราชโอรสกำลังเสด็จมาแล้ว สิ่งนี้เป็นจริงตามถ้อยคำที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ทูลแล้ว” 36 ดังนั้น สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น เมื่อเขาได้พูดจบลง บรรดาพระราชโอรสของกษัตริย์ก็ได้เสด็จมาถึง และทรงร้องเสียงดังและทรงกันแสง กษัตริย์ก็ทรงกันแสง และบรรดาข้าราชการก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยเช่นกัน

37 แต่อับซาโลมได้เสด็จหนีไปและเข้าเฝ้าทัลมัย พระราชโอรสของอัมมีฮูด กษัตริย์เมืองเกชูร์ ดาวิดทรงไว้ทุกข์ให้พระราชโอรสของพระองค์ทุกวัน 38 ดังนั้น อับซาโลมได้เสด็จหนีไปยังเมืองเกชูร์ และทรงอยู่ที่นั่นสามปี 39 พระทัยของกษัตริย์ดาวิดก็ทรงอาลัยถึงอับซาโลม เพราะพระองค์ทรงรับการเล้าโลมเรื่องของอัมโนนและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

14

1 บัดนี้โยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ทราบว่าจิตใจของกษัตริย์ทรงปรารถนาจะได้พบอับซาโลม 2 ดังนั้นโยอาบจึงได้ใช้คนไปยังเมืองเทโคอา และพาผู้หญิงฉลาดคนหนึ่งมาพบเขา เขาบอกนางว่า “จงแสร้งทำเป็นคนไว้ทุกข์ และสวมเสื้อของคนไว้ทุกข์ กรุณาอย่าทาน้ำมัน แต่แสร้งทำเหมือนผู้หญิงไว้ทุกข์ให้ผู้ตายมาหลายวัน 3 แล้วจงเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ และทูลข้อความแก่พระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะอธิบายให้เจ้า” ดังนั้นโยอาบได้บอกถ้อยคำให้หญิงนั้นที่จะไปทูลแก่กษัตริย์

4 เมื่อผู้หญิงชาวเทโคอามาทูลต่อกษัตริย์ นางก็ได้นอนราบซบหน้าลงถึงพื้น และทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด” 5 กษัตริย์ตรัสกับผู้หญิงนั้นว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?” นางทูลว่า “ความจริงเป็นดังนี้ ข้าพระองค์เป็นหญิงม่าย สามีของข้าพระองค์ได้ตายแล้ว 6 ข้าพระองค์สาวใช้ของพระองค์มีบุตรชายสองคน และพวกเขาได้วิวาทกันที่ทุ่งนา และไม่มีใครแยกพวกเขาออก บุตรชายคนหนึ่งจึงได้ฆ่าอีกคนหนึ่งตาย

7 บัดนี้ บรรดาญาติทั้งหมดก็ได้รุมกันมาหาสาวใช้ของพระองค์บอกว่า ‘จงมอบผู้ที่ฆ่าพี่ชายของเขา เพื่อเราจะฆ่าเขาให้ตาย ชดใช้ชีวิตของพี่ชายของเขาที่ถูกฆ่านั้น' ดังนั้นพวกเขาจะทำลายผู้รับมรดกเสียด้วย’ ดังนี้พวกเขาจะดับถ่านที่คุเหลืออยู่ของข้าพระองค์เสีย และพวกเขาจะไม่เหลือให้แม้แต่ชื่อหรือเชื้อสายของสามีของข้าพระองค์บนพื้นแผ่นดินโลกนี้เลย” 8 ดังนั้นกษัตริย์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ไปบ้านของเจ้าเถิด และเราเองจะสั่งการบางสิ่งเพื่อเจ้า” 9 ผู้หญิงชาวเทโคอาจึงทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ขอให้โทษตกอยู่กับข้าพระองค์ และกับพงศ์พันธุ์บิดาของข้าพระองค์เถิด กษัตริย์และราชบัลลังก์ของพระองค์อย่าให้มีโทษเลย”

10 กษัตริย์ตรัสตอบว่า “ถ้ามีใครกล่าวอะไรแก่เจ้า จงพาเขามาหาเรา และเขาจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเลย” 11 แล้วนางได้ทูลว่า “ขอกษัตริย์ทรงกล่าวในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ เพื่อผู้อาฆาตแห่งโลหิตจะไม่ทำลายผู้ใดอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจะไม่ทำลายบุตรชายของข้าพระองค์” กษัตริย์ตรัสว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของบุตรชายของเจ้าสักเส้นเดียวจะไม่ตกลงถึงดิน” 12 แล้วผู้หญิงได้ทูลว่า “ขอสาวใช้ของพระองค์ทูลอีกสักคำหนึ่งแก่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์” พระองค์ตรัสว่า “จงพูดไป”

13 ดังนั้นผู้หญิงนั้นจึงทูลว่า “เหตุใดพระองค์ทรงดำริอย่างนี้ต่อประชาชนของพระเจ้า? สำหรับในการตรัสเช่นนี้ กษัตริย์ทรงเป็นเหมือนบางคนที่มีความผิด เพราะว่ากษัตริย์ยังไม่ได้ทรงนำพระราชบุตรผู้ถูกเนรเทศกลับมาที่วังเลย 14 ดังนั้นพวกเราจะต้องตายแน่ และพวกเราเป็นเหมือนน้ำที่หกบนพื้นดิน ที่ไม่สามารถจะเก็บรวมกลับคืนมาอีกไม่ได้ แต่พระเจ้าไม่ทรงทำลายชีวิต แต่ทรงดำริวิธีสำหรับคนเหล่านั้นที่ถูกเนรเทศได้กลับคืนมาอีก 15 บัดนี้ แล้ว ที่ข้าพระองค์มาทูลเรื่องนี้ต่อกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ก็เพราะว่าพวกประชาชนทำให้ข้าพระองค์กลัว ดังนั้นสาวใช้ของพระองค์คิดว่า ‘บัดนี้ฉันจะทูลกษัตริย์ บางทีกษัตริย์จะทรงทำตามคำขอของสาวใช้ของพระองค์

16 เพราะว่ากษัตริย์จะทรงสดับฟังเรา เพื่อที่จะทรงช่วยกู้สาวใช้ของพระองค์จากมือของผู้จะทำลายทั้งตัวฉันและลูกชายของฉันเสียจากมรดกของพระเจ้า’ 17 แล้วสาวใช้ของพระองค์ได้อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้พระดำรัสของกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์เป็นที่พักพิงเปรียบประดุจทูตสวรรค์ของพระเจ้า เพราะกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ผู้ทรงทราบความดีและความชั่ว' ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์สถิตกับพระองค์เถิด” 18 แล้วกษัตริย์ทรงกล่าวกับหญิงนั้นว่า “จงอย่าปิดบังสิ่งใดจากเราที่เราเองจะถามเจ้า ” ผู้หญิงนั้นทูลว่า “ขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ตรัสเถิด”

19 กษัตริย์จึงตรัสถามว่า “มือของโยอาบเกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยในเรื่องทั้งหมดนี้หรือเปล่า?” ผู้หญิงนั้นทูลตอบ และกล่าวว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ไม่มีใครสามารถหนีพันไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือจากสิ่งใดๆที่กษัตริย์ผู้เป็นเจ้านายของข้าพระองค์ได้ตรัสไว้ คือโยอาบผู้รับใช้ของพระองค์ที่ได้สั่งข้าพเจ้าและบอกให้ข้าพเจ้ากล่าวสิ่งต่างๆเหล่านี้ตามที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้กล่าวแล้วนั้น 20 เขานั่นแหละโยอาบผู้รับใช้ของพระองค์ที่ได้ทำสิ่งนี้ก็เพื่อจะแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่นี้ เจ้านายของข้าพระองค์ทรงมีพระสติปัญญา เหมือนดังสติปัญญาของทูตสวรรค์ของพระเจ้า และทรงทราบทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในแผ่นดิน” 21 ดังนั้นกษัตริย์จึงตรัสสั่งโยอาบว่า “ดูเถิด เราจะทำสิ่งนี้ ดังนั้นจงไป และนำอับซาโลมชายหนุ่มคนนั้นกลับมา”

22 ดังนั้นโยอาบได้นอนลงซบหน้าลงถึงพื้น และถวายความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ โยอาบทูลว่า “วันนี้ผู้รับใช้ของพระองค์ทราบว่า ข้าพระองค์ได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ในการที่กษัตริย์ทรงอนุมัติ ตามคำทูลขอของผู้รับใช้ของพระองค์” 23 ดังนั้นโยอาบจึงลุกขึ้นไปยังเมืองเกชูร์ และพาอับซาโลมมายังกรุงเยรูซาเล็ม 24 กษัตริย์ได้ตรัสว่า “ให้เขากลับไปวังของเขาเถิด แต่อย่าให้เข้าเฝ้าเรา” ดังนั้นอับซาโลมได้กลับไปอยู่วังของพระองค์ แต่ไม่ได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์

25 บัดนี้ทั่วอิสราเอลไม่มีผู้ใดได้รับการยกย่องในเรื่องความสง่างามมากเท่ากับอับซาโลม นับตั้งแต่พระบาทจนถึงศีรษะของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงมีตำหนิเลย 26 เมื่อพระองค์ทรงปลงพระเกศาในสิ้นปีของทุกปี เพราะว่าพระเกศาบนพระเศียรของพระองค์มีนำหนักมาก พระองค์ทรงชั่งพระเกศา ได้น้ำหนักประมาณถึงสองร้อยเชเขล ซึ่งได้ชั่งตามน้ำหนักมาตรฐานของกษัตริย์ 27 อับซาโลมมีบุตรชายสามคน และบุตรีคนหนึ่งชื่อทามาร์ เธอเป็นหญิงที่สวยงาม

28 อับซาโลมประทับในกรุงเยรูซาเล็มถึงสองปีเต็ม โดยไม่ได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ 29 แล้วอับซาโลมได้ส่งคนไปตามโยอาบให้นำพระองค์เข้าไปเฝ้ากษัตริย์ แต่โยอาบไม่ได้มาหาพระองค์ ดังนั้นพระองค์ได้ทรงส่งคนไปครั้งที่สอง แต่โยอาบก็ไม่ได้มาอีก 30 ดังนั้น พระองค์จึงทรงสั่งพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “ดูสิ นาของโยอาบอยู่ถัดนาของเรา เขามีข้าวบาร์เลย์ที่นั่น จงไปเอาไฟเผาเสีย” พวกมหาดเล็กของอับซาโลมได้เอาไฟเผานา

31 แล้วโยอาบได้ลุกขึ้นไปหาอับซาโลมที่วังของพระองค์ และทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกมหาดเล็กของพระองค์จึงเอาไฟเผานาของข้าพระองค์?” 32 อับซาโลมตรัสตอบโยอาบว่า “ดูเถิด เราส่งคนไปบอกท่านว่า ‘มานี่เถิด เราจะส่งท่านไปหากษัตริย์ทูลว่า “ให้ข้าพระองค์มาจากเกชูร์ทำไม? ข้าพระองค์อยู่ที่นั่นก็ดีกว่า” ดังนั้นบัดนี้ขอให้เราเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ และถ้าเรามีความผิด ก็ให้พระองค์ทรงประหารเราเสีย’"" 33 ดังนั้นโยอาบจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์และทูลพระองค์ให้ทรงทราบ เมื่อกษัตริย์ทรงเรียกหาอับซาโลม พระองค์จึงเข้าไปเฝ้ากษัตริย์โน้มตัวลงซบหน้าลงถึงพื้นดินเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ และกษัตริย์ได้ทรงจูบอับซาโลม

15

1 แล้วสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นหลังจากนั้น อับซาโลมจัดเตรียมรถศึกและม้าหลายตัวสำหรับพระองค์เองกับทหารวิ่งนำหน้าพระองค์จำนวนห้าสิบคน 2 อับซาโลมทรงตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ ทรงยืนริมทางเข้าประตูเมือง ถ้าใครมีเรื่องถวายกษัตริย์ให้ทรงตัดสิน อับซาโลมก็ได้เรียกผู้นั้นและถามว่า “เจ้ามาจากเมืองไหน?” แล้วเมื่อเขาทูลตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านเป็นคนเผ่าหนึ่งในอิสราเอล” 3 ดังนั้น อับซาโลมก็ได้ทรงบอกเขาว่า “ดูสิ คำร้องของเจ้าก็ดีและถูกต้อง แต่กษัตริย์ไม่ได้ทรงตั้งใครไว้ให้ฟังเรื่องของเจ้า”

4 อับซาโลมได้กล่าวเสริมว่า “ข้าปรารถนาว่าข้าได้รับแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาในแผ่นดินนี้ ดังนั้น เมื่อใครมีข้อขัดแย้งหรือต้องการคำตัดสินจะมาหาข้า และข้าจะให้ความยุติธรรมแก่เขา” 5 ดังนั้น เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อมีใครเข้ามาหาอับซาโลมเพื่อคำนับพระองค์ อับซาโลมได้ยื่นมือพยุงคนนั้นไว้และจูบเขา 6 อับซาโลมทำอย่างนี้แก่คนอิสราเอลทั้งหมด ที่มาเฝ้ากษัตริย์เพื่อขอคำวินิจฉัย ดังนั้นอับซาโลมได้ชนะใจของบรรดาคนอิสราเอล

7 เมื่อล่วงมาจนถึงสิ้นปีที่สี่ที่อับซาโลมทูลกษัตริย์ว่า “ขอทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ไปและแก้บน ซึ่งข้าพระองค์ได้บนไว้ต่อพระยาห์เวห์ที่เมืองเฮโบรน 8 เพราะว่าผู้รับใช้ของพระองค์ได้บนไว้ เมื่อครั้งยังอยู่ในเมืองเกชูร์ในอารัมว่า ‘ถ้าพระยาห์เวห์ทรงนำข้าพระองค์กลับมายังกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่งจริงแล้ว ข้าพระองค์จะถวายนมัสการพระยาห์เวห์’” 9 ดังนั้นกษัตริย์ได้ตรัสตอบพระองค์ว่า “จงไปเป็นสุขเถิด” ดังนั้นอับซาโลมก็ลุกขึ้นและไปยังเมืองเฮโบรน

10 แต่แล้วอับซาโลมได้ส่งผู้สอดแนมไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า กล่าวว่า “ทันทีที่พวกท่านได้ยินเสียงแตรดังขึ้นเมื่อไร แล้วพวกท่านจงกล่าวว่า ‘อับซาโลมเป็นกษัตริย์ที่เฮโบรน’” 11 มีผู้ชายจำนวนสองร้อยคนจากกรุงเยรูซาเล็มได้ไปกับอับซาโลม เป็นคนที่ได้รับเชิญ คนเหล่านี้ไปด้วยความบริสุทธิ์ใจของพวกเขา ไม่รู้เรื่องทั้งสิ้นที่อับซาโลมวางแผนไว้ 12 ขณะเมื่ออับซาโลมถวายสัตวบูชาอยู่นั้น พระองค์ส่งคนไปเชิญอาหิโธเฟลมาจากกิโลห์เมืองของเขา เขาเป็นที่ปรึกษาของดาวิด การคบคิดกันของอับซาโลมก็เข้มแข็งขึ้น เพราะประชาชนที่มาติดตามอับซาโลมได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

13 ผู้สื่อสารคนหนึ่งได้มาเฝ้าดาวิด ทูลว่า “ใจของคนอิสราเอลคล้อยตามอับซาโลมไปแล้ว” 14 ดังนั้นดาวิดทรงรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มว่า “จงลุกขึ้น และให้เราหนีไปเถอะ มิเช่นนั้นจะไม่มีใครในพวกเราหนีจากอับซาโลม จงเตรียมหนีไปทันที มิฉะนั้น เขาจะตามพวกเราทันและนำเหตุร้ายมาถึงพวกเรา และเขาจะทำลายเมืองนี้เสียด้วยคมดาบ” 15 เหล่าข้าราชการของกษัตริย์จึงทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์พร้อมจะทำตามซึ่งกษัตริย์เจ้านายของพวกข้าพระองค์ตัดสินพระทัยทุกประการ”

16 กษัตริย์ได้ทรงจากไปและคนทั้งหมดในราชสำนักของพระองค์ก็ตามพระองค์ไป แต่กษัตริย์ทรงทิ้งผู้หญิงที่เป็นนางสนมไว้สิบคนให้เฝ้าพระราชวัง 17 หลังจากนั้นกษัตริย์ได้เสด็จออกไป ประชาชนทั้งสิ้นก็ตามพระองค์ไป และประทับที่บ้านที่อยู่หลังสุดท้าย 18 กองทัพทั้งสิ้นได้เดินทัพไปกับพระองค์ และต่อพระพักตร์ของพระองค์ บรรดาคนเคเรธีทั้งสิ้นและคนเปเลททั้งสิ้นกับคนกัททั้งสิ้น หกร้อยคนที่ได้ติดตามพระองค์มาจากเมืองกัท

19 แล้วกษัตริย์จึงตรัสกับอิททัยคนกัทว่า “ทำไมเจ้าจะไปกับพวกเราด้วย? จงกลับไปและอยู่กับกษัตริย์เพราะพวกเจ้าเป็นคนต่างด้าวและถูกเนรเทศมาด้วย จงกลับไปบ้านเมืองของพวกเจ้าเถิด 20 เนื่องจากพวกเจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ ทำไมเราจะให้พวกเจ้าเดินทางไปกับพวกเราด้วย? เราเองก็ยังไม่ทราบว่าเรากำลังจะไปที่ไหน ดังนั้นจงกลับไปเถิด และพาพวกพี่น้องของเจ้ากลับไปด้วย ขอความรักมั่นคงและความสัตย์จริงจงอยู่กับเจ้าเถิด” 21 แต่อิททัยทูลตอบกษัตริย์ว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด แน่นอนทีเดียว ไม่ว่าเจ้านายของข้าพระองค์เสด็จไปที่ไหน ผู้รับใช้ของพระองค์ก็ขอไปอยู่ที่นั่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเหตุให้มีชีวิตอยู่หรือตายก็ตาม”

22 ดังนั้นดาวิดได้ตรัสกับอิททัยว่า “จงไปและอยู่กับพวกเราต่อไป” ดังนั้นอิททัยชาวเมืองกัทจึงเดินทัพไปกับกษัตริย์พร้อมกับคนของเขาและครอบครัวของเขาทั้งหมดที่ได้อยู่กับเขา 23 ชาวเมืองทั้งหมดก็ร้องไห้เสียงดังเมื่อประชาชนทั้งสิ้นผ่านข้ามไปหุบเขาขิดโรน และที่กษัตริย์เองได้ข้ามผ่านไปเช่นกัน ประชาชนทั้งหมดเดินทางตามเส้นทางไปยังถิ่นทุรกันดาร 24 แม้แต่ศาโดกพร้อมด้วยคนเลวีทั้งสิ้น ที่หามหีบพันธสัญญาของพระเจ้าก็มาด้วย พวกเขาวางหีบของพระเจ้าลง และแล้วอาบียาธาร์ก็มาร่วมกับพวกเขาด้วย พวกเขารอจนประชาชนทั้งหมดได้ผ่านออกจากเมืองไป

25 กษัตริย์ได้ตรัสกับศาโดกว่า “จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมืองเถิด หากว่าพระยาห์เวห์ทรงโปรดปรานเรา พระองค์จะทรงนำเรากลับ และให้เราเห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ 26 แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่า ‘เราไม่พอใจเจ้า’ ดูเถิด เราอยู่ที่นี่ ขอพระองค์ทรงทำกับเราตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด” 27 กษัตริย์ตรัสกับศาโดกปุโรหิตว่า “ท่านเป็นผู้ทำนายไม่ใช่หรือ? จงกลับเข้าไปในเมืองโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับบุตรชายทั้งสองของท่าน คืออาหิมาอัสบุตรชายของท่าน และโยนาธานบุตรชายของอาบียาธาร์

28 ดูเถิด เราจะคอยอยู่ที่ท่าข้ามของอาราบาห์ จนกว่าจะมีข่าวมาจากพวกท่านให้เราทราบ” 29 ดังนั้นศาโดกกับอาบียาธาร์จึงหามหีบของพระเจ้ากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มและพวกเขาพักอยู่ที่นั่น 30 แต่ดาวิดได้เสด็จโดยพระบาทเปล่าและทรงกันแสงขึ้นไปบนภูเขามะกอกเทศ และพระองค์ทรงคลุมพระเศียร ประชาชนทั้งหมดที่อยู่กับพระองค์ก็คลุมศีรษะ และพวกเขาได้เดินขึ้นไปโดยร้องไห้พลางเดินไปพลาง

31 มีคนทูลดาวิดว่า “อาหิโธเฟลอยู่ในพวกสมคบคิดกับอับซาโลมด้วย” ดังนั้นดาวิดจึงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเปลี่ยนให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลโง่เขลาไป” 32 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อดาวิดมาถึงสุดถนนซึ่งเป็นที่นมัสการพระเจ้า หุชัยตระกูลอารคีได้เข้ามาเฝ้าพระองค์ ด้วยเสื้อคลุมที่ฉีกขาดและดินอยู่บนศีรษะของเขา 33 ดาวิดตรัสกับเขาว่า “ถ้าเจ้าข้ามไปกับเรา เจ้าจะเป็นภาระแก่เรา

34 แต่ถ้าเจ้ากลับเข้าไปในเมือง และกล่าวกับอับซาโลมว่า ‘ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระองค์ขอถวายตัวเป็นข้าของพระองค์ ดังที่ข้าพระบาทเป็นข้าของพระราชบิดาของพระองค์มาแต่กาลก่อนฉันใด ข้าพระองค์ก็ขอเป็นข้าของพระองค์ฉันนั้น’ แล้วเจ้าจะทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลสับสนเพื่อเรา 35 ศาโดกกับอาบียาธาร์พวกปุโรหิตก็อยู่กับเจ้าไม่ใช่หรือ? ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่เจ้าได้ยินในพระราชวัง เจ้าจะต้องบอกให้ศาโดกกับอาบียาธาร์พวกปุโรหิตทราบ 36 ดูเถิด พวกเขามีบุตรชายสองคนของเขาอยู่ด้วย คืออาหิมาอัสบุตรชายของศาโดก และโยนาธานบุตรชายของอาบียาธาร์ ท่านจงใช้ให้พวกเขามาบอกเราทุกเรื่องที่ท่านได้ยิน” 37 ดังนั้นหุชัย สหายของดาวิดจึงกลับเข้าไปในเมือง พอดีกับอับซาโลมได้มาถึงและเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม

16

1 เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทได้เข้ามาเฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อมกับบรรทุกขนมปังสองร้อยก้อน ลูกเกดหนึ่งร้อยพวง และผลมะเดื่อเทศอีกหนึ่งร้อยพวง กับเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง 2 กษัตริย์ตรัสกับศิบาว่า “เจ้านำสิ่งเหล่านี้มาทำไม?” ศิบาทูลตอบว่า “ลาคู่นั้นเพื่อราชวงศ์ของกษัตริย์จะได้ทรงขี่ ขนมปังและผลมะเดื่อเทศสำหรับพวกคนหนุ่มจะได้รับประทาน และเหล้าองุ่นเพื่อผู้ที่อ่อนเปลี้ยในถิ่นทุรกันดารจะได้ดื่ม” 3 กษัตริย์ตรัสว่า “หลานของเจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหน?” ศิบาทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด พระองค์ทรงพำนักอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เพราะพระองค์ตรัสว่า ‘วันนี้พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะคืนราชอาณาจักรของพระราชบิดาของเราให้แก่เรา’”

4 แล้วกษัตริย์ตรัสกับศิบาว่า “นี่แน่ะ บัดนี้ทรัพย์สมบัติของเมฟีโบเชทก็ตกเป็นของเจ้า” ศิบาทูลว่า “ ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอถวายบังคมด้วยใจถ่อม ขอให้ข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์" 5 เมื่อกษัตริย์ดาวิดเสด็จมายังตำบลบาฮูริม มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในตระกูลวงศ์วานซาอูล เขาออกมาที่นั่น ผู้ชายคนนี้มีชื่อว่า ชิเมอีบุตรชายของเกรา เขาเดินพลางสาปแช่งพลาง 6 เขาได้เอาหินขว้างดาวิด และได้ขว้างข้าราชการทั้งหมดของกษัตริย์ดาวิด ทหารทั้งหมดและนักรบทั้งหมดก็ได้อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของกษัตริย์

7 ชิเมอีได้สาปแช่งเสียงดังว่า “ไปให้พ้น ออกไปจากที่นี่ เจ้าวายร้าย เจ้าคนกระหายโลหิต 8 พระยาห์เวห์ทรงตอบสนองพวกเจ้าทุกคนในเรื่องที่เจ้าทำให้โลหิตหลั่งในพงศ์พันธุ์ของซาอูล ผู้ซึ่งเจ้าปกครองแทนอยู่นั้น พระยาห์เวห์ทรงมอบราชอาณาจักรไว้ในพระหัตถ์ของอับซาโลมราชบุตรชายของเจ้า เจ้าได้มาถึงการพังพินาศแล้ว เพราะเจ้าเป็นคนกระหายโลหิต” 9 แล้วอาบีชัยบุตรชายของนางเศรุยาห์จึงทูลกษัตริย์ว่า “ทำไมปล่อยให้สุนัขตายตัวนี้มาสาปแช่งกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์? ขอให้ข้าพระองค์ข้ามไปและตัดหัวของมัน”

10 แต่กษัตริย์ตรัสว่า “พวกบุตรชายของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับเจ้า? บางทีเขากำลังสาปแช่งเราเพราะพระยาห์เวห์ตรัสสั่งเขาว่า ‘จงสาปแช่งดาวิด’ แล้วใครจะสามารถพูดกับเขาว่า ‘ทำไมเจ้าจึงกำลังสาปแช่งกษัตริย์?’” 11 ดังนั้นดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ว่า “ดูเถิด ลูกของเรา ผู้ที่ได้เกิดจากร่างของเรา ยังแสวงหาชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น ทำไมคนเบนยามินคนนี้จะไม่ปรารถนาให้เราพินาศหรือ? ปล่อยเขาเถิด ให้เขาสาปแช่งไป เพราะพระยาห์เวห์ทรงสั่งให้เขาทำ 12 บางทีพระยาห์เวห์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของเรา และพระยาห์เวห์จะทรงปลดปล่อยเราและชดเชยเราด้วยการดีแทนคำสาปแช่งของเขาในวันนี้”

13 ดังนั้นดาวิดจึงทรงดำเนินไปตามทางพร้อมกับคนของพระองค์ ขณะที่ชิเมอีได้เดินข้างพระองค์ไปตามเนินเขา สาปแช่งและเอาฝุ่นซัดใส่และเอาหินขว้างพระองค์ขณะที่เดินไป 14 แล้วกษัตริย์กับทหารทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ก็เหนื่อยอ่อน และพระองค์ทรงพักผ่อนเมื่อพวกเขาหยุดพักในคืนนั้น 15 ขณะที่อับซาโลมและประชาชนอิสราเอลที่อยู่กับพระองค์ได้มาถึงกรุงเยรูซาเล็ม และอาหิโธเฟลได้มากับพระองค์ด้วย

16 เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหุชัยชาวอารคี สหายของดาวิดได้เข้าเฝ้าอับซาโลม หุชัยทูลอับซาโลมว่า “ขอกษัตริย์จงทรงพระเจริญ ขอกษัตริย์จงทรงพระเจริญ” 17 และอับซาโลมตรัสกับหุชัยว่า “นี่คือความจงรักภักดีต่อสหายของท่านหรือ? ทำไมท่านไม่ไปกับเขาเล่า?” 18 หุชัยทูลอับซาโลมว่า “ข้าพระองค์ไม่ไป ผู้ที่พระยาห์เวห์กับประชาชนเหล่านี้กับคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้เลือกตั้งใครไว้ ข้าพระองค์ก็จะอยู่กับผู้นั้น

19 ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพระองค์ควรจะปรนนิบัติใคร? ข้าพระองค์ไม่ควรปรนนิบัติพระโอรสของพระองค์หรือ? ข้าพระองค์ได้ปรนนิบัติพระราชบิดาของพระองค์มาแล้วฉันใด ข้าพระองค์ก็จะปรนนิบัติพระองค์ฉันนั้น” 20 แล้วอับซาโลมตรัสถามอาหิโธเฟลว่า “จงให้คำปรึกษาแก่เราว่าพวกเราจะทำอะไรดี ” 21 อาหิโธเฟลทูลอับซาโลมว่า “จงหลับนอนกับพวกนางสนมของพระราชบิดาของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงทิ้งไว้ให้เฝ้าพระราชวัง และคนอิสราเอลทั้งสิ้นจะได้ยินว่าพระองค์ได้ทำให้ตนเป็นที่เกลียดชังของพระราชบิดาของพระองค์แล้ว แล้วบรรดามือของคนทั้งหมดที่อยู่ฝ่ายพระองค์ก็จะเข้มแข็งขึ้น”

22 ดังนั้นพวกเขาจึงกางเต็นท์ให้อับซาโลมไว้บนดาดฟ้าหลังคาของพระราชวัง และอับซาโลมได้ทรงหลับนอนกับพวกนางสนมของพระราชบิดาของพระองค์ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้น 23 บัดนี้ คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ได้ทูลถวายในสมัยนั้น เหมือนกับว่าเขาได้รับพระดำรัสของพระเจ้าด้วยตัวเขาเอง นั่นคือคำปรึกษาทั้งหมดของอาหิโธเฟลได้รับพิจารณาทั้งดาวิดและอับซาโลม

17

1 แล้วอาหิโธเฟลได้ทูลอับซาโลมว่า “บัดนี้ขอโปรดให้ข้าพระองค์เลือกทหารหนึ่งหมื่นสองพันคน และข้าพระองค์จะยกทัพไล่ตามดาวิดในคืนนี้ 2 ข้าพระองค์จะไปทันพระองค์ท่าน เมื่อพระองค์ยังเหน็ดเหนื่อยและอ่อนกำลัง และจะทำให้พระองค์ท่านประหลาดใจด้วยความกลัว ทหารทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ท่านก็จะหนีไป ข้าพระองค์ก็จะฆ่าฟันกษัตริย์เท่านั้น 3 ข้าพระองค์จะนำทหารทั้งปวงกลับมาเข้าฝ่ายพระองค์ เหมือนกับเจ้าสาวกำลังมาหาสามีของเธอ และ ประชาชนทั้งปวงก็จะสงบสุขภายใต้การปกครองของพระองค์”

4 สิ่งที่อาหิโธเฟลได้ทูลได้เป็นที่พอพระทัยอับซาโลม และเป็นที่พอใจแก่บรรดาผู้ใหญ่แห่งอิสราเอล 5 แล้วอับซาโลมตรัสว่า “บัดนี้จงเรียกหุชัยคนอารคีเข้ามา และให้เราฟังว่าเขาจะพูดอย่างไร” 6 เมื่อหุชัยเข้ามาเฝ้าอับซาโลมแล้ว อับซาโลมจึงทรงอธิบายให้เขาฟังถึงสิ่งที่อาหิโธเฟลได้กล่าวไว้และตรัสถามหุชัยว่า "ควรที่เราจะทำตามคำแนะนำของอาหิโธเฟลหรือไม่? ถ้าไม่ ท่านจงบอกเราว่าท่านแนะนำอย่างไร”

7 ดังนั้นหุชัยจึงทูลอับซาโลมว่า “คำปรึกษาซึ่งอาหิโธเฟลแนะนำในครั้งนี้ไม่ดี” 8 หุชัยทูลต่อไปว่า “พระองค์เองทรงทราบแล้วว่า พระราชบิดาของพระองค์และพวกของพระองค์เป็นเหล่านักรบ และจิตใจของพวกเขากำลังโกรธและพวกเขาเป็นเหมือนหมีที่ลูกถูกลักเอาไปในทุ่ง พระราชบิดาของพระองค์ทรงชำนาญศึก พระองค์จะไม่ทรงพักอยู่กับกองทัพในคืนนี้ 9 ดูเถิด ถึงขณะนี้พระองค์ได้ทรงซ่อนอยู่ในหลุมบางแห่งหรือในอีกที่หนึ่ง แล้วสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อทหารของพระองค์ได้ล้มตายในการเริ่มจู่โจม ใครก็ตามที่ได้ยินเรื่องนี้ก็จะกล่าวว่า ‘พวกทหารที่ติดตามอับซาโลมได้ถูกฆ่าตาย’

10 จากนั้น แม้แต่ทหารที่กล้าหาญที่สุด ที่จิตใจเหมือนอย่างใจสิงห์ก็จะกล้ว เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นทราบว่า พระราชบิดาทรงเป็นทหารที่กล้าแกร่ง และเหล่าทหารที่อยู่กับพระองค์เข้มแข็งมาก 11 ดังนั้น ข้าพระองค์ขอทูลให้คำปรึกษาว่าพระองค์ควรที่จะทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมด ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ให้มากมายดั่งทรายที่ทะเล และพระองค์ก็เสด็จไปรบด้วยพระองค์เอง 12 แล้วพวกเราจะเข้ารบกับเขาในที่ที่พวกเราพบเขา และพวกเราจะเข้าโจมตีเหมือนน้ำค้างตกเหนือพื้นดิน เราจะไม่ให้มีใครเหลือรอดแม้แต่คนเดียว หรือแม้แต่ตัวดาวิดเอง

13 ถ้าเขาถอยไปรวมกันในเมือง แล้วคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็จะเอาเชือกเข้าไปในเมืองและเราจะลากมันลงไปในแม่น้ำ จนกระทั่งไม่มีใครหาก้อนกรวดสักก้อนหนึ่งเจอที่นั่น” 14 แล้วอับซาโลมและคนอิสราเอลทั้งปวงได้กล่าวว่า “คำปรึกษาของหุชัยคนอารคีดีกว่าคำปรึกษาของอาหิโธเฟล” พระยาห์เวห์ทรงหนุนนำคำปฏิเสธต่อคำปรึกษาอันดีของอาหิโธเฟล เพื่อจะทรงนำหายนะมายังอับซาโลม 15 แล้วหุชัยจึงกล่าวกับศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิตทั้งสองว่า “อาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษาอย่างนั้นอย่างนี้แก่อับซาโลมและพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล แต่ข้าพเจ้าให้คำปรึกษาอย่างอื่น

16 บัดนี้จงรีบส่งคนไปทูลดาวิดให้ทรงทราบว่า ‘คืนนี้อย่าทรงพักแรมในท่าข้ามของแม่น้ำอาราบาห์ แต่ให้เสด็จข้ามไปให้ได้ มิฉะนั้นกษัตริย์จะทรงถูกกลืนไปพร้อมกับประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์'" 17 บัดนี้โยนาธานและอาหิมาอัสกำลังคอยอยู่ที่เอนโรเกลแล้ว มีสาวใช้คนหนึ่งเคยไปและบอกให้ทั้งสองทราบ เพราะเขาทั้งสองไม่สามารถจะเสี่ยงให้คนเห็นในเมือง เมื่อผู้สื่อสารมาถึง แล้วพวกเขาก็ไปและทูลกษัตริย์ดาวิดให้ทรงทราบ 18 แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเห็นพวกเขาในครั้งนี้ และไปทูลอับซาโลมให้ทรงทราบ ดังนั้นโยนาธานและอาหิมาอัสก็รีบไปอย่างรวดเร็ว และมาถึงบ้านของผู้ชายคนหนึ่งที่บาฮูริม ที่มีบ่อน้ำอยู่ที่ลานบ้าน ที่พวกเขาได้ลงไปอยู่ในบ่อนั้น

19 ภรรยาของผู้ชายคนนั้นได้เอาผ้ามาปูปิดปากบ่อ และได้เกลี่ยปลายข้าวตากอยู่บนนั้น ดังนั้นไม่มีใครทราบว่าโยนาธานและอาหิมาอัสอยู่ในบ่อน้ำ 20 ทหารของอับซาโลมได้มาหาผู้หญิงเจ้าของบ้าน และกล่าวว่า "อาหิมาอัสและโยนาธานอยู่ที่ไหน?" ผู้หญิงนั้นก็บอกพวกเขาว่า “พวกเขาได้ข้ามลำธารไปแล้ว” ดังนั้นเมื่อพวกเขาหาดูรอบๆ และค้นหาไม่พบพวกเขา พวกเขาก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 21 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้น หลังจากที่พวกเขาเหล่านั้นไปแล้ว โยนาธานและอาหิมาอัสได้ขึ้นมาจากบ่อ พวกเขาไปทูลกษัตริย์ดาวิดให้ทรงทราบ เขาทั้งสองทูลดาวิดว่า “ขอทรงลุกขึ้นและรีบข้ามแม่น้ำไป เพราะว่าอาหิโธเฟลให้คำปรึกษาอย่างนั้นอย่างนี้เกี่ยวกับพระองค์”

22 แล้วดาวิดก็ทรงลุกขึ้น และทหารทั้งหมดที่อยู่กับพระองค์ และพวกเขาก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน พอรุ่งเช้าก็ไม่มีเหลือสักคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน 23 เมื่ออาหิโธเฟลเห็นว่าไม่มีใครทำตามคำปรึกษาของเขา เขาก็ผูกอานลาและจากไปยังเมืองของเขา จัดการเรื่องครอบครัวของเขาเข้าที่เข้าทางและได้แขวนคอตัวเอง เขาก็ตายและฝังไว้ที่อุโมงค์บิดาของเขา 24 แล้วดาวิดเสด็จมายังเมืองมาหะนาอิม ส่วนอับซาโลมเองก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน พระองค์รวมทั้งคนอิสราเอลทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ด้วย

25 อับซาโลมทรงตั้งอามาสาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ อามาสาเป็นบุตรชายของเยเธอร์คนอิชมาเอลที่ได้นอนกับอาบีกัล ผู้ที่เป็นบุตรีของนาหาช น้องสาวของนางเศรุยาห์มารดาของโยอาบ 26 แล้วคนอิสราเอลและอับซาโลม ได้ตั้งค่ายอยู่ในแผ่นดินกิเลอาด 27 เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อดาวิดไเสด็จมาถึงมาหะนาอิม ที่โชบีบุตรชายของนาหาชจากเมืองรับบาห์แห่งคนอัมโมน และมาคีร์บุตรชายของอัมมีเอลชาวโลเดบาร์ และบารซิลลัยชาวกิเลอาดจากเมืองโรเกลิม

28 ได้ขนที่นอน และผ้าห่ม ชามและหม้อ และข้าวสาลี และแป้งบาร์เลย์ ข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วแดง และเมล็ดถั่ว 29 น้ำผึ้ง เนย แกะ และเนยแข็งที่ได้มาจากฝูงสัตว์ ดังนั้นดาวิด และให้พวกทหารที่อยู่กับพระองค์ได้รับประทาน พวกเขาพูดว่า “พวกทหารหิวและอ่อนเพลีย และกระหายอยู่ในถิ่นทุรกันดาร”

18

1 ดาวิดตรวจนับเหล่าทหารที่ได้อยู่กับพระองค์ และทรงแต่งตั้งผู้บังคับบัญชาระดับนายพันและนายร้อยให้พวกเขา 2 แล้วดาวิดทรงส่งกองทัพออกไป หนึ่งในสามให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของโยอาบ และอีกหนึ่งในสามให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของอาบีชัย บุตรชายของนางเศรุยาห์ น้องชายของโยอาบ และอีกหนึ่งในสามให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของอิททัยคนกัท กษัตริย์ตรัสกับกองทัพว่า “เราเองจะออกไปกับพวกท่านแน่นอนด้วยตัวเราเองเช่นกัน” 3 แต่พวกทหารเหล่านั้นทูลว่า “ขอพระองค์อย่าเสด็จไปในการต่อสู้เลย เพราะว่าถ้าพวกข้าพระองค์จะหนีไป พวกเขาก็ไม่สนใจพวกข้าพระองค์ หรือถ้าพวกข้าพระองค์ตายเสียสักครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็ไม่สนใจพวกข้าพระองค์ แต่พระองค์ทรงมีค่าเท่ากับพวกข้าพระองค์หนึ่งหมื่นคน เพราะฉะนั้นขอพระองค์ทรงเตรียมพร้อมที่จะช่วยพวกข้าพระองค์จากในเมืองจะดีกว่า”

4 ดังนั้นกษัตริย์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราจะทำอะไรก็ตามที่พวกท่านเห็นว่าดีที่สุด" กษัตริย์จึงทรงยืนที่ข้างประตูเมืองขณะที่ทหารทั้งหมดเดินออกไปเป็นกองร้อยและเป็นกองพัน 5 กษัตริย์ทรงบัญชาโยอาบ อาบีชัย และอิททัยกล่าวว่า “จงเบามือกับชายหนุ่มนั้น กับอับซาโลม เพื่อเห็นแก่เราเถิด” เหล่าคนทั้งปวงได้ยินคำบัญชาซึ่งกษัตริย์ตรัสสั่งแก่ผู้บังคับบัญชาทั้งหลายด้วยเรื่องเกี่ยวกับอับซาโลม 6 ดังนั้น กองทัพจึงออกไปแถบชนบทเพื่อสู้รบกับคนอิสราเอล การสงครามนั้นขยายเข้าไปในป่าเอฟราอิม

7 กองทัพของอิสราเอลพ่ายแพ้แก่พวกทหารของดาวิดที่นั่น ได้มีการฆ่าฟันกันอย่างหนักที่นั่น ในวันนั้นมีทหารตายสองหมื่นคน 8 สงครามกระจายไปทั่วชนบท และมีคนที่ตายเพราะป่ามากกว่าตายเพราะดาบ 9 อับซาโลมไปพบพวกทหารของดาวิดเข้า อับซาโลมกำลังทรงล่ออยู่ และล่อนั้นได้วิ่งเข้าไปใต้กิ่งใหญ่ของต้นโอ๊กขนาดใหญ่ พระเศียรของพระองค์ก็ทรงติดกิ่งต้นโอ๊กแน่น พระองค์ได้ถูกแขวนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน ขณะที่ล่อที่พระองค์ทรงมานั้นวิ่งเลยไป

10 มีบางคนมาเห็นสิ่งนี้และไปแจ้งให้โยอาบทราบว่า “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมแขวนอยู่ที่ต้นโอ๊ก” 11 โยอาบพูดกับผู้ชายที่แจ้งให้เขาเกี่ยวกับอับซาโลม “ดูเถิด เจ้าเห็นพระองค์แล้ว ทำไมเจ้าจึงไม่ได้ฟันพระองค์ให้ตกพื้นดินเล่า? เราก็จะได้ให้เงินสิบเชเขลกับเข็มขัดหนึ่งเส้นแก่เจ้า” 12 ผู้ชายคนนั้นตอบโยอาบว่า “ถึงแม้ว่าถ้าข้าพเจ้าได้รับเงินหนึ่งพันเชเขล ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำร้ายพระราชโอรสของกษัตริย์ เพราะว่าพวกเราได้ยินกษัตริย์ทรงบัญชาท่าน อาบีชัยและอิททัยว่า ‘จะไม่มีใครแตะต้องอับซาโลมชายหนุ่มนั้น’

13 ถ้าข้าพเจ้าจะเสี่ยงชีวิตของของข้าพเจ้าโดยไม่ถูกต้อง (และไม่มีอะไรปิดบังให้พ้นกษัตริย์) ท่านเองก็จะทอดทิ้งข้าพเจ้า” 14 แล้วโยอาบจึงกล่าวว่า “เราไม่ควรเสียเวลากับเจ้าเช่นนี้” ดังนั้นเขาได้จับหลาวสามอันไว้ในมือแทงเข้าไปในหัวใจของอับซาโลมขณะที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่และและกำลังแขวนติดอยู่บนต้นโอ๊ก 15 แล้วทหารหนุ่มสิบคนที่ถือเครื่องรบของโยอาบได้ล้อมอับซาโลมไว้ ได้จู่โจมพระองค์และได้ประหารพระองค์

16 แล้วโยอาบก็เป่าแตร และกองทัพได้กลับจากการไล่ตามอิสราเอล เพราะโยอาบได้ยับยั้งกองทัพไว้ 17 พวกเขาได้นำอับซาโลมลงมาและโยนลงไปในบ่อใหญ่ในป่า พวกเขาฝังร่างของพระองค์ภายใต้หินกองใหญ่มหึมา ขณะที่คนอิสราเอลทั้งสิ้นต่างก็หนีกลับไปที่อยู่ของตน 18 บัดนี้อับซาโลมในขณะที่ยังทรงมีชีวิตอยู่นั้น ได้ทรงตั้งเสาไว้สำหรับพระองค์เองที่หุบเขาของกษัตริย์ เพราะพระองค์ทรงกล่าวว่า “เราไม่มีบุตรชายที่จะสืบความทรงจำของชื่อของเรา” ดังนั้นมีการเรียกเสานั้นตามชื่อของพระองค์ เขาเรียกกันว่า อนุสรณ์อับซาโลม จนทุกวันนี้

19 แล้วอาหิมาอัสบุตรชายของศาโดกกล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งนำข่าวดีไปทูลกษัตริย์ ถึงการที่พระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้พระองค์ให้พ้นจากมือศัตรูของพระองค์” 20 โยอาบได้พูดกับเขาว่า “ท่านอย่าเป็นคนนำข่าวไปในวันนี้เลย ท่านจงนำข่าวในวันอื่นเถิด วันนี้ท่านอย่านำข่าวเลย เพราะว่าพระราชโอรสของกษัตริย์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว” 21 แล้วโยอาบก็สั่งชาวคูชคนหนึ่งว่า “จงไปทูลกษัตริย์ให้ทรงทราบ ตามสิ่งที่เจ้าได้เห็น” ชาวคูชคนนั้นได้ย่อตัวลงคำนับโยอาบ แล้วก็วิ่งไป

22 แล้วอาหิมาอัสบุตรชายของศาโดกจึงกล่าวกับโยอาบอีกว่า “ขออย่าได้คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลย ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งตามชาวคูชคนนั้นไปด้วย” โยอาบตอบว่า “ ทำไมเจ้าจึงอยากจะวิ่ง บุตรชายของเราเอ๋ย เพราะว่าเจ้าจะไม่ได้รับรางวัลอะไรเลยจากการส่งข่าวนี้มิใช่หรือ?” 23 อาหิมาอัสตอบว่า “ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะขอวิ่งไป” ดังนั้นโยอาบจึงบอกเขาว่า “จงวิ่งไปเถิด” แล้วอาหิมาอัสก็วิ่งไปตามทางที่ราบ และวิ่งขึ้นหน้าชาวคูชไป 24 ขณะนั้นดาวิดประทับอยู่ระหว่างข้างในและข้างนอกประตูเมือง มีทหารยามขึ้นไปอยู่บนหลังคาประตูกำแพงเมือง เมื่อเขามองดู เขาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งใกล้เข้ามาตามลำพัง

25 ทหารยามคนนั้นก็ร้องตะโกนและทูลกษัตริย์และกษัตริย์ตรัสว่า “ถ้าเขามาลำพัง ก็มีข่าวในปากของเขา” ผู้ชายก็เข้ามาใกล้และใกล้กับเมือง 26 แล้วทหารยามสังเกตเห็นชายอีกคนหนึ่งกำลังวิ่งมา และทหารยามได้ร้องบอกไปที่นายประตูเมือง เขาพูดว่า “ดูสิ มีผู้ชายอีกคนหนึ่งวิ่งมาแต่ลำพัง” กษัตริย์ตรัสว่า “เขาก็เป็นคนนำข่าวมาด้วย” 27 ดังนั้นทหารยามนั้นทูลว่า “ข้าพระองค์คิดว่าคนที่วิ่งมาก่อน วิ่งเหมือนอาหิมาอัสบุตรชายของศาโดก” กษัตริย์ตรัสว่า “เขาเป็นคนดี เขากำลังมาพร้อมกับข่าวดี”

28 แล้วอาหิมาอัสร้องเรียกและทูลกษัตริย์ว่า “ขอสวัสดิภาพมีแด่ทุกคน” เขาได้ย่อตัวลงเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ ซบหน้าลงถึงพื้นและทูลว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ พระองค์ทรงมอบบรรดาผู้ที่ยกมือของพวกเขาต่อสู้กับกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์แล้ว” 29 ดังนั้นกษัตริย์ตรัสถามว่า “อับซาโลม ชายหนุ่มคนนั้นสบายดีไหม?” อาหิมาอัสทูลตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เมื่อโยอาบใช้ข้าพระองค์ผู้รับใช้ของกษัตริย์มา ข้าพระองค์เห็นการสับสนอย่างยิ่งยวด แต่ข้าพระองค์ไม่ทราบเรื่องนั้นเลย ” 30 กษัตริย์ตรัสว่า “จงหลีกมาข้างๆ และมายืนตรงนี้” ดังนั้นอาหิมาอัสจึงหลีกมา และยืนนิ่งอยู่

31 ทันใดนั้น ชาวคูชนั้นก็มาถึงและทูลว่า “มีข่าวดีถวายแด่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ เพราะในวันนี้พระยาห์เวห์ทรงแก้แค้นให้พระองค์ทรงพ้นจากมือของบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้พระองค์” 32 แล้วกษัตริย์ตรัสถามชาวคูชนั้นว่า “อับซาโลม ชายหนุ่มนั้นสบายดีไหม?” ชาวคูชนั้นทูลตอบว่า “ขอให้บรรดาศัตรูของกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์และคนทั้งปวงที่ลุกขึ้นทำร้ายพระองค์ให้เป็นเหมือนชายหนุ่มคนนั้นเถิด” 33 แล้วกษัตริย์ทรงโทมนัสนัก และพระองค์เสด็จขึ้นไปบนห้องที่อยู่เหนือประตู และทรงกันแสง ขณะที่พระองค์เสด็จไปพระองค์ทรงเสียพระทัยได้ตรัสว่า “โอ อับซาโลมลูกพ่อ ลูกพ่อ อับซาโลมลูกพ่อ พ่อเองอยากจะตายแทนเจ้า โอ อับซาโลมลูกพ่อ ลูกพ่อ”

19

1 โยอาบได้รับการบอกกล่าวว่า “ดูเถิด กษัตริย์ทรงกันแสงและไว้ทุกข์เพื่ออับซาโลม” 2 เพราะฉะนั้น ชัยชนะในวันนั้นได้กลายเป็นการไว้ทุกข์ของทหารทั้งปวง เพราะในวันนั้นพวกทหารได้ยินว่า “กษัตริย์ทรงโทมนัสเพราะโอรสของพระองค์” 3 ในวันนั้นพวกทหารแอบเข้ามาในเมืองอย่างเงียบๆ เหมือนกับพวกทหารที่แอบหนีมาอย่างน่าละอาย เมื่อพวกเขาหนีศึกกลับมา

4 กษัตริย์ทรงคลุมพระพักตร์และทรงกันแสงและทรงรำพันเสียงดังว่า “โอ อับซาโลมลูกเอ๋ย โอ อับซาโลม ลูกพ่อ ลูกพ่อ” 5 แล้วโยอาบก็เข้ามาในวังเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์และทูลว่า “วันนี้พระองค์ทรงทำให้ข้าราชการทหารทั้งสิ้นของพระองค์ได้รับความละอาย พวกเขาได้ช่วยชีวิตของพระองค์ในวันนี้ ทั้งชีวิตของบรรดาราชโอรสและราชธิดาและชีวิตของบรรดามเหสีและชีวิตของบรรดาสนมของพระองค์ 6 เพราะว่าพระองค์ทรงรักผู้ที่เกลียดชังพระองค์ และทรงเกลียดชังผู้ที่รักพระองค์ เพราะในวันนี้ พระองค์ทรงทำให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า บรรดานายทหารและทหารทั้งหลายไม่มีค่าสำหรับพระองค์ ในวันนี้ข้าพระองค์เชื่อว่า ถ้าอับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ และพวกข้าพระองค์ทั้งหลายได้ตายสิ้น แล้วนั่นแหละที่พระองค์จะทรงพอพระทัย

7 บัดนี้ขอพระองค์ทรงลุกขึ้นและขอเสด็จออกไปตรัสให้กำลังใจแก่เหล่าทหารของพระองค์ เพราะข้าพระองค์ปฏิญาณในพระนามพระยาห์เวห์ว่า ถ้าพระองค์ไม่เสด็จไป จะไม่มีชายสักคนหนึ่งค้างอยู่กับพระองค์ในคืนนี้ นั่นก็จะร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุร้ายอื่นๆ ทั้งสิ้นซึ่งบังเกิดแก่พระองค์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มาจนถึงบัดนี้” 8 ดังนั้นกษัตริย์จึงทรงลุกขึ้น และประทับที่ประตูเมือง และประชาชนทั้งปวงได้รับการบอกเล่าว่า “ดูสิ กษัตริย์ประทับอยู่ที่ประตูเมือง” ประชาชนทั้งหลายได้มาเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ของกษัตริย์ ฝ่ายอิสราเอลนั้นต่างคนต่างก็หนีไปยังที่อาศัยของตนหมดแล้ว 9 ประชาชนทั้งสิ้นก็โต้แย้งกันไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า กล่าวว่า “กษัตริย์เคยทรงช่วยกู้เราให้พ้นจากมือบรรดาศัตรูของเรา และทรงช่วยพวกเราให้พ้นจากมือพวกฟีลิสเตีย แต่บัดนี้พระองค์ทรงหนีออกจากแผ่นดินเพราะเหตุแห่งอับซาโลม

10 อับซาโลมผู้ที่เราได้เจิมตั้งไว้เหนือเรานั้นได้สิ้นพระชนม์แล้วในสงคราม ดังนั้น ทำไมพวกเจ้าไม่พูดอะไรบ้างเลยในเรื่องที่จะทูลเชิญกษัตริย์ให้เสด็จกลับเล่า?” 11 กษัตริย์ดาวิดทรงส่งคนไปหาศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิตทั้งสอง รับสั่งว่า “จงพูดกับพวกผู้อาวุโสของคนยูดาห์ว่า ‘ทำไมพวกท่านจึงเป็นคนสุดท้ายที่จะทูลเชิญกษัตริย์เสด็จกลับพระราชวังของพระองค์ ในเมื่อมีถ้อยคำมาจากอิสราเอลทั้งปวงชื่นชมถึงกษัตริย์ ให้เสด็จกลับพระราชวังของพระองค์เล่า? 12 พวกท่านเป็นญาติของเรา เป็นกระดูกและเนื้อของเรา ทำไมพวกท่านจึงจะเป็นคนสุดท้ายที่จะทูลเชิญกษัตริย์กลับ?’

13 แล้วจงบอกอามาสาว่า ‘ท่านไม่ได้เป็นกระดูกและเนื้อของเราหรือ? ขอพระเจ้าทรงลงโทษเรา และทรงเพิ่มโทษนั้น ถ้าท่านมิได้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพต่อหน้าเราแทนโยอาบตั้งแต่บัดนี้ไป’” 14 ดังนั้นพระองค์ทรงชนะใจของคนยูดาห์ทั้งปวงราวกับจิตใจของผู้ชายคนเดียว พวกเขาจึงส่งคนไปทูลกษัตริย์ว่า “ขอพระองค์เสด็จกลับพร้อมกับข้าราชการทั้งหมด” 15 ดังนั้นกษัตริย์จึงเสด็จกลับและมายังแม่น้ำจอร์แดน บัดนี้คนยูดาห์ได้พากันมาที่กิลกาลเพื่อรับเสด็จกษัตริย์และนำกษัตริย์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน

16 ชิเมอี บุตรชายของเกรา คนเบนยามินผู้มาจากบาฮูริม ได้รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อจะรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด 17 มีคนจากเผ่าเบนยามินพร้อมกับเขาหนึ่งพันคน และศิบามหาดเล็กของซาอูล พร้อมกับบุตรชายสิบห้าคน และคนใช้อีกยี่สิบคน พวกเขาได้รีบข้ามแม่น้ำจอร์แดนเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ 18 พวกเขาได้ข้ามมาเพื่อนำราชวงศ์ของกษัตริย์และคอยทำสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบ ชิเมอีบุตรชายของเกรา ได้โน้มตัวลงเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ก่อนที่พระองค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน

19 ชิเมอีทูลกษัตริย์ว่า “ขออย่าทรงถือโทษการล่วงละเมิดของข้าพระองค์ และขออย่าทรงจดจำความผิดที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ทำอย่างดื้อรั้นในวันที่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์เสด็จออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ขอกษัตริย์อย่าทรงจดจำไว้ในพระทัย 20 ด้วยผู้รับใช้ของพระองค์ทราบแล้วว่าข้าพระองค์เองได้ทำบาป ดูเถิด นี่เห็นเหตุผลว่าทำไมในวันนี้ข้าพระองค์มาเป็นคนแรกในพงศ์พันธุ์โยเซฟทั้งหมด ที่ลงมารับเสด็จกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์” 21 แต่อาบีชัยบุตรชายของนางเศรุยาห์ตอบว่า “ชิเมอีไม่สมควรตายเพราะสิ่งนี้ดอกหรือ เพราะเขาได้แช่งด่าผู้ที่รับการเจิมของพระยาห์เวห์?”

22 แล้วดาวิดตรัสว่า “บุตรชายทั้งสองของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับท่าน ซึ่งในวันนี้ท่านจะมาเป็นปฏิปักษ์กับเรา? ในวันนี้ควรที่จะให้ใครในอิสราเอลมีโทษถึงตายหรือ? เพราะเราจะไม่ทราบหรือว่าเราเองเป็นกษัตริย์ครอบครองอิสราเอล?” 23 ดังนั้นกษัตริย์ตรัสกับชิเมอีว่า “เจ้าจะไม่ตาย” แล้วกษัตริย์ก็ทรงให้คำสัญญาด้วยคำปฏิญาณ 24 แล้วเมฟีโบเชท พระราชโอรสของซาอูลก็ลงมารับเสด็จกษัตริย์ พระองค์ไม่ได้ทรงแต่งพระบาทหรือขลิบเคราของพระองค์ หรือทรงซักฉลองพระองค์ของพระองค์ตั้งแต่วันที่กษัตริย์เสด็จจากไปจนวันที่พระองค์เสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ

25 ดังนั้นเมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจะรับเสด็จ กษัตริย์ตรัสถามว่า “เมฟีโบเชท ทำไมท่านไม่ได้ไปกับเรา?” 26 พระองค์ทูลตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ มหาดเล็กของข้าพระองค์ได้หลอกลวงข้าพระองค์ เพราะผู้รับใช้ของพระองค์บอกเขาว่า ‘ข้าจะผูกอานลาตัวหนึ่งเพื่อข้าจะได้ขี่ไปตามเสด็จกษัตริย์ เพราะว่าผู้รับใช้ของพระองค์พิการ' 27 เขากลับไปทูลกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ใส่ร้ายผู้รับใช้ของพระองค์ แต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์เหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า ดังนั้น ขอทรงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นว่าดีในสายพระเนตรของพระองค์เถิด

28 เพราะว่าเชื้อวงศ์ราชบิดาของข้าพระองค์ทั้งสิ้นนั้นเป็นแต่คนที่สมควรตาย เฉพาะพระพักตร์กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ แต่พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งผู้รับใช้ของพระองค์ไว้ในหมู่ผู้ที่รับประทานร่วมโต๊ะเสวยของพระองค์ ข้าพระองค์จะสมควรหรือที่จะยังคงร้องทูลต่อกษัตริย์อีก?” 29 แล้วกษัตริย์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจะพูดเรื่องราวของท่านต่อไปทำไม? เราได้ตัดสินใจแล้วว่าท่านกับศิบาจงแบ่งที่ดินกัน” 30 ดังนั้นเมฟีโบเชททูลกษัตริย์ว่า “เมื่อกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์เสด็จกลับสู่พระราชวังโดยสวัสดิภาพเช่นนี้แล้ว ก็ให้ศิบารับไปหมดเถิด”

31 แล้วบารซิลลัย ชาวกิเลอาดได้ลงมาจากโรเกลิม เพื่อข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์ และเขาส่งกษัตริย์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป 32 บัดนี้บารซิลลัยเป็นคนชรามากแล้ว อายุแปดสิบปี เขาได้นำเสบียงอาหารมาถวายกษัตริย์ขณะพระองค์ประทับที่มาหะนาอิมเพราะเขาเป็นคนมั่งมีมาก 33 กษัตริย์จึงตรัสกับบารซิลลัยว่า “จงข้ามมาอยู่กับเรา และเราจะเลี้ยงดูเจ้าให้อยู่กับเราที่กรุงเยรูซาเล็ม”

34 บารซิลลัยทูลกษัตริย์ว่า “ข้าพระองค์จะอยู่ต่อไปได้อีกกี่ปี ที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปอยู่กับกษัตริย์ที่กรุงเยรูซาเล็ม? 35 ข้าพระองค์มีอายุแปดสิบปีแล้ว ข้าพระองค์จะสามารถแยกว่าอะไรดีอะไรชั่วได้หรือ? ผู้รับใช้ของพระองค์จะลิ้มรสอร่อยของสิ่งที่กินและดื่มได้หรือ? ข้าพระองค์จะฟังเสียงนักร้องชายและหญิงร้องเพลงได้อีกหรือ? ทำไมจะให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นภาระเพิ่มแก่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์อีกเล่า? 36 ผู้รับใช้ของพระองค์ประสงค์จะตามเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนกับกษัตริย์เท่านั้น ไฉนกษัตริย์จะทรงตอบแทนด้วยรางวัลเช่นนี้เล่า?

37 ขอให้ผู้รับใช้ของพระองค์ได้กลับไปเพื่อจะตายในเมืองของข้าพระองค์ ใกล้ที่ฝังศพบิดามารดาของข้าพระองค์ แต่ขอจงทรงทอดพระเนตรเถิด นี่คือคิมฮามผู้รับใช้ของพระองค์ โปรดให้เขาตามเสด็จกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ไป ขอทรงทำต่อเขาตามที่ทรงเห็นควร” 38 กษัตริย์ตรัสตอบว่า “คิมฮามจะข้ามไปกับเรา เราจะทำคุณแก่เขาตามที่เจ้าเห็นควร สิ่งใดก็ตามที่เจ้าปรารถนาจากเรา เรายินดีทำให้เจ้า” 39 แล้วประชาชนทั้งสิ้นก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และกษัตริย์ก็เสด็จข้ามไป กษัตริย์ทรงจูบบารซิลลัย และได้อวยพรเขา แล้วบารซิลลัยก็กลับไปยังที่อยู่ของเขา

40 ดังนั้นกษัตริย์ได้เสด็จข้ามไปยังกิลกาล และคิมฮามก็ข้ามตามพระองค์ กองทัพของยูดาห์ทั้งหมดก็นำกษัตริย์ข้ามมา และครึ่งหนึ่งของกองทัพอิสราเอลด้วย 41 ในไม่ช้าอิสราเอลทั้งหมดก็เริ่มมาเฝ้ากษัตริย์และทูลกษัตริย์ว่า “ไฉนพี่น้องของเราคนยูดาห์จึงได้ลักพาพระองค์ไปเสียและนำกษัตริย์และราชวงศ์ของพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป และพร้อมกับคนของดาวิดทั้งหมด?” 42 ดังนั้น คนยูดาห์ทั้งปวงจึงตอบคนอิสราเอลว่า “เพราะว่ากษัตริย์ทรงเป็นญาติสนิทกับเรา ท่านทั้งหลายจะโกรธด้วยเรื่องนี้ทำไมเล่า? พวกเราได้กินสิ่งใดที่กษัตริย์ต้องจ่ายให้หรือไม่? พระองค์ให้รางวัลอะไรแก่เราหรือ?” 43 คนอิสราเอลได้ตอบคนยูดาห์ว่า “เรามีสิบเผ่าที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกษัตริย์ ดังนั้นเรามีสิทธิ์ในดาวิดมากกว่าพวกท่าน ทำไมพวกท่านจึงดูถูกเราเช่นนี้? ไม่ใช่พวกเราที่เป็นพวกแรกหรือที่เสนอให้นำกษัตริย์ของพวกเรากลับมา?" แต่ถ้อยคำของคนยูดาห์ก็รุนแรงกว่าถ้อยคำของคนอิสราเอล

20

1 ที่เดียวกันนั้นมีคนก่อกวนคนหนึ่งชื่อเชบาบุตรชายของบิครีคนเบนยามิน เขาเป่าแตรและกล่าวว่า “เราไม่มีส่วนในดาวิด เราก็ไม่ได้มีมรดกในบุตรชายของเจสซี อิสราเอลเอ๋ย ให้ทุกคนกลับบ้านของตนเอง" 2 ดังนั้น คนอิสราเอลทั้งปวงก็ละจากดาวิดและติดตามเชบาบุตรชายของบิครี แต่คนยูดาห์ยังติดตามกษัตริย์ของพวกเขาอย่างใกล้ชิด จากแม่น้ำจอร์แดนตลอดทางไปถึงเยรูซาเล็ม 3 เมื่อดาวิดเสด็จกลับมาที่พระราชวังที่เยรูซาเล็ม พระองค์นำนางสนมทั้งสิบคน ที่พระองค์ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวังนั้นไปไว้ในบ้านหลังหนึ่งที่มียามเฝ้า พระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูแต่พระองค์ไม่ได้ทรงหลับนอนกับพวกนางอีกต่อไป ดังนั้นพวกนางจึงถูกกักไว้ ให้มีชีวิตอยู่อย่างแม่ม่ายจนถึงวันตาย

4 แล้วกษัตริย์ตรัสกับอามาสาว่า “จงระดมคนยูดาห์ให้พร้อมภายในสามวัน ตัวท่านจงมาที่นี่ด้วย” 5 ดังนั้นอามาสาได้ออกไประดมคนยูดาห์ แต่เขาได้ทำงานล่าช้าเกินเวลาที่กษัตริย์กำหนดให้เขาทำ 6 ดังนั้นดาวิดตรัสกับอาบีชัยว่า “บัดนี้เชบาบุตรชายของบิครีจะทำร้ายเรามากกว่าอับซาโลมได้ทำ ท่านจงนำบรรดาข้าราชการของเจ้านายของท่าน เหล่าทหารของเรา ไล่ตามเขาไป มิฉะนั้น เขาจะหาบรรดาเมืองที่มีป้อม และหนีพ้นสายตาเรา”

7 แล้วพวกของโยอาบออกไปไล่ตามเขา พร้อมกับคนเคเรธีกับคนเปเลทกับนักรบทั้งหมด พวกเขาออกจากเยรูซาเล็มเพื่อไล่ตามเชบาบุตรชายของบิครี 8 เมื่อพวกเขาได้มาถึงศิลาใหญ่ที่อยู่ในเมืองกิเบโอน อามาสาก็มาพบพวกเขา โยอาบสวมเครื่องแต่งกายทหารอย่างที่เขาเคยสวม ซึ่งคาดเข็มขัดรอบเอวที่ติดดาบที่อยู่ในฝัก เมื่อเขาเดินไปดาบก็หลุดตกลง 9 ดังนั้นโยอาบจึงถามอามาสาว่า “ญาติของข้า สบายดีหรือ?” โยอาบก็เอามือขวาจับเคราอามาสาด้วยความรักและจูบเขา

10 อามาสาไม่ได้สังเกตดาบที่อยู่ในมือซ้ายของโยอาบ โยอาบจึงแทงท้องอามาสาไส้ทะลักถึงดิน โยอาบไม่แทงเขาอีกครั้ง และอามาสาก็ตาย ดังนั้นโยอาบและอาบีชัยน้องชายของเขาก็ไล่ตามเชบาบุตรชายของบิครีไป 11 แล้วทหารคนหนึ่งของโยอาบได้ยืนอยู่ใกล้อามาสาพูดว่า “ใครเห็นด้วยกับโยอาบและใครอยู่ฝ่ายดาวิดให้ผู้นั้นติดตามโยอาบไป” 12 อามาสาก็นอนจมกองเลือดของตัวเองอยู่ที่ในถนน เมื่อชายคนนั้นเห็นพวกทหารทั้งสิ้นได้ยืนนิ่งอยู่ เขาก็ย้ายอามาสาจากถนนไปทิ้งในทุ่งนา เขาได้โยนเสื้อผ้าปิดร่างเขาไว้ เพราะว่าเขาเห็นว่าทุกคนที่ผ่านมาก็ยืนนิ่งอยู่

13 หลังจากที่ศพของอามาสาถูกนำออกจากถนนแล้ว ทหารทั้งปวงก็ตามโยอาบเพื่อไล่ตามเชบาบุตรชายของบิครี 14 เชบาได้ผ่านคนอิสราเอลทุกเผ่าไปจนถึงตำบลอาเบลแขวงเมืองเบธมาอาคาห์ และผ่านทะลุไปทุกดินแดนของคนเบรีทั้งหมด ที่ได้มารวมกันและไล่ติดตามเชบาไป 15 พวกเขาได้ตามมาทันเขาและได้ล้อมเขาไว้ในตำบลอาเบล แขวงเมืองเบธมาอาคาห์ พวกเขาก่อทางลาดเนินขึ้นตรงกำแพง ทหารทั้งหมดที่อยู่กับโยอาบก็ทะลวงกำแพงเพื่อพังกำแพงลง

16 แล้วมีผู้หญิงฉลาดคนหนึ่งร้องออกมาจากในเมืองว่า “จงฟัง ขอฟังหน่อย โยอาบ เข้ามาใกล้ฉันหน่อย เพื่อฉันจะพูดกับท่าน” 17 ดังนั้นโยอาบก็เข้ามาใกล้นาง และผู้หญิงนั้นก็พูดว่า “ท่านคือโยอาบหรือ?” เขาตอบว่า “ใช่แล้วเราคือโยอาบ” นางจึงกล่าวกับเขาว่า “ขอท่านฟังถ้อยคำของสาวใช้ของท่านสักหน่อย” เขาก็ตอบว่า “เรากำลังฟังอยู่แล้ว” 18 แล้วนางก็พูดว่า “สมัยโบราณพวกเขาได้พูดกันว่า 'ให้ขอคำปรึกษาที่อาเบลให้แน่นอนเถิด’ และคำปรึกษานั้นจะทำให้เรื่องนั้นจบลง

19 พวกเราเป็นเมืองหนึ่งที่เต็มด้วยความสงบสุขที่สุดและสัตย์ซื่อในอิสราเอล ท่านกำลังจะทำลายเมือง อันเป็นเมืองแม่ของอิสราเอล ทำไมท่านจึงจะกลืนมรดกของพระยาห์เวห์เสีย?” 20 ดังนั้นโยอาบจึงตอบว่า “ ขอให้ห่างไกล ขอให้ห่างไกลจากเราซึ่งเราจะกลืนหรือทำลายนั้น 21 เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แต่มีผู้ชายคนหนึ่งจากแดนเทือกเขาเอฟราอิมชื่อเชบาบุตรชายของบิครี ได้ยกมือของเขาขึ้นต่อสู้กษัตริย์ ต่อสู้ดาวิด จงมอบเขามาคนเดียว และเราจะถอนทัพจากเมืองนี้” ผู้หญิงนั้นจึงกล่าวกับโยอาบว่า “ ศีรษะของเขาจะถูกโยนข้ามกำแพงมาให้ท่าน”

22 แล้วผู้หญิงนั้นก็ไปหาประชาชนทั้งหมดด้วยปัญญาของนาง พวกเขาได้ตัดศีรษะของเชบาบุตรชายของบิครี และโยนให้โยอาบ แล้วเขาก็เป่าแตรและทหารของโยอาบก็แยกกันไปจากเมือง ทุกคนก็กลับไปยังที่อยู่ของตน แล้วโยอาบก็กลับไปเฝ้ากษัตริย์ที่เยรูซาเล็ม 23 บัดนี้โยอาบได้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพทั้งหมดของอิสราเอล และเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาได้เป็นผู้บังคับบัญชาของคนเคเรธีและคนเปเลท 24 อาโดรัมได้ดูแลคนงานโยธา และเยโฮชาฟัทบุตรชายของอาหิลูดได้เป็นพนักงานทะเบียน

25 เชวาได้เป็นอาลักษณ์ ศาโดกและอาบียาธาร์ได้เป็นปุโรหิต 26 อิราตระกูลยาอีร์เป็นหัวหน้าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของดาวิดด้วย

21

1 มีการกันดารอาหารในสมัยของดาวิดอยู่สามปีติดต่อกัน และดาวิดก็แสวงหาพระพักตร์พระยาห์เวห์ ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงตรัสว่า “การกันดารอาหารที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้านี้เพราะว่าซาอูลและพงศ์พันธุ์ของเขาได้แปดเปื้อนโลหิต พวกเขาได้ฆ่าคนกิเบโอน” 2 บัดนี้คนกิเบโอนนั้นไม่ใช่พงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาเป็นคนอาโมไรต์ที่ยังเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าประชาชนอิสราเอลได้ปฏิญาณต่อพวกเขาว่าจะไม่ฆ่าพวกเขา แต่ซาอูลก็ทรงพยายามที่จะสังหารพวกเขาทั้งหมดเสีย เพราะความกระตือรือล้นเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ 3 ดังนั้น กษัตริย์ดาวิดทรงเรียกประชุมพวกกิเบโอนและตรัสถามพวกเขาว่า “เราจะทำอะไรให้แก่พวกท่านได้? เราจะทำอย่างไรจึงจะลบมลทินบาปเสีย เพื่อพวกท่านจะได้อวยพรแก่ประชาชนของพระยาห์เวห์ ผู้ได้รับมรดกของความดีและพระสัญญาของพระองค์?”

4 คนกิเบโอนทูลตอบพระองค์ว่า “มันไม่ใช่เรื่องเงินหรือทองระหว่างพวกข้าพระองค์กับซาอูลหรือพงศ์พันธุ์ของพระองค์ ในทำนองเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องของพวกข้าพระองค์ที่จะประหารชีวิตใครในอิสราเอล” ดาวิดจึงตรัสว่า “พวกท่านพูดว่าอย่างไร ที่เราควรจะทำให้พวกท่าน?” 5 พวกเขาทูลกษัตริย์ว่า “สำหรับผู้ชายผู้ที่ได้พยายามฆ่าพวกข้าพระองค์ และวางแผนทำลายพวกข้าพระองค์ ดังนั้นพวกข้าพระองค์ได้ถูกทำลายและไม่มีที่อยู่ในเขตแดนของอิสราเอล 6 ขอให้มอบเจ็ดคนจากพงศ์พันธุ์ของเขาให้พวกข้าพระองค์ และพวกข้าพระองค์จะได้แขวนคอพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ที่กิเบอาห์ของซาอูลผู้ที่ได้รับการเลือกสรรของพระยาห์เวห์ ดังนั้นกษัตริย์ตรัสว่า “เราจะมอบพวกเขาให้แก่เจ้า”

7 แต่กษัตริยทรงไว้ชีวิตเมฟีโบเชทบุตรชายของโยนาธานโอรสของซาอูล เพราะคำปฏิญาณของพระยาห์เวห์ที่ทั้งสองได้ทำ คือระหว่างดาวิดกับโยนาธานโอรสของซาอูล 8 แต่กษัตริย์ได้นำเอาบุตรชายสองคนของนางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ บุตรชายทั้งสองคนของนางที่เกิดกับซาอูล ชื่อของบุตรชายทั้งสองคนคือ อารโมนีและเมฟีโบเชท และดาวิดก็นำบุตรชายทั้งห้าคนของเมราบราชธิดาของซาอูล ผู้ที่พระนางได้ให้กำเนิดกับอาดรีเอลบุตรชายของบารซิลลัยชาวเมโหลาห์ 9 พระองค์ทรงมอบคนเหล่านี้ไว้ในมือของคนกิเบโอน พวกเขาจึงได้แขวนคอพวกเขาบนภูเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และพวกเขาทั้งเจ็ดคนก็ตายไปด้วยกัน พวกเขาถูกฆ่าตายในช่วงฤดูเกี่ยวข้าว ระหว่างวันแรกของวันเริ่มต้นเกี่ยวข้าวบาร์เลย์

10 แล้วนางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ก็เอาผ้ากระสอบปูไว้บนก้อนหินสำหรับตนเอง บนภูเขาข้างๆ ร่างทั้งหลายของคนตาย ตั้งแต่ต้นฤดูเกี่ยวจนถึงเวลาที่ฝนจากท้องฟ้าตกบนพวกเขา นางไม่ยอมให้เหล่าฝูงนกแห่งท้องฟ้ามารบกวนร่างทั้งหลายในเวลากลางวันหรือไม่ให้สัตว์ป่ามารบกวนในเวลากลางคืน 11 เมื่อเขาทูลดาวิดให้ทรงทราบในสิ่งที่นางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์นางสนมของซาอูลได้ทำแล้ว 12 ดังนั้นดาวิดได้เสด็จไปนำอัฐิของซาอูลและอัฐิของโยนาธานโอรสของพระองค์มาจากพวกคนของเมืองยาเบชกิเลอาดผู้ที่ได้ลักลอบเอาไปจากลานเมืองเบธชาน ที่พวกฟีลิสเตียได้แขวนทั้งสองพระองค์ไว้ หลังจากที่พวกฟีลิสเตียได้ประหารซาอูลในกิลโบอา

13 ดาวิดทรงนำอัฐิของซาอูลและอัฐิของโยนาธานโอรสของพระองค์ขึ้นมาจากที่นั่น และพวกเขาได้รวบรวมกระดูกของคนทั้งเจ็ดคนที่ถูกแขวนคอตายด้วยเช่นกัน 14 พวกเขาได้ฝังอัฐิของซาอูลและของโยนาธานโอรสของพระองค์ไว้ในแผ่นดินของเบนยามินในเมืองเศลา ในอุโมงค์ของคีชบิดาของพระองค์พวกเขาได้ทำตามทุกอย่างที่กษัตริย์ทรงบัญชาไว้ หลังจากนั้นพระเจ้าก็ได้ทรงตอบคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น 15 แล้วพวกฟีลิสเตียลงมาทำสงครามกับคนอิสราเอลอีกครั้ง ดังนั้นดาวิดก็เสด็จลงไปพร้อมกับกองทัพของพระองค์ และทรงสู้รบกับคนฟีลิสเตีย ดาวิดก็ทรงรับชัยชนะด้วยการเหนื่อยล้าจากสงคราม

16 อิชบีเบโนบ คนหนึ่งในพงศ์พันธุ์ของคนยักษ์ ผู้ที่มีหอกทองสัมฤทธิ์หนักสามร้อยเชเขล และเป็นผู้ที่มีดาบใหม่คาดเอว คิดจะฆ่าดาวิดเสีย 17 แต่อาบีชัยบุตรชายของนางเศรุยาห์ได้เข้ามาช่วยดาวิดไว้ และสู้รบกับคนฟีลิสเตีย และฆ่าเขาเสีย แล้วเหล่าทหารของดาวิดได้ทูลปฏิญาณต่อพระองค์ว่า “ขอพระองค์อย่าเสด็จไปทำศึกพร้อมกับพวกข้าพระองค์อีกต่อไปเลย เพื่อพระองค์จะไม่ดับประทีปของอิสราเอล” 18 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นภายหลังที่มีการรบกับพวกฟีลิสเตียอีกที่เมืองโกบ คราวนั้นสิบเบคัยตระกูลหุชาห์ได้ฆ่าสัฟผู้เป็นคนหนึ่งในพงศ์พันธุ์ของคนเรฟาอิม

19 เรื่องนี้เกิดขึ้นอีกครั้งในการรบกับพวกฟีลิสเตียที่เมืองโกบอีก ที่เอลฮานันบุตรชายของยารี ชาวเบธเลเฮมได้ฆ่าโกลิอัทชาวกัทผู้มีหอกที่มีด้ามโตเท่าไม้กระพั่นทอผ้า 20 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นมีการรบกันอีกที่เมืองกัท อันเป็นเมืองที่มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต ผู้ที่มีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว รวมกันยี่สิบสี่นิ้ว เขาก็ได้สืบเชื้อสายมาจากพวกเรฟาอิมด้วย 21 เมื่อเขาท้าทายอิสราเอล โยนาธานบุตรชายของชัมมาห์เชษฐาของดาวิดได้ฆ่าเขาเสีย 22 คนเหล่านี้สืบเชื้อสายคนเรฟาอิมของเมืองกัท และพวกเขาถูกฆ่าตายด้วยพระหัตถ์ของดาวิด และด้วยมือของเหล่าทหารของพระองค์

22

1 ดาวิดทรงร้องบทเพลงนี้แด่พระยาห์เวห์ ในวันที่พระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้พระองค์ให้พ้นจากมือเหล่าศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์ และจากเงื้อมพระหัตถ์ของซาอูล 2 พระองค์ทรงอธิษฐานว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นศิลาของข้าพระองค์ เป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ และเป็นผู้ช่วยกู้ของข้าพระองค์ 3 พระเจ้าทรงเป็นศิลาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์ พระองค์ทรงเป็นโล่ของข้าพระองค์ ทรงเป็นพลังแห่งความรอดของข้าพระองค์ ทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของข้าพระองค์ และที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ พระองค์ผู้ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความรุนแรง

4 ข้าพระองค์ร้องทูลพระยาห์เวห์ ผู้ทรงสมควรแก่การสรรเสริญ และข้าพระองค์ได้รับการทรงช่วยให้พ้นจากบรรดาศัตรูของข้าพระองค์ 5 เพราะเหล่าคลื่นแห่งความมรณะได้ล้อมรอบข้าพระองค์ กระแสแห่งความหายนะก็ได้ท่วมท้นเหนือข้าพระองค์ 6 สายใยของแดนคนตายพันตัวข้าพระองค์ บ่วงแห่งความตายได้พันรอบข้าพระองค์อยู่

7 ในความทุกข์ลำบากของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ร้องทูลพระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ร้องทูลพระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ทรงยินเสียงของข้าพระองค์จากพระนิเวศของพระองค์ และเสียงร้องทูลขอความช่วยเหลือของข้าพระองค์ได้ไปถึงพระกรรณของพระองค์ 8 แล้วแผ่นดินก็สั่นสะเทือนและโคลงเคลง รากฐานของฟ้าก็หวั่นไหว และสั่นสะเทือน เพราะพระเจ้ากริ้ว 9 ควันไฟก็ขึ้นไปตามช่องพระนาสิกของพระองค์ และเพลิงผลาญได้ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ถ่านเหล่านั้นก็ติดเปลวไฟ

10 พระองค์ทรงเปิดท้องฟ้าและเสด็จลงมา และความมืดก็อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ 11 พระองค์ทรงเครูบตนหนึ่ง แล้วทรงบินไป พระองค์ทรงปรากฏบนปีกของลม 12 พระองค์ทรงทำให้ความมืดปกคลุมอยู่รอบพระองค์ รวมรวมเหล่าเมฆฝนหนาทึบในท้องฟ้าทั้งมวล

13 จากความสว่างตรงหน้าพระพักตร์พระองค์ถ่านเพลิงได้ตกลงมา 14 พระยาห์เวห์ทรงส่งเสียงดังดุจฟ้าร้องจากท้องฟ้า องค์ผู้สูงสุดก็ทรงเปล่งพระสุรเสียง 15 พระองค์ทรงแผลงศร และทรงทำให้พวกศัตรูของพระองค์กระจัดกระจาย ทรงทำให้เกิดฟ้าแลบ และทรงทำให้พวกเขาแตกหนีไป

16 แล้วช่องน้ำทั้งหลายได้ปรากฏ รากฐานของโลกก็เผยโฉม ตามพระสิงหนาทของพระยาห์เวห์ ตามลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์ 17 พระองค์ทรงเอื้อมลงมาจากเบื้องบน ทรงจับข้าพระองค์ พระองค์ทรงดึงข้าพระองค์ออกมาจากน้ำที่ซัดไปมา 18 พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากศัตรูเข้มแข็ง จากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์ เพราะพวกเขาแข็งแรงกว่าข้าพระองค์ยิ่งนัก

19 พวกเขามาต่อสู้กับข้าพระองค์ในวันที่ข้าพระองค์ประสบภัยพิบัติ แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ 20 พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ออกมายังที่กว้างใหญ่ พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ไว้เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยข้าพระองค์ 21 พระยาห์เวห์ประทานรางวัลแก่ข้าพระองค์ตามความชอบธรรมของข้าพระองค์ พระองค์ทรงช่วยฟื้นฟูข้าพระองค์ตามความสะอาดของมือทั้งสองของข้าพระองค์

22 เพราะข้าพระองค์ได้รักษาทางของพระยาห์เวห์และไม่ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายโดยการหันจากพระเจ้าของข้าพระองค์ 23 เพราะกฎหมายแห่งความชอบธรรมทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ได้หันไปจากสิ่งเหล่านั้น 24 ข้าพระองค์ไร้ตำหนิต่อพระองค์ และข้าพระองค์รักษาตัวไว้จากความบาป

25 เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ทรงตอบแทนข้าพระองค์ตามความชอบธรรมของข้าพระองค์ ตามอัตราความสะอาดของข้าพระองค์ในสายพระเนตรของพระองค์ 26 พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าทรงซื่อสัตย์ต่อผู้ที่ซื่อสัตย์ พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าทรงไร้ตำหนิต่อผู้ที่ไร้ตำหนิ 27 พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าบริสุทธิ์ต่อผู้ที่บริสุทธิ์ แต่พระองค์ทรงสำแดงเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ที่ได้คดโกง

28 พระองค์ทรงช่วยประชาชนที่ทุกข์ยากลำบากให้รอด แต่พระเนตรของพระองค์ต่อสู้กับดวงตาที่หยิ่งยโส และพระองค์ทรงทำให้คนเหล่านั้นต่ำลง 29 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นประทีปของข้าพระองค์ พระยาห์เวห์ทรงทำให้เกิดความสว่างในความมืดของข้าพระองค์ 30 เพราะโดยพระองค์ ข้าพระองค์สามารถตะลุยฝ่าเครื่องกีดขวางได้ และโดยพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์สามารถกระโดดข้ามกำแพงได้

31 สำหรับพระเจ้า พระมรรคาของพระองค์สมบูรณ์ พระดำรัสของพระยาห์เวห์ไร้ตำหนิ พระองค์ทรงเป็นโล่ของทุกคนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ 32 เพราะผู้ใดจะเป็นพระเจ้าอีก นอกจากพระยาห์เวห์ และผู้ใดเล่าเป็นพระศิลาเว้นแต่พระเจ้าของเรา? 33 พระเจ้าผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ และพระองค์ได้ทรงนำบุคคลที่ไร้ตำหนิในทางของพระองค์

34 พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพระองค์เป็นเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมียและทรงวางข้าพระองค์ไว้บนเนินเขาที่สูง 35 พระองค์ทรงฝึกมือข้าพระองค์ให้ทำสงคราม แขนข้าพระองค์ให้โก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้ 36 พระองค์ได้ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์แก่ข้าพระองค์ และความโปรดปรานของพระองค์ก็ทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น

37 พระองค์ได้ประทานที่กว้างขวางสำหรับย่างเท้าของข้าพระองค์ ดังนั้นเท้าของข้าพระองค์จึงไม่พลาด 38 ข้าพระองค์ได้ไล่ตามพวกศัตรูของข้าพระองค์และทำลายพวกเขาเสีย ข้าพระองค์ไม่ได้หันกลับจนกว่าพวกเขาได้ถูกผลาญเสียสิ้น 39 ข้าพระองค์ทำลายพวกเขาและแทงพวกเขาทะลุ พวกเขาจึงไม่สามารถลุกขึ้นอีก พวกเขาล้มลงใต้เท้าของข้าพระองค์

40 พระองค์ได้ประทานกำลังแก่ข้าพระองค์เหมือนเข็มขัดเพื่อต่อสู้ในสงคราม พระองค์ทรงทำให้บรรดาผู้ที่ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์สยบลง 41 พระองค์ทรงทำให้บรรดาศัตรูของข้าพระองค์หันหลังให้ข้าพระองค์ บรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ทำลายเสียสิ้น 42 พวกเขาร้องหาความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้ พวกได้เขาร้องทูลพระยาห์เวห์ แต่พระองค์มิได้ทรงตอบพวกเขา

43 ข้าพระองค์จึงทุบเขาแหลกละเอียดอย่างผงคลีดิน ข้าพระองค์ได้ขยี้พวกเขาเหมือนโคลนตามถนน 44 พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากการทะเลาะวิวาทกับประชาชนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ไว้ให้เป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ ประชาชนที่ข้าพระองค์ไม่เคยรู้จักก็จะปรนนิบัติข้าพระองค์ 45 พวกคนต่างด้าวจะถูกบังคับให้หมอบราบต่อข้าพระองค์ พอพวกเขาได้ยินถึงข้าพระองค์ พวกเขาก็จะเชื่อฟังข้าพระองค์

46 พวกคนต่างด้าวก็เสียขวัญตัวสั่นออกมาจากที่กำบังแข็งแกร่งของเขา 47 พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ ขอให้พระศิลาของข้าพระองค์เป็นที่ควรสรรเสริญ ขอให้พระเจ้าได้รับการยกย่อง พระศิลาแห่งความรอดของข้าพระองค์ 48 นี่คือพระเจ้าผู้ทรงแก้แค้นให้ข้าพระองค์ พระองค์เป็นผู้ที่นำชนชาติทั้งหลายลงให้อยู่ใต้ข้าพระองค์

49 ผู้ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากบรรดาศัตรูของข้าพระองค์ แท้ที่จริง พระองค์ทรงยกข้าพระองค์อยู่เหนือบรรดาผู้ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์ พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากคนโหดร้าย 50 เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จึงขอบพระคุณพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์ 51 พระเจ้าประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์ และพระองค์ทรงสำแดงพันธสัญญาอย่างซื่อสัตย์ต่อผู้ที่พระองค์ได้ทรงเจิม แก่ดาวิดและบรรดาลูกหลานของพระองค์เป็นนิตย์"

23

1 บัดนี้ นี่เป็นถ้อยคำสุดท้ายของดาวิด ดาวิดบุตรชายของเจสซี ผู้ชายที่ได้รับเกียรติอย่างสูง ผู้ที่รับการเจิมโดยพระเจ้าของยาโคบ นักแต่งบทเพลงสดุดีที่ไพเราะของอิสราเอล 2 “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้ตรัสทางข้าพระองค์ และพระดำรัสของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพระองค์ 3 พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงได้กล่าว พระศิลาแห่งอิสราเอลได้ตรัสกับข้าพระองค์ว่า 'เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์โดยชอบธรรม ผู้ทรงปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า

4 เขาจะเป็นเหมือนแสงอรุณเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ในเวลารุ่งเช้าที่ไม่มีเมฆ เมื่อหญ้าอ่อนงอกออกจากดินเมื่อมีแสงจ้าของดวงอาทิตย์ภายหลังฝน 5 แน่ทีเดียว พงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์ไม่เป็นเช่นนั้นต่อพระพักตร์ของพระเจ้าหรือ? เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงทำพันธสัญญานิรันดร์กับข้าพระองค์ อันเป็นระเบียบและมั่นคงในทุกทางอย่างนั้นหรือ? พระองค์จะไม่ทรงเพิ่มพูนความรอดของข้าพระองค์และเติมเต็มความปรารถนาทุกอย่างของข้าพระองค์หรือ? 6 แต่คนอธรรมทั้งหมดก็เหมือนหนามที่ถูกถอนทิ้งไป เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถถูกรวบรวมได้ด้วยมือของใคร

7 คนที่แตะต้องพวกเขา จะต้องถืออาวุธที่ทำด้วยเหล็กหรือด้ามของหอก พวกเขาจะต้องถูกเผาจนหมดสิ้นในที่ที่พวกเขาอยู่นั้น”' 8 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของนักรบผู้เก่งกล้าของดาวิด คือเยชบาอัล ตระกูลทัคโมนี เป็นผู้นำของเหล่านักรบผู้เก่งกล้า เขาได้ฆ่าคนแปดร้อยคนในครั้งเดียว 9 คนที่รองลงมาคือเอเลอาซาร์บุตรชายของโดโด ผู้เป็นบุตรชายของอาโหอาห์ ผู้ที่เป็นหนึ่งในสามของนักรบผู้เก่งกล้าของดาวิด เขาได้อยู่เมื่อพวกเขาพูดหยามพวกฟีลิสเตียซึ่งชุมนุมกันที่นั่นเพื่อทำสงคราม และเมื่อคนอิสราเอลได้ถอยทัพ

10 เอเลอาซาร์ได้ลุกขึ้นและได้ต่อสู้พวกฟีลิสเตีย จนกระทั่งมือของเขาอ่อนล้าและมือของเขาแข็งทื่อติดอยู่กับดาบของเขา พระยาห์เวห์ได้ทรงทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวงในวันนั้น กองทัพจึงได้กลับไปกับเอเลอาซาร์ เพื่อปลดข้าวของจากผู้ที่ถูกฆ่าตายเท่านั้น 11 รองจากเขาลงมาคือชัมมาห์บุตรชายของอาเกชาวฮาราร์ พวกฟีลิสเตียได้มาชุมนุมกันอยู่ที่ทุ่งหญ้าเลฮี เป็นที่ที่มีพื้นดินผืนหนึ่งมีถั่วแดงเต็มไปหมด และกองทัพก็หนีไปจากพวกเขา 12 แต่ชามาห์ได้ยืนมั่นอยู่ท่ามกลางผืนดินนั้น และป้องกันผืนดินนั้นไว้ เขาได้ฆ่าพวกฟีลิสเตีย และพระยาห์เวห์ทรงทำให้มีชัยชนะอย่างใหญ่หลวง

13 ทหารสามนายในพวกทหารสามสิบคนนั้น ได้ลงมาหาดาวิดในฤดูเกี่ยวข้าวที่ถ้ำอดุลลัม กองทัพของฟีลิสเตียได้ตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 14 ในคราวนั้นดาวิดได้ประทับในที่กำบังเข้มแข็งคือที่ถ้าแห่งหนึ่ง ขณะที่พวกฟีลิสเตียก็ได้ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เบธเลเฮม 15 ดาวิดทรงกระหายน้ำและตรัสว่า “ถ้าเพียงบางคนจะให้น้ำแก่เราดื่มจากบ่อที่เบธเลเฮม บ่อที่อยู่ข้างประตูเมือง”

16 ดังนั้นวีรบุรุษสามคนที่ได้กล่าวถึงนั้นก็ได้แหกค่ายของกองทัพของคนฟีลิสเตียเข้าไป และได้ตักน้ำจากบ่อเบธเลเฮม บ่อที่อยู่ข้างประตูเมือง พวกเขาได้นำน้ำมาและได้มาถวายแก่ดาวิด แต่พระองค์ได้ทรงปฏิเสธที่จะทรงดื่มน้ำนั้น แต่พระองค์ได้ทรงเทน้ำนั้นถวายแด่พระยาห์เวห์ 17 แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ซึ่งข้าพระองค์จะทำเช่นนี้ ก็ขอให้ห่างไกลจากข้าพระองค์ ข้าพระองค์ควรจะดื่มโลหิตของบรรดาผู้ได้ไปเสี่ยงชีวิตของพวกเขาหรือ?” ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงยอมดื่ม นักรบทั้งสามได้ทำสิ่งเหล่านี้ 18 อาบีชัยน้องชายของโยอาบและบุตรชายของนางเศรุยาห์ ได้เป็นหัวหน้าของทั้งสามคนนั้น ครั้งหนึ่งเขาได้ต่อสู้ด้วยหอกต่อทหารสามร้อยคน และได้ฆ่าพวกเขา เขาก็ได้มีชื่อเสียงร่วมกับวีรบุรุษสามคนที่กล่าวถึงนั้น

19 เขาเป็นผู้ได้รับเกียรติมากกว่าสามคนนั้นไม่ใช่หรือ? เขาได้เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขา อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของเขาไม่เท่ากับชื่อเสียงของทหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดสามคนนั้น 20 เบไนยาห์แห่งเมืองขับเซเอลบุตรชายของเยโฮยาดา เขาเป็นผู้ชายแข็งแรง ที่ได้ทำความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่หลายอย่าง เขาได้ฆ่าบุตรทั้งสองของอารีเอลแห่งโมอับ เขาได้ลงไปฆ่าสิงโตในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย 21 แล้วเขาได้ฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่งเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ คนอียิปต์นั้นถือหอกอยู่ในมือ แต่เบไนยาห์ได้ต่อสู้กับเขาด้วยเพียงไม้เท้า เขาได้ยึดเอาหอกมาจากมือของคนอียิปต์คนนั้น และได้ฆ่าเขาตายด้วยหอกของเขาเอง

22 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาทำกิจเหล่านี้จึงมีชื่อเสียงเหมือนนักรบสามคนนั้น 23 เขามีชื่อเสียงโด่งดังกว่าทหารสามสิบคนนั้นโดยทั่วไป แต่เขาไม่ได้รับการนับถือมากเช่นเดียวกับวีรบุรุษสามคนนั้น แม้กระนั้น ดาวิดก็ได้ทรงตั้งเขาให้เป็นทหารรักษาพระองค์ 24 ในสามสิบคนนั้นรวมผู้ชายต่อไปนี้ คือ อาสาเฮลน้องชายของโยอาบ เอลฮานันบุตรชายของโดโดชาวเบธเลเฮม

25 ชัมมาห์ชาวเมืองฮาโรด เอลีคาชาวเมืองฮาโรด 26 เฮเลสตระกูลเปเลท อิราบุตรชายของอิกเขชชาวเมืองเทโคอา 27 อาบีเยเซอร์ชาวเมืองอานาโธท เมบุนนัยตระกูลหุชาห์

28 ศัลโมนชาวอาโหอาห์ มาหะรัยชาวเนโทฟาห์ 29 เฮเลบบุตรชายของบาอานาห์ชาวเนโทฟาห์ อิททัยบุตรชายของชาวกิเบอาห์แห่งคนเบนยามิน 30 เบไนยาห์ชาวปิราโธน ฮิดดัยชาวหุบเขากาอัช

31 อาบีอัลโบนชาวอารบาห์ อัสมาเวทชาวบาฮูริม 32 เอลียาบาชาวชาอัลโบน บรรดาบุตรชายของยาเชน โยนาธาน ชัมมาห์ชาวฮาราร์ 33 อาหิอัมบุตรชายของชาราร์ชาวฮาราร์

34 เอลีเฟเลทบุตรชายของอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัมบุตรชายของอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ 35 เฮสโรชาวคารเมล ปารัยชาวอารบี 36 อิกาลบุตรของนาธันชาวโศบาห์ บานีคนเผ่ากาด

37 เศเลกคนอัมโมน นาหะรัยชาวเบเอโรท คนถือเครื่องอาวุธของโยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ 38 อิราตระกูลอิทรี กาเรบตระกูลอิทรี 39 อุรียาห์คนฮิตไทต์ รวมทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน

24

1 อีกครั้งหนึ่งที่พระพิโรธของพระยาห์เวห์เกิดขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ได้ทรงทำให้ดาวิดต่อสู้พวกเขาโดยตรัสว่า “จงไปนับคนอิสราเอลและคนยูดาห์” 2 กษัตริย์จึงได้ทรงรับสั่งกับโยอาบ แม่ทัพซึ่งอยู่กับพระองค์ว่า “จงไปให้ทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา และจงนับจำนวนประชาชน เพื่อเราจะได้ทราบจำนวนรวมของประชาชนเพื่อทำสงคราม” 3 โยอาบได้ทูลกษัตริย์ว่า “ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ทรงเพิ่มประชาชนที่มีอยู่อีกร้อยเท่า ขอพระเนตรของกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ได้ทรงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เหตุใดกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์จึงทรงพระประสงค์สิ่งนี้?”

4 อย่างไรก็ตามพระดำรัสของกษัตริย์นั้นก็เด็ดขาดต่อโยอาบและต่อบรรดาผู้บังคับบัญชาของกองทัพ ดังนั้นโยอาบกับบรรดาผู้บังคับบัญชาของกองทัพจึงได้ออกไปจากพระพักตร์กษัตริย์เพื่อนับประชาชนอิสราเอล 5 พวกเขาได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและได้ตั้งค่ายในเมืองอาโรเออร์ ทางทิศใต้ของเมืองในหุบเขา แล้วพวกเขาก็ได้เดินทางผ่านกาดไปจนถึงยาเซอร์ 6 พวกเขาก็ได้มายังกิเลอาดและมาถึงในดินแดนของทาห์ทิมฮอดชี แล้วต่อไปถึงเมืองดานยาอัน อ้อมไปถึงไซดอน

7 พวกเขาได้มาถึงป้อมของไทระ และเมืองทั้งหมดของคนฮีไวต์ และของคนคานาอัน แล้วพวกเขาได้ออกไปยังเนเกบในยูดาห์ที่เมืองเบเออร์เชบา 8 เมื่อพวกเขาได้ไปทั่วแผ่นดินนั้นแล้ว พวกเขาจึงได้กลับมายังกรุงเยรูซาเล็มเมื่อสิ้นเก้าเดือนและยี่สิบวัน 9 แล้วโยอาบก็ได้ถวายจำนวนทหารที่นับได้ทั้งสิ้นแก่กษัตริย์ มีทหารหาญในอิสราเอลจำนวน 800,000 คน ผู้พร้อมทำศึก และคนยูดาห์มี 500,000 คน

10 แล้วพระทัยของดาวิดก็ได้ทรงสำนึกผิดหลังจากที่พระองค์ได้ทรงนับจำนวนประชาชนเสร็จแล้ว ดังนั้นดาวิดจึงทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์ได้ทำบาปใหญ่หลวงในการที่ทำสิ่งนี้ บัดนี้ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอพระองค์ทรงลบความบาปชั่วของผู้รับใช้ของพระองค์ออกไป เพราะข้าพระองค์ทำอย่างโง่เขลายิ่งนัก” 11 เมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นในตอนเช้า พระวจนะของพระยาห์เวห์จึงได้มายังผู้เผยพระวจนะกาด ผู้ทำนายของดาวิดว่า 12 “จงไปบอกดาวิดว่า 'พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า "เราจะให้เจ้ามีทางเลือกสามอย่าง จงเลือกเอาหนึ่งอย่าง"'"

13 ดังนั้นกาดจึงได้เข้าเฝ้าดาวิดและทูลพระองค์ว่า “จะให้เกิดกันดารอาหารเป็นเวลาสามปีในแผ่นดินของพระองค์หรือไม่? หรือพระองค์จะยอมหนีต่อหน้าศัตรูของพระองค์เป็นเวลาสามเดือนขณะที่พวกเขาไล่ตามพระองค์หรือไม่? หรือจะให้โรคระบาดเกิดขึ้นในแผ่นดินของพระองค์เป็นเวลาสามวันหรือไม่? บัดนี้ขอพระองค์ทรงตรึกตรองว่าจะให้ข้าพระองค์กลับไปทูลสิ่งใดต่อพระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพระองค์มา” 14 แล้วดาวิดจึงตรัสกับกาดว่า “เราเป็นทุกข์มาก ขอให้พวกเราตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์มากกว่าให้เราตกเข้าไปในมือของมนุษย์ เพราะการกระทำอันเต็มไปด้วยพระกรุณาของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก" 15 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงได้ทรงให้โรคระบาดเกิดขึ้นในอิสราเอล ตั้งแต่เวลาเช้าจนสิ้นเวลากำหนด และมีประชาชนตายจำนวนเจ็ดหมื่นคนนับตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา

16 เมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือออกเหนือกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำลายเมืองนั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงเปลี่ยนพระทัยเพราะเรื่องเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นนั้นและพระองค์ได้ทรงบัญชาทูตสวรรค์ผู้กำลังทำลายประชาชนว่า “พอแล้ว บัดนี้จงยั้งมือของเจ้า” ในเวลานั้นทูตของพระยาห์เวห์ก็อยู่ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส 17 แล้วดาวิดได้ทูลต่อพระยาห์เวห์ขณะที่พระองค์ทอดพระเนตรทูตสวรรค์ผู้ที่ได้ประหารประชาชนนั้น และทรงทูลว่า “ข้าพระองค์เองได้ทำบาป และข้าพระองค์ได้กระทำโดยเอาแต่ใจตนเอง แต่บรรดาแกะเหล่านี้ พวกเขาได้ทำอะไร? ขอพระหัตถ์ของพระองค์ทำโทษข้าพระองค์และพงศ์พันธุ์บิดาของข้าพระองค์เถิด” 18 แล้วกาดก็ได้เข้ามาเฝ้าดาวิด และทูลพระองค์ว่า “ขอเสด็จขึ้นไปสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์บนลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุสเถิด”

19 ดังนั้นดาวิดจึงได้เสด็จขึ้นไปตามคำของกาดตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา 20 เมื่ออาราวนาห์ได้มองออกไปและเห็นกษัตริย์และบรรดาข้าราชการกำลังเข้ามาหาเขา ดังนั้นอาราวนาห์จึงออกไปและย่อตัวลงซบหน้าถึงดินต่อกษัตริย์ 21 แล้วอาราวนาห์ได้ทูลว่า “เหตุใดกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ จึงเสด็จมาหาผู้รับใช้ของพระองค์?” ดาวิดตรัสว่า “มาซื้อลานนวดข้าวของเจ้า เพื่อเราจะสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ เพื่อที่โรคร้ายจะหมดสิ้นไปจากประชาชน”

22 อาราวนาห์จึงได้ทูลดาวิดว่า “ขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ขอทรงทำตามที่สายพระเนตรของพระองค์เห็นชอบเถิด ดูเถิด ที่นี่มีวัวสำหรับเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเลื่อนนวดข้าวกับแอกสำหรับวัวเป็นฟืน 23 ข้าแต่กษัตริย์ ของทั้งสิ้นนี้ ข้าพระองค์ อาราวนาห์ขอถวายแด่พระองค์” แล้วเขาได้ทูลกษัตริย์อีกว่า “ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ทรงโปรดปรานพระองค์” 24 กษัตริย์ได้ตรัสกับอาราวนาห์ว่า “ไม่ได้ เรายืนยันที่จะซื้อจากเจ้าตามราคานั้น เราจะไม่ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์ โดยที่เราไม่เสียอะไรเลย” ดังนั้นดาวิดจึงได้ทรงซื้อลานนวดข้าวและวัวเป็นเงินห้าสิบเชเขล 25 ดาวิดก็ได้ทรงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ที่นั่น และทรงได้ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวกับเครื่องสันติบูชา ดังนั้นพวกเขาได้ทูลอ้อนวอนต่อพระยาห์เวห์ในนามของแผ่นดิน และพระองค์ก็ได้ทรงระงับโรคร้ายทั่วอิสราเอล