ไทย (Thai): Unlocked Literal Bible Print

Updated ? hours ago # views See on WACS
2 KINGS
2 KINGS
1

1 โมอับก็ได้ก่อการกบฏต่ออิสราเอล หลังจากที่อาหับได้สวรรคต 2 แล้วอาหัสยาห์ได้ทรงตกลงมาจากช่องไม้ระแนงหน้าต่างที่ห้องชั้นบนของพระองค์ในสะมาเรีย และทรงบาดเจ็บ ดังนั้น พระองค์จึงได้ทรงใช้บรรดาผู้สื่อสารไป และได้ทรงบอกกับพวกเขาว่า “จงไปสอบถามพระบาอัลเซบูบ พระของเอโครนว่าเราจะหายจากการบาดเจ็บนี้หรือไม่?”

3 แต่ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้พูดกับเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “จงขึ้นไปหาพวกผู้สื่อสารของกษัตริย์ของเมืองสะมาเรีย และพูดกับพวกเขาว่า ‘เหตุเพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลหรือ ท่านจึงไปขอการปรึกษาพระบาอัลเซบูบ พระของเอโครน? 4 ดังนั้นพระยาห์เวห์ทรงกล่าวดังนี้ว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ลุกจากที่นอนของเจ้า แต่เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน’” แล้วเอลียาห์ได้จากไป

5 เมื่อผู้สื่อสารนั้นได้กลับมาเฝ้าอาหัสยาห์พระองค์ได้ทรงกล่าวถามเขาทั้งหลายว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงพากันมา?” 6 เขาทั้งหลายได้พูดต่อพระองค์ว่า “มีชายคนหนึ่งขึ้นมาหาพวกข้าพระองค์ และได้พูดกับพวกข้าพระองค์ว่า ‘จงกลับไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ผู้ทรงใช้ท่านมา และพูดต่อพระองค์ว่า องค์พระยาห์เวห์ทรงกล่าวดังนี้ว่า เหตุเพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลหรือ เจ้าจึงใช้คนไปขอการปรึกษาพระบาอัลเซบูบพระของเอโครน? ดังนั้น เจ้าจะไม่ได้ลุกจากที่นอนของเจ้า แต่เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน’”

7 อาหัสยาห์ได้ทรงกล่าวถามผู้สื่อสารของพระองค์ว่า “คนที่ขึ้นพบเจ้าและบอกสิ่งเหล่านี้แก่เจ้านั้นมีลักษณะเช่นไร?” 8 พวกเขาได้ทูลพูดต่อพระองค์ว่า “เขาได้สวมเสื้อผ้าที่ทำด้วยขนสัตว์และมีสายหนังคาดเอวของเขา” ดังนั้น กษัตริย์ได้ทรงกล่าวว่า “นั่นคือ เอลียาห์ชาวทิชบี”

9 แล้วกษัตริย์ก็ได้ทรงรับสั่งให้นายกองกับทหารห้าสิบนายไปหาเอลียาห์ นายกองได้ขึ้นไปหาเอลียาห์ที่ซึ่งเขากำลังนั่งอยู่บนยอดเขา นายกองได้กล่าวแก่เขาว่า “ท่าน คนของพระเจ้า กษัตริย์ได้ทรงกล่าวดังนี้ว่า ‘จงลงมา’” 10 แต่เอลียาห์ได้ตอบนายกองและได้พูดว่า “หากเราเป็นคนของพระเจ้า ก็ขอให้ไฟลงมาจากท้องฟ้าเผาไหม้ท่าน และคนทั้งห้าสิบของท่านเถิด” แล้วไฟก็ได้ลงมาจากท้องฟ้า และได้เผาไหม้เขากับคนทั้งห้าสิบของเขา

11 แล้วกษัตริย์อาหัสยาห์ได้รับสั่งให้นายกองอีกคนหนึ่งกับทหารห้าสิบนายของเขาไปหาเอลียาห์ นายกองคนนี้ก็ได้กล่าวแก่เอลียาห์ว่า “ท่าน คนของพระเจ้า กษัตริย์ทรงกล่าวดังนี้ว่า ‘จงลงมาเร็วๆ’” 12 เอลียาห์ได้ตอบและได้พูดว่า “หากเราเป็นคนของพระเจ้า ก็ขอให้ไฟลงมาจากท้องฟ้าเผาไหม้ท่าน และคนทั้งห้าสิบของท่านเถิด” แล้วไฟของพระเจ้าได้ลงมาจากท้องฟ้า และได้เผาไหม้เขากับคนทั้งห้าสิบของเขาอีก

13 อีกครั้ง กษัตริย์ยังได้รับสั่งให้นายกองกลุ่มที่สามกับนายกองห้าสิบนายของเขา นายกองคนนี้ก็ได้ขึ้นไป คุกเข่าต่อหน้าเอลียาห์ ได้วิงวอนและพูดกับเขาว่า “ท่าน คนของพระเจ้า ข้าพเจ้าได้ขอร้องท่าน ขอให้ชีวิตของข้าพเจ้าและชีวิตของผู้รับใช้ของท่านอีกห้าสิบคนนี้เป็นสิ่งที่มีค่าในสายตาของท่าน 14 แท้จริงแล้วไฟได้ลงมาจากท้องฟ้า และได้เผาผลาญนายกองสองคนแรก พร้อมทั้งทหารของเขาที่มาก่อน แต่บัดนี้ขอให้ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่าในสายตาของท่านด้วยเถิด”

15 แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้กล่าวแก่เอลียาห์ว่า “จงลงไปกับเขาเถิด อย่ากลัวเขาเลย” ดังนั้น เอลียาห์ก็ได้ลุกขึ้นและลงไปกับเขาเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์ 16 ต่อมา เอลียาห์ได้กราบทูลอาหัสยาห์ว่า “นี่คือเหตุที่พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เพราะเจ้าได้ส่งผู้สื่อสารไปปรึกษาพระบาอัลเซบูบ พระแห่งเอโครน เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลให้ทูลถามอย่างนั้นหรือ? เพราะฉะนั้น บัดนี้เจ้าจะไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอน แต่เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน’”

17 เพราะเหตุนั้น กษัตริย์อาหัสยาห์ก็ได้สวรรคต เป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งเอลียาห์ได้พูดไว้ และโยรัมได้ทรงขึ้นปกครองแทน ในปีที่สองของรัชกาลเยโฮรัม โอรสของเยโฮชาฟัทกษัตริย์ของยูดาห์ เพราะอาหัสยาห์ไม่มีโอรส 18 ในส่วนพระราชกรณียกิจอื่นของอาหัสยาห์ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ของอิสราเอลหรือ?

2

1 ดังนั้น แล้วสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อพระยาห์เวห์จะทรงรับเอลียาห์ไปยังท้องฟ้าด้วยพายุหมุน ที่ซึ่งเอลียาห์และเอลีชากำลังเดินทางจากกิลกาล 2 เอลียาห์ได้พูดกับเอลีชาว่า “พระยาห์เวห์ทรงใช้เราไปเบธเอล ดังนั้นจงคอยอยู่ที่นี่เถิด” แล้วเอลีชาได้ตอบว่า “หากแม้พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่และท่านเองมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่านเหมือนกัน” ดังนั้น เขาทั้งสองก็ได้ลงไปเบธเอล

3 เหล่าผู้เผยพระวจนะผู้อยู่ในเบธเอลได้ออกมาหาเอลีชา และได้บอกเขาว่า “เจ้าทราบไหมว่า วันนี้พระยาห์เวห์จะทรงรับเจ้านายของเจ้าไปจากเจ้า?” เอลีชาได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้ว แต่อย่าพูดถึงเรื่องนี้” 4 เอลียาห์ได้พูดกับเขาว่า “เอลีชา จงคอยอยู่ที่นี่เถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงได้ส่งเราไปเมืองเยรีโค” แล้วเอลีชาได้ตอบว่า “หากแม้พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่และท่านเองมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่านเหมือนกัน” ดังนั้น เขาทั้งสองก็ได้มายังเมืองเยรีโค

5 แล้วเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้อยู่ในเมืองเยรีโคได้เข้ามาใกล้เอลีชาและได้พูดกับท่านว่า “เจ้าทราบไหมว่า วันนี้พระยาห์เวห์จะทรงรับเจ้านายของเจ้าไปจากเจ้า?” เอลีชาได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้ว แต่อย่าพูดถึงเรื่องนี้” 6 แล้วเอลียาห์ได้พูดกับเขาว่า “จงคอยอยู่ที่นี่เถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงใช้เราไปที่แม่น้ำจอร์แดน” เอลีชาได้ตอบว่า “หากแม้พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่และท่านเองมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่านเหมือนกัน” ดังนั้น เขาทั้งสองก็ได้เดินต่อไป

7 ต่อมามีเหล่าผู้เผยพระวจนะห้าสิบคนได้ยืนฝั่งตรงข้ามกับพวกเขาที่อยู่ไกลออกไป ส่วนเขาทั้งสองยืนอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน 8 เอลียาห์ได้เอาเสื้อคลุมของท่าน ม้วนเข้าแล้วฟาดลงที่น้ำนั้น แม่น้ำก็ได้แยกออกไปสองข้าง เพื่อว่าเขาทั้งสองได้เดินข้ามไปบนดินแห้ง

9 แล้วสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้น หลังจากพวกเขาได้ข้ามไปแล้ว เอลียาห์ได้พูดกับเอลีชาว่า “จงขอเราเถิด เจ้าอยากให้เราทำอะไรให้แก่เจ้า ก่อนที่เราจะถูกรับไปจากเจ้า” เอลีชาได้ตอบว่า “โปรดให้วิญญาณของท่านสองเท่ามาอยู่เหนือข้าพเจ้า” 10 เอลียาห์ได้ตอบว่า “เจ้าขอสิ่งที่ยากนัก อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าเห็นเราถูกรับไปจากเจ้า เจ้าก็จะได้อย่างนั้น แต่ถ้าเจ้าไม่เห็น เจ้าก็จะไม่ได้”

11 เมื่อพวกเขายังได้เดินสนทนากันต่อไป ดูสิ รถม้าศึกเพลิงคันหนึ่งและพวกม้าเพลิงได้แยกเขาทั้งสองออกจากกัน และเอลียาห์ได้ขึ้นไปท้องฟ้าโดยพายุหมุน 12 เอลีชาได้เห็น และได้ร้องว่า “บิดาของข้า บิดาของข้า รถม้าศึกแห่งอิสราเอล และทหารม้าของพวกเขา" เขาก็ไม่ได้เห็นเอลียาห์อีกเลย แล้วเอลีชาได้จับเสื้อผ้าของตนและได้ฉีกออกเป็นสองท่อน

13 เอลีชาก็ได้หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ ที่ตกลงมาจากเอลียาห์นั้น และได้กลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน 14 เขาก็ได้เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมานั้น ฟาดลงไปที่น้ำและได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเอลียาห์สถิตที่ใด?” เมื่อเขาฟาดลงที่น้ำ น้ำก็แยกออกเป็นสองข้าง และเอลีชาก็ได้เดินข้ามไป

15 เมื่อเหล่าผู้เผยพระวจนะที่อยู่เมืองเยรีโคเห็นเขาอยู่แต่ไกล เขาทั้งหลายได้พูดว่า “วิญญาณของเอลียาห์อยู่กับเอลีชา” ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงมาพบเขา และได้ก้มลงถึงดินทำการเคารพต่อหน้าเขา 16 เขาทั้งหลายได้พูดกับเขาว่า “ดูเถิดบัดนี้ มีชายฉกรรจ์ห้าสิบคนอยู่กับพวกผู้รับใช้ของท่าน พวกเราวิงวอนขอให้พวกเขาไปและเสาะหาเจ้านายของท่าน เผื่อว่าพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้รับท่านไปแล้วและได้เหวี่ยงท่านลงมาที่ภูเขาลูกหนึ่งหรือหุบเขาแห่งหนึ่ง” เอลีชาได้ตอบว่า “อย่าใช้พวกเขาไปเลย”

17 แต่เมื่อพวกเขาได้รบเร้าเอลีชาจนเขาละอาย แล้วเขาจึงได้พูดว่า “ใช้พวกเขาไปเถิด” แล้วพวกเขาจึงใช้ห้าสิบคนไป และพวกเขาได้เสาะหาเอลียาห์อยู่สามวันแต่ไม่พบท่าน 18 พวกเขาก็ได้กลับมาหาเอลีชา ขณะที่เขาพักอยู่ที่เมืองเยรีโค และเอลีชาได้พูดกับพวกเขาว่า “เราบอกพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘อย่าไปเลย?’”

19 ผู้คนในเมืองนั้นได้พูดกับเอลีชาว่า “ดูสิ พวกเราได้ขอร้องท่าน ทำเลเมืองนี้ร่มรื่นดี เหมือนที่เจ้านายของข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว แต่น้ำไม่ดีและแผ่นดินก็ไม่เกิดผล” 20 เอลีชาได้พูดว่า “จงเอาชามใหม่มาใบหนึ่งและใส่เกลือในนั้น” แล้วเขาทั้งหลายก็ได้นำมาให้เขา

21 แล้วเอลีชาก็ได้ไปที่น้ำพุและโยนเกลือลงในนั้นและเขาได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เราทำน้ำนี้ให้ดีแล้ว ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีความตายหรือการไม่เกิดผล’” 22 ดังนั้น น้ำนั้นจึงดีมาจนถึงทุกวันนี้ ตามถ้อยคำที่เอลีชาได้กล่าวนั้น

23 แล้วเอลีชาได้ขึ้นไปจากที่นั่นถึงเมืองเบธเอล และขณะขึ้นไปตามทาง มีพวกเด็กหนุ่มได้ออกมาจากเมืองและล้อเลียนเขา โดยพูดกับเขาว่า “ไปให้พ้น เจ้าหัวล้าน ไปให้พ้น เจ้าหัวล้าน” 24 เอลีชาก็ได้หันมาเห็นเขาและได้มองพวกเขา เอลีชาจึงได้แช่งพวกเขาในพระนามพระยาห์เวห์ แล้วมีหมีตัวเมียสองตัวได้ออกมาจากป่าและได้ทำให้เด็กชายเหล่านั้นสี่สิบสองคนได้รับบาดเจ็บ 25 แล้วเอลีชาได้ขึ้นไปถึงภูเขาคารเมล และจากที่นั่นเขาก็ได้กลับมายังกรุงสะมาเรีย

3

1 บัดนี้ ในปีที่สิบแปดของรัชกาลเยโฮชาฟัทกษัตริย์ยูดาห์ โยรัมพระราชโอรสของอาหับได้ทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย พระองค์ได้ทรงปกครองอยู่สิบสองปี 2 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ไม่ได้ทรงเหมือนพระบิดาและพระมารดาของพระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงรื้อเสาหินศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล ซึ่งพระบิดาของพระองค์ได้ทรงทำไว้ 3 อย่างไรก็ดี พระองค์ยังได้ทรงยึดติดอยู่กับบรรดาความบาปของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้เป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป พระองค์ไม่ได้ทรงหันจากบาปนั้น

4 บัดนี้ เมชากษัตริย์โมอับได้ทรงเป็นผู้เพาะพันธุ์แกะ พระองค์ต้องถวายลูกแกะ 100,000 ตัว และขนแกะตัวผู้ 100,000 ผืนแก่กษัตริย์แห่งอิสราเอล 5 แต่ต่อมาเมื่ออาหับได้สวรรคตแล้ว กษัตริย์แห่งโมอับก็ได้กบฏต่อกษัตริย์แห่งอิสราเอล 6 ดังนั้น ในครั้งนั้นกษัตริย์โยรัมได้ทรงออกจากกรุงสะมาเรียเพื่อระดมพลคนอิสราเอลทั้งสิ้นเพื่อการสงคราม

7 พระองค์ได้ทรงส่งสาสน์ไปยังเยโฮชาฟัทกษัตริย์ยูดาห์ กล่าวว่า “กษัตริย์โมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับกับข้าพเจ้าหรือไม่?” เยโฮชาฟัทได้ตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไป ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนที่ท่านเป็น และประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนประชาชนของท่าน บรรดาม้าของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนบรรดาม้าของท่าน” 8 แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า “พวกเราควรจะยกขึ้นไปโจมตีทางไหน?” เยโฮชาฟัทได้ตรัสตอบว่า “ไปทางถิ่นทุรกันดารเอโดม”

9 ดังนั้น กษัตริย์อิสราเอลจึงได้เสด็จไปกับกษัตริย์ยูดาห์ และกษัตริย์เอโดม และเมื่อทั้งสามกษัตริย์เสด็จอ้อมไปได้เจ็ดวันแล้ว ก็หาน้ำให้กองทัพหรือให้ม้าทั้งหลายของพวกเขาหรือเหล่าสัตว์ต่างๆ ที่มาด้วยไม่ได้ 10 ดังนั้น กษัตริย์อิสราเอลจึงได้ตรัสว่า “นี่คืออะไร? พระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกสามกษัตริย์มาเพื่อจะมอบไว้ในมือของโมอับหรือ?”

11 แต่เยโฮชาฟัทได้ตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ เพื่อเราจะให้เขาทูลปรึกษาพระยาห์เวห์หรือ?” แล้วข้าราชบริพารคนหนึ่งในบรรดาข้าราชบริพารของกษัตริย์อิสราเอลได้ทรงตอบและทูลว่า “เอลีชาบุตรชายของชาฟัทอยู่ที่นี่ คือผู้ที่ได้เทน้ำลงบนมือของเอลียาห์” 12 เยโฮชาฟัทได้ตรัสว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์อยู่กับเขา” ดังนั้น เยโฮชาฟัท กษัตริย์อิสราเอล และกษัตริย์เอโดมจึงได้เสด็จลงไปหาท่าน

13 เอลีชาได้ทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “ข้าพระองค์มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระองค์หรือ? ขอเสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์เถิด” ดังนั้น กษัตริย์อิสราเอลได้ตรัสกับท่านว่า “ไม่ไป เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกบรรดากษัตริย์ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบพวกเขาไว้ในมือของโมอับ” 14 เอลีชาได้ทูลว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงเป็นจอมทัพ ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ซึ่งข้าพระองค์ได้อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ แน่ที่เดียว ถ้าข้าพระองค์ไม่ได้เคารพนับถือเยโฮชาฟัทกษัตริย์ยูดาห์แล้ว ข้าพระองค์จะไม่เอาใจจดจ่ออยู่กับพระองค์เลย

15 แต่บัดนี้ ขอได้ทรงนำนักดนตรีมาให้ข้าพระองค์สักคนหนึ่ง” แล้วสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อนักเล่นพิณได้เล่นแล้ว พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็มาเหนือเอลีชา 16 ท่านได้ทูลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘จงทำหุบเขานี้ให้เต็มไปด้วยร่องน้ำ’ 17 เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าทั้งหลายจะไม่เห็นลมหรือฝน แต่หุบเขานั้นจะเต็มไปด้วยน้ำ และเจ้าจะได้ดื่ม ทั้งเจ้าเองกับฝูงปศุสัตว์ของเจ้า และสัตว์ใช้งานทั้งหมดของเจ้า’

18 เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงมอบชัยชนะเหนือคนโมอับให้แก่เจ้าด้วย 19 พวกเจ้าจะโจมตีเมืองที่มีป้อมทุกเมือง และเมืองหลักทุกเมือง โค่นต้นไม้ดีทุกต้น อุดน้ำพุทุกที่ และทำไร่นาดีทุกแปลงให้เสียไปด้วยหิน”

20 ดังนั้น ในเวลาตอนเช้าประมาณเวลาถวายเครื่องบูชา มีน้ำไหลมาทางเมืองเอโดม จนแผ่นดินเต็มไปด้วยน้ำ

21 บัดนี้ เมื่อคนโมอับทั้งหมดได้ยินว่าบรรดากษัตริย์ได้ยกขึ้นมารบกับพวกเขา พวกเขาก็รวบรวมทุกคนที่สวมเสื้อเกราะได้ และพวกเขาได้ไปตั้งรับที่พรมแดน 22 พวกเขาได้ตื่นขึ้นตอนเช้าตรู่ และพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่บนน้ำ เมื่อคนโมอับได้เห็นน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขา สีนั้นแดงเหมือนเลือด 23 พวกเขาได้อุทานว่า “นี่คือเลือด บรรดากษัตริย์ได้สู้รบกันแน่ๆ และพวกเขาได้ฆ่ากันเอง บัดนี้ โมอับเอ๋ย จงมาริบเอาข้าวของของพวกเขาเถิด

24 เมื่อพวกเขาได้มาถึงค่ายอิสราเอล คนอิสราเอลก็ได้ทำให้พวกเขาประหลาดใจและได้ต่อสู้กับพวกโมอับจนเขาทั้งหลายหนีไปต่อหน้าพวกเขา กองทัพของอิสราเอลได้รุกไล่คนโมอับรุกหน้าเข้าไปในแผ่นดินและได้ฆ่าฟันพวกเขา 25 พวกเขาได้ทำลายเมืองต่างๆ และทุกคนได้โยนหินเข้าไปในไร่นาที่ดีทุกแปลง พวกเขาได้อุดน้ำพุเสียทุกที่ และโค่นต้นไม้ดีๆ เสียหมด เหลือแต่เมืองคีร์หะเรเซทเท่านั้น แต่พวกกองทหารกับบรรดานักสลิงได้ล้อมเมืองไว้และได้โจมตี

26 เมื่อกษัตริย์เมชาโมอับทรงเห็นว่าจะสู้ไม่ได้ พระองค์จึงทรงพาพลดาบเจ็ดร้อยนายตีฝ่าออกไปทางกษัตริย์เอโดม แต่พวกเขาออกมาไม่ได้ 27 แล้วพระองค์ได้ทรงนำพระราชโอรสหัวปีของพระองค์ ผู้ควรจะขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ และได้ถวายพระโอรสเป็นเครื่องเผาบูชาที่บนกำแพง ดังนั้นจึงมีความโกรธแค้นอย่างใหญ่หลวงต่อพวกอิสราเอล และกองทัพอิสราเอลจึงได้ถอยไปจากกษัตริย์เมชาและได้ยกทัพกลับแผ่นดินของตน

4

1 บัดนี้ ภรรยาของคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะได้ร้องทุกข์ต่อเอลีชา กล่าวว่า “คนรับใช้ของท่าน คือสามีของฉันได้เสียชีวิตแล้ว และท่านทราบอยู่แล้วว่าคนรับใช้ของท่านเกรงกลัวพระยาห์เวห์ บัดนี้ เจ้าหนี้ได้มาเพื่อจะเอาลูกสองคนของดิฉันไปเป็นทาสของเขา” 2 ดังนั้น เอลีชาได้ตอบนางว่า “จะให้เราทำอะไรให้แก่เจ้า ? จงบอกเราซิว่าเจ้ามีอะไรอยู่ในบ้านบ้าง?” นางได้ตอบว่า “คนรับใช้ของท่านไม่มีอะไรในบ้าน นอกจากน้ำมันหนึ่งไห”

3 แล้วเอลีชาได้กล่าวว่า “จงออกไป ขอยืมเหยือกเปล่าจากเพื่อนบ้านทุกคน ขอยืมมามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 4 แล้วเจ้าจงเข้าบ้าน และปิดประตูขังตัวเองและบุตรชายไว้ แล้วเทน้ำมันใส่เหยือกเหล่านี้ทั้งหมด ใบที่เต็มแล้วให้แยกไว้ต่างหาก”

5 ดังนั้น นางก็ได้ไปจากเอลีชา และปิดประตูขังตัวเองกับบุตรชายของนางไว้ พวกเขาได้นำเหยือกมาให้นาง และนางก็ได้เติมน้ำมันใส่เหยือกเหล่านั้น 6 เมื่อภาชนะเต็มหมดแล้วนางจึงได้บอกบุตรชายของนางว่า “เอาเหยือกอีกใบหนึ่งมาให้แม่” แต่เขาได้ตอบนางว่า “ไม่มีเหยือกเหลือแล้ว” แล้วน้ำมันก็หยุดไหล

7 แล้วนางก็ได้มาบอกให้คนของพระเจ้าทราบ เขาพูดว่า “จงไปขายน้ำมัน แล้วเอาเงินชำระหนี้ของเธอ และส่วนที่เหลือนั้นเธอกับลูกๆ จงใช้เลี้ยงชีวิต”

8 วันหนึ่งเอลีชาได้ผ่านไปยังเมืองชูเนม ที่ซึ่งหญิงผู้มั่งคั่งคนหนึ่งได้อาศัยอยู่ นางได้ชวนให้เขารับประทานอาหารกับนาง ฉะนั้นบ่อยครั้งเมื่อเอลีชาได้ผ่านไปทางนั้น เขาก็ได้แวะเข้าไปรับประทานอาหารที่นั่น 9 หญิงคนนี้ได้บอกสามีของนางว่า “ดูสิ ฉันเห็นว่าชายคนนี้ที่เดินผ่านบ้านเราบ่อยๆ นั้นเป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า

10 ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนดาดฟ้าสำหรับเอลีชา และให้พวกเราวางเตียงนอน โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น” 11 ฉะนั้น เมื่อวันที่เอลีชาได้มาหยุดที่นั่นอีก เขาก็พักที่ในห้องนั้น และนอนพักอยู่ที่นั่น

12 เอลีชาจึงได้บอกเกหะซีคนใช้ของท่านว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมคนนี้มา” เมื่อเขาเรียกนาง นางก็ได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขา 13 เอลีชาจึงได้บอกแก่เกหะซีว่า “จงบอกนางว่า ‘นางลำบากมากมายอย่างนี้เพื่อเรา จะให้เราทำอะไรเพื่อนางบ้าง? มีอะไรจะให้ทูลกษัตริย์เพื่อนางหรือไม่? หรือจะให้พูดอะไรกับผู้บัญชาการกองทัพ?'" นางได้ตอบว่า “ฉันอยู่สบายดีในท่ามกลางคนของฉัน”

14 ดังนั้นเอลีชาได้กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอะไรเพื่อนาง?” เกหะซีได้ตอบว่า “แท้จริงนางไม่มีบุตรชายและสามีของนางก็ได้แก่แล้ว” 15 ดังนั้น เอลีชาจึงได้บอกว่า “ไปเรียกนางมา” และเมื่อเขาไปเรียกนาง นางก็ได้มายืนอยู่ที่ประตู 16 เอลีชาได้กล่าวว่า “เมื่อถึงเวลานี้ในปีหน้า เจ้าจะได้อุ้มบุตรชายคนหนึ่ง” นางได้ตอบว่า “อย่าเลย คนของพระเจ้า เจ้านายของดิฉัน อย่าหลอกคนรับใช้ของท่านเลย”

17 แต่หญิงนั้นก็ได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นในปีต่อมาตามที่เอลีชาได้บอกนาง 18 เมื่อเด็กนั้นเติบโตขึ้น วันหนึ่งเขาออกไปหาบิดาของเขาในหมู่คนเกี่ยวข้าว 19 เขาได้บอกบิดาว่า “หัวของฉัน หัวของฉัน” บิดาจึงได้สั่งคนใช้ว่า “อุ้มเขาไปหาแม่” 20 เมื่อคนใช้ได้อุ้มและนำเขามาให้มารดา เด็กนั้นก็นั่งอยู่บนตักมารดาจนเที่ยงวัน แล้วเขาก็เสียชีวิต

21 ดังนั้น นางจึงลุกขึ้นและวางเขาไว้บนที่นอนของคนของพระเจ้า ปิดประตู แล้วออกไปข้างนอก 22 นางก็ได้ไปเรียกสามีของนางและกล่าวว่า “ขอโปรดส่งคนใช้คนหนึ่งกับลาตัวหนึ่งมาให้ฉัน เพื่อฉันจะรีบไปหาคนของพระเจ้า แล้วกลับมาอีก”

23 สามีของนางได้ถามว่า “วันนี้เจ้าจะไปหาท่านทำไม? มันไม่ใช่วันข้างขึ้นหรือวันสะบาโต” นางได้ตอบว่า “ไม่เป็นไร” 24 แล้วนางได้ผูกอานลาและได้สั่งคนใช้ว่า “จงเร่งลาไปเร็วๆ อย่าชะลอฝีเท้า นอกจากฉันสั่ง”

25 ดังนั้น นางก็ได้ออกเดินทาง และมาถึงคนของพระเจ้าที่ภูเขาคารเมล ดังนั้นเมื่อคนของพระเจ้าได้เห็นนางมา เขาก็ได้พูดกับเกหะซีคนใช้ของเขาว่า “ดูสิ หญิงชาวชูเนมคนนั้นนี่ 26 จงรีบไปรับนางเถิด และถามนางว่า ‘เจ้ารวมทั้งสามีของเจ้าและเด็กสบายดีหรือ?’” นางได้ตอบว่า “สบายดีค่ะ”

27 เมื่อนางได้มาพบคนของพระเจ้าที่ภูเขาแล้ว นางก็เข้าไปกอดเท้าของเขา เกหะซีจึงเข้ามาเพื่อจะจับนางออกไป แต่คนของพระเจ้าได้กล่าวว่า “ปล่อยนางเถอะ เพราะนางมีความระทมขมขื่นมาก และพระยาห์เวห์ได้ทรงปิดเรื่องนี้ไว้จากเรา ไม่ได้ทรงแจ้งให้เราทราบ”

28 แล้วนางจึงได้บอกว่า “ฉันขอบุตรชายจากเจ้านายของฉันหรือ? ฉันไม่ได้พูดหรือว่า ‘อย่าหลอกฉันเลย’?” 29 แล้วเอลีชาจึงได้สั่งเกหะซีว่า “คาดเอวของเจ้า แล้วถือไม้เท้าของเราไว้ในมือของเจ้า ไปที่บ้านของนางเถอะ ถ้าเจ้าพบใคร อย่าทักทายเขา และถ้าใครทักทายเจ้า ก็ได้อย่าได้ตอบ จงวางไม้เท้าของเราบนหน้าของเด็กนั้น”

30 แต่มารดาของเด็กนั้นได้เรียนว่า “พระยาห์เวห์ได้ทรงพระชนม์อยู่และตัวท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ฉันจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” ดังนั้น เอลีชาจึงได้ลุกขึ้นตามนางไป 31 เกหะซีได้ล่วงหน้าไปก่อน และได้วางไม้เท้าบนหน้าของเด็กนั้น แต่เด็กนั้นไม่พูดหรือได้ยิน แล้วดังนั้นเกหะซีจึงได้กลับมาพบเอลีชาและบอกเขาว่า “เด็กนั้นยังไม่ตื่นเลย”

32 เมื่อเอลีชามาถึงที่บ้านหลังนั้น เด็กนั้นก็ตายแล้วและยังอยู่บนที่นอน 33 ดังนั้น เอลีชาจึงเข้าไปข้างใน ปิดประตูอยู่กับเด็กนั้น และได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ 34 เขาได้ขึ้นไปและได้นอนทับเด็กคนนั้น เขาเอาปากทับปาก ตาทับตา และมือทับมือ เขาได้เหยียดตัวของเขาบนเด็กชาย และร่างกายของเด็กชายนั้นก็เริ่มอุ่นขึ้นมา

35 แล้วเอลีชาก็ได้ลุกขึ้นและเดินไปรอบๆ ห้อง เขาขึ้นไปและเหยียดตัวของเขาบนเด็กชายอีกครั้ง เด็กนั้นก็ได้จามเจ็ดครั้ง และได้ลืมตาของเขา 36 ดังนั้น เอลีชาจึงเรียกเกหะซีมาและสั่งว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมมา” ดังนั้น เขาจึงไปเรียกนางเข้ามาข้างในห้อง เอลีชาได้กล่าวว่า “จงอุ้มบุตรชายของเจ้าขึ้นมาเถิด” 37 แล้วนางจึงได้เข้ามาทรุดตัวลงที่เท้าของเอลีชาและกราบลงถึงดิน แล้วก็อุ้มบุตรชายของนางขึ้นและพาออกไปข้างนอก

38 แล้วเอลีชาได้กลับมาที่กิลกาลอีกครั้ง แผ่นดินเกิดกันดารอาหาร และพวกผู้เผยพระวจนะกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็ได้บอกคนใช้ของเขาว่า “จงตั้งหม้อใบใหญ่และต้มน้ำแกงให้แก่พวกผู้เผยพระวจนะ” 39 คนหนึ่งในพวกเขาได้ออกไปเก็บผักที่ทุ่งนา พวกเขาได้พบไม้เถาป่าเถาหนึ่งและเก็บน้ำเต้าป่าห่อไว้ในเสื้อคลุมของเขาจนเต็ม พวกเขาได้หั่นและใส่ในน้ำแกงโดยไม่รู้ว่าเป็นผลชนิดอะไร

40 ดังนั้น พวกเขาได้เทน้ำแกงออกให้คนเหล่านั้นกิน ต่อมา ขณะที่พวกเขากำลังกินอยู่นั้น พวกเขาได้ร้องขึ้นและพูดว่า “คนของพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนั้น” ฉะนั้นพวกเขาก็ไม่อาจกินอีกต่อไปได้ 41 แต่เอลีชาได้สั่งว่า “จงเอาแป้งมา” เขาก็ได้ใส่แป้งลงในหม้อ และได้บอกว่า “จงเทออกให้คนเหล่านั้นกิน” แล้วไม่มีอันตรายอยู่ในหม้อนั้นอีกเลย

42 มีชายคนหนึ่งได้มาจากบาอัลชาลิชาห์ มาหาคนของพระเจ้าและได้นำขนมปังบาร์เลย์ยี่สิบก้อนจากการเก็บเกี่ยวพืชผลแรกใส่กระสอบของเขามา และรวงข้าวใหม่ เอลีชาได้กล่าวว่า “จงให้แก่คนเหล่านั้นเพื่อพวกเขาจะกินได้” 43 คนรับใช้ของเขาได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าจะตั้งอาหารเพียงเท่านี้ให้คนหนึ่งร้อยคนกินกันได้อย่างไร?” แต่เอลีชาได้พูดว่า “จงให้สิ่งนี้แก่คนเหล่านั้นเพื่อว่าพวกเขาจะได้กิน เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เขาทั้งหลายจะได้กินและยังเหลืออีก’” 44 ดังนั้น คนรับใช้ของเขาจึงได้ตั้งอาหารไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลาย พวกเขาได้กิน และยังเหลืออยู่จริงตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ได้ทรงสัญญาไว้

5

1 บัดนี้ นาอามานผู้บัญชาการกองทัพของกษัตริย์อารัม เป็นคนสำคัญมากและมีเกียรติในสายพระเนตรของเจ้านายของเขา เพราะพระยาห์เวห์ได้ประทานชัยชนะแก่อารัมโดยเขานี้ เขาเป็นคนแข็งแรงกล้าหาญ แต่เขาป่วยเป็นโรคเรื้อน 2 มีกองโจรชาวอารัมได้ออกไป และได้จับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจากดินแดนอิสราเอล เธอได้มารับใช้ภรรยาของนาอามาน

3 เด็กหญิงได้พูดกับนายผู้หญิงว่า “ฉันปรารถนาให้นายผู้ชายได้ไปพบกับผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในสะมาเรีย แล้วเขาจะได้รักษาเจ้านายของฉันให้หายจากโรคเรื้อนของท่าน” 4 ดังนั้น นาอามานจึงได้ไปและได้ทูลกษัตริย์อารัมว่า เด็กหญิงตัวเล็กจากดินแดนอิสราเอลพูดเช่นนั้น

5 ดังนั้น กษัตริย์อารัมได้ตรัสว่า “จงไปเถิดและเราจะส่งจดหมายไปยังกษัตริย์อิสราเอล” นาอามานก็ได้ไปและได้นำเงินสิบตะลันต์ ทองคำหกพันแผ่น และเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนอีกสิบชุดไปด้วย 6 เขาก็นำจดหมายไปยังกษัตริย์อิสราเอล มีใจความว่า “บัดนี้ เมื่อสารนี้มาถึงท่าน ท่านจะทราบว่า เราได้ส่งนาอามานข้าราชบริพารของเรามายังท่าน เพื่อให้ท่านรักษาเขาให้หายจากโรคเรื้อนของเขา”

7 เมื่อกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงอ่านจดหมายนั้นแล้ว พระองค์ก็ได้ฉีกฉลองพระองค์และตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้าซึ่งจะให้ตายและให้มีชีวิตหรือ ผู้ชายคนนี้จึงต้องการให้เรารักษาคนหนึ่งให้หายจากโรคเรื้อน? ดูเหมือนเขากำลังเริ่มหาเรื่องทะเลาะกับเรา”

8 ดังนั้น เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าได้ยินว่า กษัตริย์อิสราเอลได้ฉีกฉลองพระองค์ของพระองค์ เขาจึงได้ใช้คนไปทูลกษัตริย์ว่า “ทำไมพระองค์จึงได้ฉีกฉลองพระองค์? ให้เขามาหาข้าพระองค์เถิด และเขาจะรู้ว่า มีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งในอิสราเอล” 9 ดังนั้น นาอามานจึงได้มาพร้อมกับบรรดาม้าและรถม้าศึกของเขา และยืนอยู่ที่ประตูบ้านของเอลีชา 10 เอลีชาก็ได้ส่งผู้สื่อสารมาบอกเขาว่า “จงไปและจุ่มตัวของท่านในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง และเนื้อของท่านจะกลับคืนอย่างเดิม และท่านจะสะอาด”

11 แต่นาอามานก็โกรธและได้ไปเสีย และกล่าวว่า “ดูสิ ข้าคิดว่าเขาจะออกมาหาข้าแน่ๆ และมายืนอยู่ และออกพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา แล้วโบกมือเหนือที่นั้นและรักษาโรคเรื้อนของข้า 12 อาบานาห์และฟารปาร์แม่น้ำเมืองดามัสกัส ไม่ดีกว่าบรรดาลำน้ำทั้งหมดของอิสราเอลหรือ? ข้าจะชำระตัวในแม่น้ำเหล่านั้น และจะสะอาดไม่ได้หรือ?” ดังนั้น เขาจึงได้หันหลังไปเสียด้วยความเดือดดาล

13 แล้วคนรับใช้ของนาอามาน ได้เข้ามาใกล้ และได้พูดกับเขาว่า “บิดาของข้าพเจ้า ถ้าผู้เผยพระวจนะจะสั่งให้ท่านทำสิ่งยากอย่างหนึ่ง ท่านจะไม่ทำหรือ? ถ้าเช่นนั้นแล้วเมื่อผู้เผยพระวจนะสั่งท่านให้ทำสิ่งง่ายว่า ‘จงไปจุ่มตัวของท่าน และสะอาดเถิด”’ ท่านยิ่งควรจะทำสักเท่าไร? 14 แล้วเขาจึงได้ลงไปและได้จุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดนเพราะเชื่อฟังตามถ้อยคำของคนของพระเจ้า เนื้อของเขาก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อของเด็กเล็ก และเขาก็หายโรค

15 นาอามานก็ได้กลับมาหาคนของพระเจ้า ทั้งตัวเขาและพรรคพวกของเขา และได้มายืนอยู่ต่อหน้าเอลีชา เขาได้กล่าวว่า “ดูสิ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด ไม่ว่าที่ไหนในโลก นอกจากในอิสราเอล เพราะฉะนั้น บัดนี้ โปรดรับของกำนัลจากคนรับใช้ของท่านเถิด” 16 แต่เอลีชาได้ตอบว่า “พระยาห์เวห์ซึ่งเราปรนนิบัติ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราจะไม่รับอะไรเลยฉันนั้น” นาอามานได้คะยั้นคะยอให้เอลีชารับของกำนัลไว้ แต่เขาได้ปฏิเสธ

17 ดังนั้น นาอามานจึงได้กล่าวว่า “หากท่านไม่รับ ก็โปรดให้คนรับใช้ของท่านเอาดินที่นี่กลับไปมากพอที่ล่อสองตัวจะบรรทุกได้เถิด เพราะตั้งแต่นี้ไป คนรับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชาแด่พระอื่น แต่จะถวายแด่พระยาห์เวห์เท่านั้น 18 ในเรื่องนี้ ขอพระยาห์เวห์ทรงให้อภัยคนรับใช้ของพระองค์ คือเมื่อกษัตริย์นายของข้าพเจ้าได้เข้าไปในนิเวศของพระริมโมนเพื่อจะนมัสการที่นั่น พระองค์ได้ทรงพิงอยู่ที่มือของข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้าต้องก้มตัวลงทำความเคารพในนิเวศของพระริมโมน เมื่อข้าพเจ้าก้มตัวลงทำความเคารพในนิเวศของพระริมโมนนั้น ขอพระยาห์เวห์ทรงให้อภัยคนรับใช้ของพระองค์ในเรื่องนี้เถิด” 19 เอลีชาจึงได้ตอบเขาว่า “จงไปโดยสวัสดิภาพเถิด” ดังนั้นนาอามานจึงได้จากไป

20 เขาออกไปได้ไม่ไกลนัก เมื่อเกหะซีคนใช้ของเอลีชาคนของพระเจ้าคิดในใจว่า “ดูสิ นายของข้าไม่ยอมรับของจากมือของนาอามานคนอารัมที่เขานำมา พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าจะวิ่งตามไปเอามาจากเขาบ้างฉันนั้น” 21 ดังนั้น เกหะซีจึงได้ตามนาอามานไป เมื่อนาอามานได้เห็นคนวิ่งตามเขามา เขาก็ได้กระโดดลงจากรถม้าศึกต้อนรับเขาและได้พูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ?” 22 เกหะซีได้ตอบว่า “เรียบร้อยดี นายข้าได้ใช้ข้ามาบอกว่า ‘ดูเถิด บัดนี้ชายหนุ่มสองคนในกลุ่มผู้เผยพระวจนะจากแดนเทือกเขาเอฟราอิมมาหาเรา โปรดให้เงินพวกเขาสักหนึ่งตะลันต์ และเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนสักสองชุด’”

23 นาอามานได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้ายินดีที่จะให้สองตะลันต์” นาอามานก็ได้คะยั้นคะยอเกหะซี และเอาเงินสองตะลันต์ใส่ในถุงสองใบพร้อมกับเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนสองตัว แล้วให้คนใช้สองคนแบกถุงเงินนำหน้าเกหะซีไป 24 เมื่อเกหะซีได้มาถึงภูเขา เขาก็ได้รับถุงใส่เงินมาจากมือของพวกเขา และเขาได้ซ่อนถุงเงินต่างๆ เก็บไว้ในบ้าน เขาได้ส่งคนเหล่านั้นกลับ และพวกเขาได้จากไป 25 เมื่อเกหะซีได้เข้าไปยืนอยู่ต่อหน้านายของเขา เอลีชาได้ถามเขาว่า “เจ้าไปไหนมาเกหะซี?” เขาได้ตอบว่า “คนรับใช้ของท่านไม่ได้ไปไหน”

26 เอลีชาได้กล่าวกับเกหะซีว่า “จิตใจของเราไม่ได้ไปกับเจ้าหรือ เมื่อชายคนนั้นเลี้ยวรถม้าศึกกลับมาพบเจ้า? นี่เป็นเวลาควรที่จะรับเงิน เสื้อผ้า สวนมะกอก และสวนองุ่น แกะ และโค และคนใช้ชายหญิงหรือ? 27 ฉะนั้นโรคเรื้อนของนาอามานจะติดอยู่กับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าตลอดไป” ดังนั้น เกหะซีก็ได้ไปจากหน้าเขา และเป็นโรคเรื้อนขาวอย่างหิมะ

6

1 บรรดาผู้เผยพระวจนะได้กล่าวกับเอลีชาว่า “สถานที่ที่พวกเราอยู่กับท่านนั้นก็เล็กเกินไปสำหรับเราทุกคน” 2 ขอให้พวกเราไปที่แม่น้ำจอร์แดน ให้ทุกคนตัดไม้ท่อนหนึ่งมาและสร้างเป็นที่อาศัยที่นั่น” และเอลีชาได้ตอบว่า “เจ้าจงไปเถิด” 3 คนหนึ่งในพวกเขาจึงกล่าวว่า “ขอท่านโปรดไปกับผู้รับใช้ของท่านด้วย” เอลีชาได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไป”

4 ดังนั้น ท่านก็ไปกับเขาทั้งหลาย และเมื่อพวกเขามาถึงแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาก็ตัดต้นไม้ 5 แต่ขณะที่คนหนึ่งกำลังตัดต้นไม้อยู่ หัวขวานของเขาตกลงไปในน้ำ เขาจึงร้องขึ้นว่า “แย่แล้ว เจ้านาย ขวานนั้นข้าพเจ้าได้ยืมเขามา”

6 แล้วคนของพระเจ้าถามว่า “ขวานนั้นตกที่ไหน?” เมื่อคนนั้นชี้จุดที่ขวานตกให้เอลีชาแล้ว ท่านก็ตัดไม้อันหนึ่งทิ้งลงไปในน้ำ ทำให้ขวานเหล็กนั้นลอยขึ้นมา 7 เอลีชาจึงบอกว่า “หยิบขึ้นมาซิ” เขาก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา

8 บัดนี้ กษัตริย์อารัมกำลังรบกับอิสราเอล พระองค์ได้ทรงปรึกษากับข้าราชบริพารของพระองค์ว่า “เราจะตั้งค่ายของเราที่นั่น” 9 ดังนั้น คนของพระเจ้าจึงได้ส่งข่าวไปยังกษัตริย์อิสราเอลว่า “ขอพระองค์ทรงระวัง อย่าผ่านมาทางนั้น เพราะคนอารัมกำลังลงไปที่นั่น”

10 กษัตริย์อิสราเอลได้ทรงส่งข่าวไปยังสถานที่ซึ่งคนของพระเจ้าได้บอก และเคยเตือนพระองค์ไว้ เมื่อกษัตริย์เสด็จไปที่นั่นไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง พระองค์ได้ทรงระวังตัว 11 กษัตริย์แห่งอารัมก็กริ้วเพราะเรื่องคำเตือนนี้ พระองค์จึงได้ทรงเรียกข้าราชบริพารมา และได้ตรัสว่า “พวกท่านจะไม่บอกเราหรือว่า คนไหนในพวกเราที่อยู่ฝ่ายกษัตริย์อิสราเอล?”

12 ดังนั้น ข้าราชบริพารคนหนึ่งได้ทูลว่า “ไม่มีใครเลย ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ เพราะเอลีชาผู้เผยพระวจนะในอิสราเอลบอกกษัตริย์อิสราเอลด้วยถ้อยคำซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์” 13 กษัตริย์จึงได้ตรัสว่า “จงไปดูที่เอลีชาอยู่ เพื่อเราจะใช้คนไปจับเขามา” มีบางคนได้ทูลพระองค์ว่า “ดูสิ เขาอยู่ในโดธาน”

14 ดังนั้น กษัตริย์จึงได้ทรงส่งม้า รถม้าศึกทั้งหลาย และกองทัพใหญ่ไปที่โดธาน พวกเขาได้ไปกันในเวลากลางคืน และได้ล้อมเมืองนั้นไว้ 15 เมื่อผู้รับใช้ของคนของพระเจ้าตื่นขึ้นในเวลาตอนเช้า และออกไปข้างนอก นี่แน่ะ กองทัพพร้อมกับม้าและรถม้าศึกได้ล้อมเมืองไว้ และคนใช้นั้นได้บอกท่านว่า “แย่แล้ว เจ้านาย เราจะทำอย่างไรดี?” 16 เอลีชาได้ตอบว่า “อย่ากลัวเลย เพราะคนของเรามีมากกว่าคนของเขา”

17 เอลีชาก็ได้อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเปิดตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น” และพระยาห์เวห์ได้ทรงเปิดตาของผู้รับใช้คนนั้น และเขาก็ได้มองเห็นภูเขาเต็มไปด้วยม้า และรถม้าศึกพร้อมไฟรอบ ๆ เอลีชา 18 และเมื่อคนอารัมได้ลงมาหาท่าน เอลีชาก็ได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงให้คนเหล่านี้ตาบอด” พระองค์จึงได้ทรงให้เขาทั้งหลายตาบอดไปตามที่เอลีชาได้ขอ 19 แล้วเอลีชาได้บอกคนอารัมเหล่านั้นว่า “ไม่ใช่ทางนี้ และไม่ใช่เมืองนี้ จงตามข้ามา และข้าจะพาไปหาคนนั้นที่พวกท่านกำลังมองหาอยู่” และท่านก็ได้พาพวกเขาไปกรุงสะมาเรีย

20 ต่อมาเมื่อพวกเขาได้เข้าไปในกรุงสะมาเรีย เอลีชาได้ทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเปิดตาของคนเหล่านี้เพื่อเขาจะเห็นได้” พระยาห์เวห์จึงทรงเปิดตาของพวกเขาและเขาก็ได้เห็น และนี่แน่ะ พวกเขาได้มาอยู่กลางกรุงสะมาเรีย 21 กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงได้ตรัสแก่เอลีชาเมื่อพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรพวกเขาว่า “พระบิดาของข้าพระองค์ เราควรฆ่าพวกมันดีไหม? เราควรฆ่าพวกมันเลยไหม?”

22 เอลีชาได้ทูลตอบว่า “ขอพระองค์อย่าทรงสังหารพวกเขาเลย คนพวกนี้ที่พระองค์จะทรงประหารนั้น พระองค์ทรงได้จับมาด้วยดาบและธนูก็หาไม่? ขอทรงจัดอาหารและน้ำให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้พวกเขาไปหาเจ้านายของพวกเขาเถิด” 23 ดังนั้น กษัตริย์จึงได้ทรงจัดอาหารมื้อใหญ่ให้พวกเขา และเมื่อพวกเขาได้กินและได้ดื่มแล้ว กษัตริย์ก็ได้ทรงปล่อยพวกเขาไป และพวกเขาทั้งหลายได้กลับไปหาเจ้านายของพวกเขา และพวกอารัมไม่ได้กลับมาในดินแดนอิสราเอลอีก

24 อีกภายหลัง เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมได้ทรงจัดกองทัพทั้งหมดของพระองค์ แล้วได้ไปโจมตีและได้ปิดล้อมสะมาเรียไว้ 25 จึงได้เกิดมีการขาดแคลนอาหารอย่างหนักในสะมาเรีย ดูเถิดขณะเมื่อพวกเขาได้ล้อมเมืองไว้ แม้กระทั่งหัวลาตัวหนึ่งยังมีราคาสูงเป็นเงินหนักถึงแปดสิบเชเขล และเมล็ดถั่วป่าขนาดจุดสี่กับมีราคาขายถึงห้าเชเขล 26 ขณะที่กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้เสด็จผ่านใกล้กำแพงเมือง มีผู้หญิงคนหนึ่งได้ร้องทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของหม่อมฉัน ขอทรงช่วยด้วยเถิด”

27 พระองค์ได้ตรัสว่า “หากพระยาห์เวห์ไม่ทรงช่วยเจ้า เราจะเอาความช่วยเหลือจากที่ไหนมาให้เจ้า? จากลานนวดข้าวหรือ จากบ่อย่ำองุ่นหรือ?” 28 กษัตริย์จึงได้ตรัสถามนางต่อว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร?” นางได้ทูลตอบว่า “หญิงคนนี้บอกหม่อมฉันว่า ‘เอาบุตรชายของเจ้ามาให้พวกเรากินวันนี้เถิด และพวกเราจะกินบุตรชายของฉันวันพรุ่งนี้’” 29 ดังนั้น พวกเราจึงได้ต้มบุตรชายของหม่อมฉันและได้กินเขา และรุ่งขึ้นหม่อมฉันก็ได้พูดกับนางว่า “เอาบุตรชายของเจ้ามา เพื่อพวกเราจะกินกัน แต่นางก็ได้ซ่อนบุตรชายของนางเสีย”

30 เมื่อกษัตริย์ทรงได้ยินถ้อยคำของหญิงนั้น พระองค์ก็ได้ฉีกฉลองพระองค์ (ขณะที่พระองค์ได้เสด็จผ่านใกล้กำแพง) และประชาชนก็ได้มองเห็นพระองค์ทรงฉลองพระองค์ผ้ากระสอบอยู่แนบเนื้อ 31 แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า “ถ้าศีรษะของเอลีชาบุตรชาฟัทยังอยู่บนบ่าของเขาในวันนี้ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษเราและยิ่งหนักกว่า”

32 แต่เอลีชานั่งอยู่ในบ้านของเขา และพวกผู้อาวุโสก็นั่งอยู่ด้วย กษัตริย์ทรงใช้คนหนึ่งมาหาเขา แต่ก่อนที่ผู้สื่อสารจะมาถึงเอลีชา เขาก็ได้พูดกับพวกผู้อาวุโสว่า “ท่านทั้งหลายได้เห็นหรือไม่ว่า ฆาตกรคนนี้ได้ส่งคนมาตัดศีรษะของเรา ดูสิ เมื่อผู้สื่อสารมา จงปิดประตู และยึดประตูให้แน่น ป้องกันเขาไว้ นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของเจ้านายของเขาที่ตามมาหรือ?” 33 ขณะที่ท่านกำลังพูดกับพวกเขาทั้งหลายอยู่ ดูเถิด ผู้สื่อสารได้มาหาท่าน กษัตริย์ได้ตรัสว่า “จงดูเถิด ความเดือดร้อนนี้มาจากพระยาห์เวห์ ทำไมเรารอคอยพระยาห์เวห์อยู่อีก?”

7

1 เอลีชาได้ทูลว่า “ขอทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ตรัส ‘พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ แป้งอย่างดีถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังหนึ่งเชเขลที่ประตูเมืองสะมาเรีย’” 2 แล้วผู้บังคับการทหารคนที่กษัตริย์ได้ทรงยืนพิงมือเขาอยู่ได้ตอบคนของพระเจ้า และได้พูดว่า “ดูเถิด ถ้าแม้พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างหน้าต่างในท้องฟ้าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือ?” เอลีชาได้บอกว่า “ดูเถิด ท่านจะเฝ้าดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยตาของท่านเอง แต่ท่านจะไม่ได้กินอะไรเลย”

3 บัดนี้ มีคนป่วยเป็นโรคเรื้อนสี่คนอยู่ที่ทางเข้าด้านนอกประตูเมือง พวกเขาได้พูดกันว่า “พวกเราจะนั่งที่นี่จนตายทำไมเล่า? 4 ถ้าพวกเราพูดว่า ให้พวกเราเข้าไปในเมือง การขาดแคลนอาหารก็อยู่ในเมืองนั้น และพวกเราก็จะตายที่นั่น แต่ถ้าพวกเรายังนั่งอยู่ที่นี่พวกเราก็จะตายเหมือนกัน ฉะนั้นจงมาเถิด ให้พวกเราไปยังค่ายของคนอารัม ถ้าพวกเขาไว้ชีวิตของพวกเรา พวกเราก็จะรอดตาย และถ้าพวกเขาฆ่าพวกเรา พวกเราก็จะแค่ตายเท่านั้นเอง”

5 ดังนั้น พวกเขาจึงได้ลุกขึ้นในเวลาพลบค่ำ เพื่อจะไปยังค่ายของคนอารัม เมื่อพวกเขาได้มาถึงด้านนอกค่ายของคนอารัม ไม่มีใครที่นั่นสักคน 6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงทำให้กองทัพของคนอารัมได้ยินเสียงของรถม้าศึก เสียงของม้า และเสียงของกองทัพใหญ่อื่นๆ อีก และพวกเขาจึงได้พูดกันว่า “ดูสิ กษัตริย์อิสราเอลได้จ้างบรรดากษัตริย์ของคนฮิตไทต์ และบรรดากษัตริย์ของคนอียิปต์ให้มาสู้กับพวกเรา”

7 ดังนั้น พวกทหารจึงได้ลุกขึ้นและได้หนีไปในเวลาพลบค่ำ และได้ทิ้งบรรดาเต็นท์ ม้า และลาของพวกเขา และได้ทิ้งค่ายไว้อย่างนั้นเอง และหนีเพื่อเอาชีวิตรอด 8 เมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านี้ได้มาถึงด้านนอกสุดของค่าย พวกเขาก็ได้เข้าไปในเต็นท์หนึ่ง กินและดื่ม และขนเงิน ทองคำ และเสื้อผ้าจากที่นั่นเอาไปซ่อนไว้ พวกเขาก็ได้กลับมาและได้เข้าไปในอีกเต็นท์หนึ่ง ขนเอาข้าวของออกไปจากที่นั่น เอาไปซ่อนไว้ด้วย

9 แล้วพวกเขาได้พูดกันว่า “พวกเราทำไม่ถูกเสียแล้ว วันนี้เป็นวันข่าวดี ถ้าพวกเรานิ่งอยู่ และคอยจนแสงอรุณขึ้น โทษจะตกอยู่กับพวกเรา บัดนี้แล้ว มาเถิด ให้พวกเราไปบอกสำนักพระราชวัง” 10 ดังนั้น พวกเขาจึงได้ไป และเรียกคนเฝ้าประตูเมือง และได้บอกแก่เขาทั้งหลาย “พวกเราได้ไปยังค่ายของคนอารัม แต่ไม่มีใครเลยที่นั่นและไม่มีเสียงใครเลย มีแต่ม้าถูกผูกไว้ และลาถูกผูกไว้ และเต็นท์ทั้งหลายก็ได้ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง” 11 แล้วบรรดาคนเฝ้าประตูก็ได้ตะโกนแจ้งข่าวและได้บอกไปถึงสำนักพระราชวัง

12 แล้วกษัตริย์ได้ทรงตื่นบรรทมตอนกลางคืน และได้ตรัสกับพวกข้าราชบริพารของพระองค์ว่า “เราจะแจ้งพวกเจ้าเดี๋ยวนี้ ถึงสิ่งที่คนอารัมได้ทำกับเรา เขาทั้งหลายรู้ว่าเราหิว พวกเขาจึงได้ออกนอกค่ายไปซ่อนตัวที่กลางทุ่ง พวกเขาพูดกันว่า ‘เมื่ออิสราเอลออกจากเมือง เราจะจับเป็นพวกเขา แล้วจะเข้าไปในเมือง’” 13 ข้าราชบริพารคนหนึ่งของกษัตริย์ได้ตอบและทูลว่า “ขอรับสั่งให้บางคนเอาม้าห้าตัว ที่เหลืออยู่ในเมืองไป พวกเขาเป็นเหมือนที่คนอิสราเอลที่เหลืออยู่ในเมือง หรือจะเป็นอย่างคนอิสราเอลที่ส่วนมากได้ตายไปแล้ว ให้เราส่งพวกเขาออกไปและดู”

14 ดังนั้นพวกเขาจึงได้เอารถม้าศึกสองคันกับม้า และกษัตริย์ได้ทรงส่งพวกเขาให้ไปติดตามกองทัพของคนอารัม ตรัสว่า “จงไปและดู” 15 เขาทั้งหลายจึงได้ติดตามไปจนถึงแม่น้ำจอร์แดน และตลอดทางมีเสื้อผ้าและเครื่องใช้ซึ่งคนอารัมได้ทิ้งเพราะความรีบเร่งของพวกเขา ดังนั้นผู้สื่อสารก็ได้กลับมาและได้ทูลกษัตริย์

16 ประชาชนก็ได้ออกไปและริบข้าวของค่ายของคนอารัม ฉะนั้นแป้งอย่างดีจึงได้ขายกันถังละเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังขายหนึ่งเชเขล ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ได้ตรัสไว้ 17 กษัตริย์ได้ทรงสั่งผู้บังคับการทหารคนที่กษัตริย์ได้ทรงยืนพิงมือให้ไปเฝ้าดูแลประตูเมือง และประชาชนก็ได้เหยียบไปบนเขาตรงประตู เขาจึงได้สิ้นชีวิตตามที่คนของพระเจ้าได้กล่าวไว้ เมื่อกษัตริย์ได้เสด็จลงมาหาเขา

18 ดังนั้น สิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นตามที่คนของพระเจ้าได้ทูลกษัตริย์ กล่าวว่า “ประมาณเวลานี้ที่ประตูเมืองสะมาเรีย ข้าวบาร์เลย์สองถังจะขายหนึ่งเชเขล และแป้งอย่างดีหนึ่งถังขายหนึ่งเชเขล” 19 ว่าผู้บังคับการทหารก็ได้ตอบคนของพระเจ้าและได้พูดว่า “ดูเถิด ถ้าแม้พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างหน้าต่างในท้องฟ้าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือ?” และเอลีชาได้ตอบว่า “ดูเถอะ ท่านจะมองดูมันเกิดขึ้นด้วยตาของท่านเอง แต่จะไม่ได้กินอะไรเลย” 20 สิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นจริงกับตัวเขา เพราะประชาชนได้เหยียบเขาที่ประตูเมือง และเขาได้เสียชีวิต

8

1 บัดนี้ เอลีชาได้บอกหญิงคนที่เขาได้ให้บุตรชายของนางกลับคืนชีวิต เขาได้พูดกับนางว่า “จงลุกขึ้นและไปกับครอบครัว และอยู่ในดินแดนอื่นที่เจ้าจะอยู่ได้ เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงบันดาลให้เกิดการขาดแคลนอาหาร และแผ่นดินนี้จะขาดแคลนอาหารอยู่เจ็ดปี” 2 ดังนั้น หญิงคนนั้นก็ได้ลุกขึ้นและนางได้เชื่อฟังถ้อยคำของคนของพระเจ้า นางได้เดินทางไปกับครอบครัวและอาศัยอยู่ในดินแดนฟีลิสเตียเจ็ดปี

3 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น เมื่อสิ้นปีที่เจ็ดแล้ว หญิงคนนั้นก็ได้กลับมาจากดินแดนฟีลิสเตีย และนางได้ไปร้องทูลต่อกษัตริย์เพื่อขอบ้านและที่ดินของนางคืน 4 บัดนี้ กษัตริย์ได้ทรงกำลังกล่าวกับเกหะซีคนรับใช้ของคนของพระเจ้าว่า “จงบอกเราถึงสิ่งยิ่งใหญ่ทุกอย่างที่เอลีชาได้ทำเถิด”

5 แล้วเมื่อเขากำลังทูลกษัตริย์เรื่องที่เอลีชาได้ชุบชีวิตเด็กที่ตายแล้ว ผู้หญิงคนที่ท่านได้ชุบชีวิตบุตรชายของนางได้มาได้มาร้องทูลต่อกษัตริย์ เพื่อขอบ้านและที่ดินของนางคืน เกหะซีได้ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ นี่เป็นหญิงคนนั้นจริงๆ และนี่เป็นบุตรชายของนางที่เอลีชาได้ชุบชีวิต” 6 เมื่อกษัตริย์ได้ตรัสถามผู้หญิงนั้นเกี่ยวกับบุตรชายของนาง นางก็ได้ทูลพระองค์ ดังนั้นกษัตริย์จึงได้ทรงตั้งข้าราชบริพารคนหนึ่งให้ช่วยนาง และรับสั่งว่า “จงจัดการคืนทุกอย่างที่เป็นของนาง พร้อมทั้งพืชผลทั้งหมดของนางนั้น ตั้งแต่วันที่นางได้ออกจากแผ่นดินมาจนถึงเวลานี้”

7 เอลีชาได้มายังดามัสกัส ที่ซึ่งเบนฮาดัดกษัตริย์อารัมได้ทรงประชวรอยู่ และมีคนทูลกษัตริย์ว่า “คนของพระเจ้าได้มาที่นี่” 8 กษัตริย์ตรัสกับฮาซาเอลว่า “จงนำของกำนัลไปพบคนของพระเจ้า และให้ทูลถามพระยาห์เวห์โดยผ่านเขา ถามว่า ‘เราจะหายจากการป่วยไหม?’” 9 ดังนั้นฮาซาเอลจึงไปพบเขา และได้นำของกำนัลติดมือไปด้วย คือของดีทุกอย่างจากดามัสกัส ซี่งได้บรรทุกโดยอูฐสี่สิบตัว ดังนั้นฮาซาเซลได้มา ได้ยืนอยู่ต่อหน้าเอลีชา และกล่าวว่า “บุตรชายของท่าน เบนฮาดัดกษัตริย์อารัมได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านเพื่อถามว่า ‘เราจะหายจากการป่วยไหม?’”

10 เอลีชาได้ตอบเขาว่า “จงไปทูลเบนฮาดัดว่า ‘พระองค์จะหายจากพระอาการประชวรแน่’ แต่พระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าว่า พระองค์จะสวรรคตแน่” 11 แล้วเอลีชาจึงได้เพ่งดูฮาซาเอลจนเขาละอาย และคนของพระเจ้าก็ร้องไห้ 12 ฮาซาเอลได้ถามว่า “ทำไมเจ้านายของข้าพเจ้าจึงร้องไห้?” เขาจึงตอบว่า “เพราะข้าพเจ้าทราบถึงเหตุร้ายที่ท่านจะทำต่อคนอิสราเอล ท่านจะเอาไฟเผาป้อมปราการของเขา จะฆ่าคนหนุ่มด้วยดาบ จับเด็กเล็กฟาดจนแหลก และผ่าท้องหญิงมีครรภ์เสีย”

13 ฮาซาเอลได้ตอบว่า “คนรับใช้ของท่านเป็นใครเล่าที่จะทำสิ่งใหญ่นี้? เขาเป็นเพียงสุนัข” เอลีชาได้ตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านจะเป็นกษัตริย์ที่ทรงครอบครองอารัม” 14 จากนั้น ฮาซาเอลก็ไปจากเอลีชาและมายังเจ้านายของเขา ผู้ซึ่งถามเขาว่า “เอลีชาพูดอย่างไรกับเจ้าบ้าง?” และเขาทูลตอบว่า “ท่านได้บอกว่าพระองค์จะทรงหายจากพระอาการประชวรแน่” 15 แล้วในวันรุ่งขึ้น ฮาซาเอลจึงได้เอาผ้าห่มจุ่มน้ำคลุมพระพักตร์ของเบนฮาดัดจนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคต แล้วฮาซาเอลก็ได้ขึ้นครองราชย์แทน

16 ในปีที่ห้าของรัชกาลโยรัม โอรสของอาหับกษัตริย์อิสราเอล เยโฮรัมได้ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์เป็นโอรสของเยโฮชาฟัทกษัตริย์ยูดาห์ พระองค์ได้ทรงปกครองเมื่อเยโฮชาฟัทเป็นกษัตริย์ยูดาห์ 17 เยโฮรัมมีพระชนมายุสามสิบสองพรรษาเมื่อได้เริ่มปกครองและพระองค์ได้ทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มแปดปี

18 เยโฮรัมได้ทรงดำเนินตามทางของบรรดากษัตริย์อิสราเอล ตามอย่างราชวงศ์อาหับได้ทำ เพราะว่าธิดาของอาหับเป็นมเหสีของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ 19 อย่างไรก็ดี เพราะได้ทรงเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะทำลายยูดาห์ เหตุที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขาว่า จะทรงประทานเชื้อสายให้แก่พระองค์ตลอดไป

20 ในรัชกาลของเยโฮรัม เอโดมได้กบฏ ไม่ยอมอยู่ใต้อุ้งมือของยูดาห์ และพวกเขาได้ตั้งกษัตริย์ขึ้นเหนือพวกเขาเอง 21 แล้วเยโฮรัมจึงได้ทรงเสด็จข้ามไปยังเมืองศาอีร์พร้อมกับรถม้าศึกทั้งสิ้นของพระองค์ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อพระองค์ได้ลุกขึ้นในตอนกลางคืนและได้ทรงถูกโจมตีและถูกโอบล้อมจากพวกเอโดม ผู้ซึ่งได้มาล้อมพระองค์และบรรดาแม่ทัพรถม้าศึก แล้วกองทัพของเยโฮรัมก็หนีกลับบ้านเมืองของพวกเขาได้

22 ดังนั้นเอโดมจึงได้กบฏ ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของยูดาห์จนถึงปัจจุบัน แล้วลิบนาห์ก็ได้กบฏในเวลาเดียวกัน 23 ราชกิจต่างๆ ของเยโฮรัม และทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ยูดาห์แล้วมิใช่? 24 เยโฮรัมจึงได้ทรงล่วงหลับไปและพักสงบอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด แล้วอาหัสยาห์โอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน

25 ในปีที่สิบสองแห่งรัชกาลโยรัมโอรสของอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล อาหัสยาห์โอรสของเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 26 เมื่ออาหัสยาห์ได้ทรงเป็นกษัตริย์นั้น พระองค์มีพระชนมายุยี่สิบสองพรรษา พระองค์ได้ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มหนึ่งปี พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่าอาธาลิยาห์ พระนางเป็นพระราชธิดาของอมรีกษัตริย์อิสราเอล 27 อาหัสยาห์ได้ทรงดำเนินในทางของราชวงศ์อาหับด้วย พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ดังที่ราชวงศ์ของอาหับได้ทรงกระทำ เพราะเป็นบุตรเขยในราชวงศ์ของอาหับ

28 อาหัสยาห์ได้เสด็จไปกับโยรัมโอรสของอาหับ เพื่อทรงทำสงครามกับฮาซาเอลกษัตริย์อารัมที่ราโมทกิเลอาด คนอารัมได้ทำให้โยรัมบาดเจ็บ 29 กษัตริย์โยรัมได้ทรงกลับมารักษาการบาดเจ็บที่ยิสเรเอล ที่เกิดจากที่คนอารัมได้ทำแก่พระองค์ที่รามาห์ เมื่อพระองค์ได้ทรงต่อสู้กับฮาซาเอลกษัตริย์อารัม ดังนั้นอาหัสยาห์โอรสของเยโฮรัมกษัตริย์ยูดาห์ ได้เสด็จลงไปหาโยรัมโอรสของอาหับในเมืองยิสเรเอล เพราะโยรัมทรงบาดเจ็บ

9

1 เอลีชาผู้เผยพระวจนะได้เรียกคนหนึ่งในพวกบุตรชายของผู้เผยพระวจนะ และได้พูดกับเขาว่า “จงสวมชุดเดินทาง แล้วถือน้ำมันขวดเล็กนี้ไว้ในมือของเจ้า และไปที่ราโมทกิเลอาด 2 เมื่อเจ้าถึงที่นั่นแล้ว จงมองหาเยฮูบุตรชายของเยโฮชาฟัท บุตรชายของนิมชี และจงเข้าไปข้างใน ให้เขาลุกขึ้นจากหมู่พรรคพวกของเขา และนำเขาเข้าไปในห้องชั้นใน 3 แล้วจงเอาน้ำมันในขวดไปและเทลงบนศีรษะของเขา และพูดว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล”’ แล้วจงเปิดประตูและวิ่งออกไป อย่ารอช้าอยู่”

4 ด้วยเหตุนี้ คนหนุ่มคนนั้น คือผู้เผยพระวจนะหนุ่ม จึงได้ไปยังราโมทกิเลอาด 5 เมื่อเขามาถึง ดูเถิด บรรดาผู้บังคับบัญชาทหารกำลังนั่งอยู่ ดังนั้นผู้เผยพระวจนะหนุ่มได้พูดว่า “ท่านผู้บัญชาการ ข้าพเจ้านำข่าวมาถึงท่าน” เยฮูได้พูดว่า “มาถึงใครในพวกเรา?” ผู้เผยพระวจนะหนุ่มได้ตอบว่า “มาถึงท่าน ท่านผู้บัญชาการ” 6 ดังนั้นเยฮูก็ได้ลุกขึ้นและได้เข้าไปในบ้าน และผู้เผยพระวจนะก็ได้เทน้ำมันลงบนศีรษะของเขาและได้พูดกับเยฮูว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนของพระยาห์เวห์ คือเหนือคนอิสราเอล

7 เจ้าจงโค่นราชวงศ์ของอาหับนายของเจ้า เพื่อเราจะแก้แค้นให้เลือดของพวกผู้รับใช้ของเราคือบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเลือดของพวกผู้รับใช้ทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ ผู้ซึ่งถูกฆ่าโดยมือของเยเซเบล 8 เพราะว่าราชวงศ์อาหับทั้งหมดจะต้องพินาศ และเราจะกำจัดบุตรชายทุกคนเสียจากอาหับ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทาสหรือไท

9 เราจะทำให้ราชวงศ์ของอาหับเป็นเหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท และเหมือนราชวงศ์ของบาอาชาบุตรชายของอาหิยาห์ 10 พวกสุนัขจะกินเยเซเบลในยิสเรเอล และจะไม่มีใครฝังศพนาง’” แล้วผู้เผยพระวจนะก็ได้เปิดประตูและวิ่งหนีไป

11 แล้วเมื่อเยฮูได้ออกมาพบพวกข้าราชบริพารของเจ้านายของเขา พวกเขาได้ถามเขาว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ? ทำไมคนบ้าคนนี้จึงมาหาท่าน?” เยฮูได้พูดกับเขาทั้งหลายว่า “พวกท่านรู้จักชายคนนั้นและสิ่งที่เขาพูดแล้ว” 12 แต่เขาทั้งหลายได้พูดว่า “นั่นไม่จริง จงบอกพวกเรามาเถิด” เยฮูได้ตอบว่า “เขาได้พูดอย่างนี้และอย่างนั้นกับข้าพเจ้า และเขายังได้พูดว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล’” 13 แล้วพวกเขาแต่ละคนก็ได้รีบเอาเครื่องแต่งกายที่สวมข้างนอกของเขาออกมาปูให้เยฮูเหยียบที่บันไดขั้นบนสุด พวกเขาได้เป่าเขาสัตว์ และพูดว่า “เยฮูเป็นกษัตริย์”

14 ด้วยวิธีนี้ เยฮูบุตรชายของเยโฮชาฟัท บุตรชายของนิมชีได้ร่วมกับคนอื่นคิดกบฏต่อโยรัม ตอนนี้โยรัมได้ทรงกำลังป้องกันเมืองราโมทกิเลอาด พระองค์กับอิสราเอลทั้งสิ้นไว้จากฮาซาเอลกษัตริย์อารัม 15 แต่กษัตริย์โยรัมได้ทรงกลับไปที่ยิสเรเอลเพื่อรักษาบาดแผลที่คนอารัมทำร้ายพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงสู้รบกับฮาซาเอลกษัตริย์อารัม เยฮูจึงได้กล่าวกับพวกข้าราชบริพารของโยรัมว่า “ถ้านี่เป็นความประสงค์ของท่านทั้งหลาย ก็อย่าให้คนหนึ่งคนใดเล็ดลอดออกจากเมืองเพื่อไปบอกข่าวนี้ในยิสเรเอลได้” 16 ดังนั้นเยฮูได้ขึ้นรถม้าศึกไปยังยิสเรเอล เพราะโยรัมทรงพักนอนที่นั่น ตอนนี้อาหัสยาห์กษัตริย์ยูดาห์ได้เสด็จลงมาเยี่ยมโยรัม

17 ทหารยามกำลังยืนอยู่บนหอคอยที่ยิสเรเอล และเขาได้มองเห็นพวกของเยฮูมา ขณะที่เขามาจากระยะไกล เขาได้พูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นคนพวกหนึ่งกำลังมา” โยรัมตรัสว่า “จงใช้พลม้าคนหนึ่งไปและพบพวกเขาและให้ถามเขาว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ?’” 18 ดังนั้นพระองค์จึงส่งชายคนหนึ่งขี่หลังม้าไปพบเขา เขาได้พูดว่า “กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘มาอย่างสันติหรือ?’” ดังนั้นเยฮูได้ตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ? จงเลี้ยวกลับตามเรามา” แล้วทหารยามก็ได้รายงานต่อกษัตริย์ว่า “ผู้สื่อสารได้ไปพบพวกเขาแล้ว แต่เขาไม่ได้กลับมา”

19 แล้วพระองค์จึงทรงใช้ชายคนที่สองขี่ม้าออกไป ผู้ซึ่งได้มาถึงพวกเขา และได้พูดว่า “กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ?’” เยฮูได้ตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ? จงเลี้ยวกลับและตามเรามา” 20 อีกครั้งหนึ่งทหารยามก็ได้รายงานว่า “เขาได้ไปพบคนเหล่านั้นแล้ว แต่ไม่กลับมา วิธีการขับรถม้านั้นก็เหมือนกับการขับรถม้าของเยฮูบุตรชายของนิมชี เพราะเขากำลังขับอย่างบ้าคลั่ง”

21 ดังนั้นโยรัมได้ตรัสว่า “จงเตรียมรถม้าศึกของเรา” พวกเขาก็ได้จัดรถม้าศึกของพระองค์ และโยรัมกษัตริย์แห่งอิสราเอล และอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์แต่ละพระองค์ก็ได้ทรงรถม้าศึกของตนเพื่อจะทรงพบกับเยฮู พระองค์ทั้งสองได้พบเขาที่ที่ดินของนาโบทชาวยิสเรเอล 22 เมื่อโยรัมได้ทอดพระเนตรเยฮูแล้ว พระองค์จึงได้ตรัสว่า “เยฮู เจ้ามาอย่างสันติหรือ?” เยฮูได้ทูลตอบว่า “จะสันติได้อย่างไร เมื่อการนอกใจโดยการบูชารูปเคารพ และวิทยาคมของเยเซเบลมารดาของพระองค์ยังมีอยู่มากมายเช่นนี้?”

23 ดังนั้น โยรัมได้ทรงชักบังเหียนรถม้าศึกหันกลับและได้หนีไป และได้ตรัสกับอาหัสยาห์ว่า “อาหัสยาห์ มีกบฏ” 24 แล้วเยฮูก็ได้โก่งธนูของเขาด้วยสุดกำลัง และได้ยิงถูกโยรัมระหว่างพระอังสาทั้งสอง ลูกธนูจึงได้แทงทะลุพระหทัย และพระองค์ก็ได้ทรงล้มลงในรถม้าศึกของพระองค์

25 ต่อมาเยฮูได้พูดกับบิดคาร์ ผู้บัญชาการทหารว่า “จงยกเขาขึ้น และโยนทิ้งลงไปในที่ดินแปลงของนาโบทชาวยิสเรเอล ขอให้คิดถึงเมื่อเรากับเจ้าได้ขี่ม้าเคียงกันมา ให้พระองค์ตามอาหับบิดาของพระองค์ไป พระยาห์เวห์ได้ทรงกล่าวโทษพระองค์ว่า 26 ‘พระยาห์เวห์ตรัสว่า เมื่อวานนี้เราได้เห็นเลือดของนาโบทและเลือดของบุตรชายของเขา และเราจะได้ตอบสนองเจ้าบนที่ดินแปลงนี้แหละ พระยาห์เวห์ตรัสเวลานี้ว่า จงยกเขาขึ้นและโยนเขาทิ้งไว้บนที่ดินแปลงนี้ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์”

27 เมื่ออาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทอดพระเนตรเห็นดังนี้ พระองค์ได้ทรงหนีไปตามถนนไปทางเมืองเบธฮักกาน แต่เยฮูก็ได้ติดตามพระองค์ไป และได้พูดว่า “จงฆ่าเขาในรถม้าศึกด้วย” และเขาทั้งหลายได้ยิงพระองค์ตรงทางขึ้นไปตำบลกูร ซึ่งอยู่ใกล้อิบเลอัม และอาหัสยาห์ได้ทรงหนีไปถึงเมืองเมกิดโด และสวรรคตที่นั่น 28 บรรดาข้าราชบริพารของพระองค์ก็ได้บรรทุกพระศพใส่รถม้าศึกไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และได้ฝังพระองค์ไว้ในอุโมงค์ฝังศพกับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด

29 บัดนี้ในปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลโยรัมโอรสของอาหับ ที่อาหัสยาห์ได้ทรงครองราชย์เหนือยูดาห์

30 เมื่อเยฮูได้มาถึงเมืองยิสเรเอล เยเซเบลทรงทราบเรื่อง และนางก็ได้ทรงเขียนตาของนาง ได้แต่งพระเกศา และทอดพระเนตรออกไปทางหน้าต่าง 31 เมื่อเยฮูได้ผ่านเข้าประตูเข้ามา พระนางจึงตรัสว่า “เจ้ามาอย่างสันติหรือ เจ้าฆ่านายของเจ้าอย่างเจ้าศิมรีหรือ?” 32 เยฮูได้แหงนหน้าไปที่หน้าต่างและกล่าวว่า “ใครอยู่ฝ่ายเรา? ใครบ้าง?” แล้วก็มีขันทีสองสามคนชะโงกหน้าต่างออกมาดู

33 ดังนั้นเยฮูจึงกล่าวว่า “โยนนางลงมา” ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงโยนเยซาเบลลงมา และเลือดของนางก็กระเด็นติดผนังกำแพงกับพวกม้า และเยฮูก็ได้เหยียบย่ำไปบนร่างของนาง 34 เมื่อเยฮูได้เข้าไปในพระราชวัง เขาได้กินและดื่ม แล้วได้พูดว่า “ บัดนี้จงดูหญิงที่ได้รับการแช่งสาปคนนี้เถิด จงเอานางไปฝังเสีย เพราะนางเป็นธิดาของกษัตริย์”

35 เมื่อพวกเขาได้ไปเพื่อจะฝังศพนาง แต่พวกเขาก็ไม่ได้พบอะไรมากไปกว่า กะโหลกศีรษะ เท้า และฝ่ามือของนาง 36 ดังนั้นพวกเขาได้กลับมาและได้บอกเยฮู เขาได้กล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งได้พระองค์ได้ตรัสทางเอลียาห์ชาวทิชบีผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘ในยิสเรเอลสุนัขจะกินเนื้อของเยเซเบล 37 และศพของเยเซเบลจะเป็นเหมือนมูลสัตว์บนที่ดินของแผ่นดินที่ยิสเรเอล เพื่อว่าจะไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “นี่คือ เยเซเบล’””

10

1 ตอนนี้อาหับได้ทรงมีโอรสเจ็ดสิบองค์ในสะมาเรีย เยฮูได้เขียนจดหมายส่งไปสะมาเรีย ถึงบรรดาผู้ปกครองเมืองยิสเรเอล รวมทั้งพวกผู้อาวุโส และบรรดาพี่เลี้ยงของโอรสของอาหับว่า 2 “ในเมื่อบรรดาบุตรชายของนายของพวกท่านอยู่กับท่าน ท่านมีรถม้าศึกกับม้า และเมืองที่มีป้อม และอาวุธ ดังนั้นแล้วทันทีที่จดหมายนี้มาถึงท่าน 3 จงคัดเลือกบุตรชายนายของท่าน คนที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุด แล้วตั้งคนนั้นไว้บนบัลลังก์ของบิดาของเขา และจงสู้รบเพื่อราชวงศ์นายของพวกท่าน”

4 แต่พวกเขากลัวมาก และได้พูดว่า “ดูเถิด กษัตริย์สองพระองค์ยังทรงต้านทานเยฮูไม่ได้ แล้วพวกเราจะต้านทานได้อย่างไร?” 5 แล้วผู้ดูแลพระราชวัง ผู้ดูแลเมือง พวกผู้อาวุโสและพวกพี่เลี้ยงเด็ก ได้ส่งสารกลับไปถึงเยฮูว่า “พวกเราเป็นผู้รับใช้ของท่าน พวกเราจะทำทุกอย่างที่ท่านสั่ง พวกเราจะไม่ตั้งผู้ใดเป็นกษัตริย์ ขอทำตามที่ดวงตาท่านเห็นว่าดีเถิด”

6 แล้วเยฮูได้เขียนจดหมายเป็นฉบับที่สองถึงพวกเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายเรา และถ้าท่านจะเชื่อฟังเรา ท่านต้องนำศีรษะของบรรดาบุตรชายนายของท่าน และมาหาเราที่ยิสเรเอลพรุ่งนี้เวลานี้” บัดนี้บรรดาบุตรชายเจ็ดสิบคนของกษัตริย์อยู่กับคนใหญ่คนโตในเมือง ผู้ได้ชุบเลี้ยงพวกเขามา 7 ดังนั้นเมื่อจดหมายได้มาถึงพวกเขา พวกเขาก็ได้จับบุตรชายของกษัตริย์ทั้งเจ็ดสิบคนและได้สังหารเสีย แล้วได้เอาศีรษะใส่ตะกร้า และได้ส่งไปให้เยฮูที่ยิสเรเอล

8 ผู้สื่อสารได้มาบอกเยฮูว่า “พวกเขาได้นำศีรษะบุตรชายของกษัตริย์มาแล้ว” ดังนั้นเขาได้พูดว่า “จงกองบรรดาศีรษะไว้เป็นสองกองตรงทางเข้าประตูเมืองจนถึงตอนเช้า” 9 พอตอนเช้า เยฮูได้ออกไปและยืน และได้พูดกับประชาชนทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายเป็นผู้ไร้ความผิด ดูเถิด เราได้กบฏต่อนายของเราและประหารพระองค์เสีย แต่ใครเล่าที่ฆ่าคนเหล่านี้?

10 บัดนี้ท่านจงทราบแน่เถิดว่า พระวจนะของพระยาห์เวห์ไม่ว่าส่วนใดก็ตาม ซึ่งพระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับราชวงศ์ของอาหับจะไม่ตกดินแต่อย่างใดเลย เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงทำตามที่ตรัสผ่านทางเอลียาห์ผู้รับใช้ของพระองค์” 11 ดังนั้นเยฮูได้ประหารทุกคนที่เหลืออยู่ในราชวงศ์ของอาหับในเมืองยิสเรเอล อีกทั้งคนใหญ่คนโตทุกคนของพระองค์ สหายสนิทของพระองค์ และปุโรหิตของพระองค์ จนพวกเขาไม่เหลือรอดชีวิตสักคนเดียวเลย

12 แล้วเยฮูได้ลุกขึ้นและได้ออกไป เขาได้ไปยังสะมาเรีย ในระหว่างทางที่เขาถึงที่เบธเอเขดหมู่บ้านของผู้เลี้ยงแกะ 13 เขาได้พบญาติของอาหัสยาห์กษัตริย์ยูดาห์ เยฮูได้ถามว่า “พวกท่านเป็นใคร?” พวกเขาได้ตอบว่า “พวกเราเป็นญาติของอาหัสยาห์ และพวกเรากำลังจะไปเยี่ยมบรรดาบุตรชายของกษัตริย์และของพระราชินีเยเซเบล” 14 เยฮูได้พูดกับพวกคนของเขาว่า “จับเป็นพวกเขา” ดังนั้น เขาทั้งหลายก็จับเป็นคนเหล่านั้น และสังหารพวกเขาทั้งสี่สิบสองคนที่บ่อเบธเอเขด เขาไม่ได้ไว้ชีวิตของพวกเขาสักคนเดียว

15 เมื่อเยฮูได้ออกจากที่นั่น เขาก็ได้พบเยโฮนาดับบุตรชายของเรคาบผู้ซึ่งกำลังมาหาเขา เยฮูได้ต้อนรับเขา และได้พูดกับเขาว่า “จิตใจของเจ้าซื่อตรงต่อจิตใจของเรา อย่างที่จิตใจของเราซื่อตรงต่อจิตใจของเจ้าหรือ?” เยโฮนาดับได้ตอบว่า “ซื่อตรงสิ” เยฮูได้พูดว่า “ถ้าซื่อตรงก็ยื่นมือของเจ้ามาให้เรา” เยโฮนาดับจึงยื่นมือของเขาให้เยฮู และเยฮูก็ดึงเยโฮนาดับขึ้นมาบนรถม้าศึก 16 เยฮูได้พูดว่า “มากับเราเถิด และดูความกระตือรือร้นของเราเพื่อพระยาห์เวห์” ดังนั้นเขาจึงให้เยโฮนาดับนั่งรถม้าศึกไปกับเขา 17 เมื่อเขาได้มาถึงสะมาเรีย เยฮูได้ประหารทุกคนในราชวงศ์ของอาหับที่เหลืออยู่ในสะมาเรียจนหมด เยฮูได้ทำลายเชื้อพระวงศ์ทุกคนในราชวงศ์ของอาหับ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ได้ตรัสกับเอลียาห์

18 แล้วเยฮูได้เรียกประชุมประชาชนทั้งหมด และได้พูดกับเขาทั้งหลายว่า “อาหับปรนนิบัติพระบาอัลเล็กน้อย แต่เยฮูจะปรนนิบัติพระองค์มากกว่า 19 ดังนั้นในเวลานี้ จงเรียกผู้พยากรณ์ของพระบาอัลมาหาเราให้หมด ทั้งผู้นมัสการและนักบวชทั้งหมดของพระบาอัล อย่าให้ใครขาดไปเลย เพราะเราจะมีการถวายสัตวบูชาครั้งใหญ่แก่พระบาอัล ใครขาดก็จะไม่ให้มีชีวิตอยู่” แต่เยฮูได้ทำอย่างมีเลศนัยเพื่อจะทำลายพวกที่นมัสการพระบาอัล 20 เยฮูได้พูดว่า “จงจัดประชุมเพื่อนมัสการพระบาอัล” ดังนั้นพวกเขาก็ป่าวร้องเรียกประชุมดังกล่าว

21 แล้วเยฮูได้ส่งข่าวไปทั่วอิสราเอล และพวกผู้นมัสการพระบาอัลก็มาทั้งหมด จึงไม่มีเหลือสักคนหนึ่งที่ไม่ได้มา เขาทั้งหลายก็เข้าไปในวิหารของพระบาอัล แล้ววิหารของพระบาอัลก็เต็มแน่นขนัดจากข้างหนึ่งถึงอีกข้างหนึ่ง 22 เยฮูได้สั่งผู้ดูแลตู้เสื้อคลุมว่า “จงเอาเสื้อสำหรับผู้นมัสการพระบาอัลออกมา” เขาก็เอาเสื้อออกมาให้เขาทั้งหลาย

23 ดังนั้นเยฮูได้เข้าไปในวิหารของพระบาอัล พร้อมกับเยโฮนาดับบุตรเรคาบ เขาได้พูดกับผู้นมัสการพระบาอัลว่า “จงค้นดู ดูให้ดีว่าไม่มีผู้นมัสการพระยาห์เวห์อยู่กับพวกท่าน ให้มีแต่ผู้นมัสการพระบาอัลเท่านั้น” 24 แล้วเขาทั้งหลายได้เข้าไปถวายเครื่องสัตวบูชาและเครื่องเผาบูชา เยฮูวางคนแปดสิบคนไว้ภายนอก และได้พูดว่า “ถ้าคนไหนปล่อยให้คนหนึ่งคนใดซึ่งเรามอบไว้ในมือพวกเจ้าหนีรอดไปได้ เขาต้องเสียชีวิตของเขาแทน”

25 ดังนั้นเมื่อเยฮูได้เสร็จการถวายเครื่องเผาบูชา เยฮูก็ได้สั่งทหารยามและพวกผู้บัญชาการว่า “จงเข้าไปฆ่าพวกเขาเสีย อย่าให้รอดสักคนเดียว” เมื่อฆ่าเขาทั้งหลายด้วยคมดาบแล้ว ทหารยามและพวกผู้บัญชาการก็โยนศพออกไปข้างนอก และก็เข้าไปที่ห้องข้างในของวิหารพระบาอัล 26 พวกเขาได้นำเอาเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารของพระบาอัลออกมาเผาเสีย 27 แล้วพวกเขาได้ทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล และได้ทำลายวิหารของพระบาอัล แล้วทำให้เป็นส้วมจนทุกวันนี้ 28 นี่คือวิธีที่เยฮูได้ทำลายผู้นมัสการพระบาอัลออกจากอิสราเอล

29 แต่เยฮูไม่ได้หันจากบาปของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้ซึ่งเขาได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย นั่นคือ การนมัสการลูกวัวทองคำซึ่งอยู่ในเมืองเบธเอลและในเมืองดาน 30 ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเยฮูว่า “เพราะเจ้าได้ทำดีโดยทำสิ่งที่ชอบในสายตาของเรา และได้ทำต่อราชวงศ์อาหับตามทุกอย่างที่อยู่ในใจของเรา บุตรชายของเจ้าสี่ชั่วอายุคนจะได้นั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล” 31 แต่เยฮูไม่ระมัดระวังที่จะดำเนินตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วยสุดใจของเขา เขาไม่ได้หันจากบาปของเยโรโบอัม ซึ่งเขาได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย

32 ในสมัยนั้น พระยาห์เวห์ทรงเริ่มตัดดินแดนของอิสราเอลออก และฮาซาเอลก็ได้รบชนะทั่วดินแดนอิสราเอล 33 ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก ทั่วแผ่นดินกิเลอาด คนกาด คนรูเบน และคนมนัสเสห์ ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ข้างหุบเขาของอารโนน ผ่านกิเลอาดไปจนถึงบาชาน

34 ในส่วนราชกิจต่างๆ ของเยฮู และทุกอย่างที่ได้ทรงกระทำ และอำนาจทั้งสิ้นของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์อิสราเอลแล้วมิใช่? 35 เยฮูจึงได้เสด็จสวรรคตไปอยู่กับบรรพบุรุษ และพวกเขาก็ฝังพระองค์ไว้ในกรุงสะมาเรีย และเยโฮอาหาสบุตรชายของพระองค์ก็ทรงเป็นกษัตริย์แทน 36 เวลาที่เยฮูได้ทรงปกครองอิสราเอลในสะมาเรียนั้นคือยี่สิบแปดปี

11

1 บัดนี้เมื่ออาธาลิยาห์ มารดาของอาหัสยาห์ ได้เห็นว่าบุตรชายของนางได้เสียชีวิตแล้ว นางก็ได้ลุกขึ้นและสังหารเชื้อพระวงศ์ทั้งสิ้น 2 แต่เยโฮเชบาธิดาของกษัตริย์เยโฮรัมและน้องสาวของอาหัสยาห์ ได้แอบนำโยอาบุตรชายของอาหัสยาห์มาและได้ซ่อนเขาไว้จากท่ามกลางบรรดาลูกชายของกษัตริย์ ซึ่งต้องถูกประหาร รวมทั้งพี่เลี้ยงของเขา นางได้วางเขาไว้ในห้องนอน พวกเขาได้ซ่อนเขาเสียจากอาธาลิยาห์ เพื่อที่ว่าเขาจะไม่ถูกประหารชีวิต 3 เขาได้อยู่กับเยโฮเชบาหกปี ผู้ซึ่งซ่อนเขาไว้ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ในขณะที่อาธาลิยาห์ได้ทรงปกครองเหนือแผ่นดิน

4 แต่ในปีที่เจ็ด เยโฮยาดาได้ส่งสารและได้นำไปมอบให้บรรดาผู้บัญชาการของพวกคารี และของพวกทหารยามให้มาหาเขาในพระวิหารของพระยาห์เวห์ เยโฮยาดาได้ทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลาย และให้พวกเขาสาบานในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ แล้วเขาก็ได้นำบุตรชายของกษัตริย์มาให้พวกเขาเห็น 5 เขาได้สั่งคนเหล่านั้นว่า “สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าทั้งหลายต้องทำคือ กลุ่มหนึ่งในสามกลุ่มของเจ้าผู้ซึ่งเข้าเวรวันสะบาโตจะต้องเฝ้าดูวังของกษัตริย์ 6 อีกกลุ่มหนึ่งในสามกลุ่มจะต้องอยู่ที่ประตูสูร และกลุ่มหนึ่งในสามกลุ่มให้ประจำอยู่ที่ประตูข้างหลังป้อมยาม

7 ส่วนอีกสองกลุ่มซึ่งไม่ได้อยู่เวรในวันสะบาโต พวกเจ้าต้องเฝ้าระวังพระนิเวศของพระยาห์เวห์สำหรับกษัตริย์ 8 พวกเจ้าต้องล้อมกษัตริย์ไว้ ผู้ชายทุกคนพร้อมบรรดาอาวุธในมือของพวกเขา ผู้ใดก็ตามที่ได้เข้าไปใกล้ในแถวจะต้องถูกสังหาร เจ้าต้องอยู่กับกษัตริย์เมื่อพระองค์เสด็จออกและเมื่อพระองค์เสด็จเข้า”

9 ดังนั้นบรรดาผู้บัญชาการก็ได้เชื่อฟังทุกสิ่งตามที่เยโฮยาดาปุโรหิตได้สั่งไว้ แต่ละคนต่างก็นำคนของตน ผู้ซึ่งจะเข้าเวรวันสะบาโต พร้อมกับผู้ที่จะออกเวรวันสะบาโตนั้น และพวกเขาได้มาหาเยโฮยาดาปุโรหิต 10 แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตก็ได้มอบหอกและโล่ซึ่งเป็นของกษัตริย์ดาวิดที่อยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์แก่บรรดาผู้บัญชาการ

11 ดังนั้นพวกทหารยามแต่ละคนได้ยืนพร้อมบรรดาอาวุธในมือของพวกเขา จากด้านขวาของไปถึงด้านซ้ายของพระวิหาร ใกล้แท่นบูชาและพระวิหารล้อมรอบกษัตริย์ 12 แล้วเยโฮยาดาก็ได้นำบุตรชายของกษัตริย์คือโยอาชออกมา ได้สวมมงกุฎให้เขา และได้มอบกฎเกณฑ์แห่งพันธสัญญาให้เขา แล้วเขาทั้งหลายได้ตั้งและเจิมเขาให้เป็นกษัตริย์ แล้วเขาทั้งหลายจึงตบมือ และได้บอกว่า “ขอให้กษัตริย์ทรงพระเจริญ”

13 เมื่ออาธาลิยาห์ได้ยินเสียงทหารยามและเสียงประชาชน นางก็ได้เข้าไปหาประชาชนในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 14 นางได้มอง และดูเถิด กษัตริย์ได้ทรงยืนอยู่ข้างเสา ตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ และมีบรรดาผู้บัญชาการและคนเป่าแตรได้อยู่ข้างกษัตริย์ ประชาชนทั้งสิ้นในแผ่นดินก็ได้ยินดีและเป่าแตร แล้วอาธาลิยาห์ก็ได้ฉีกเสื้อผ้าของนางและได้ตะโกนว่า “กบฏ กบฏ”

15 แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตก็ได้สั่งพวกผู้บัญชาการที่ได้รับการตั้งให้ควบคุมกองทัพว่า “จงนำตัวนางออกมาระหว่างแถวทหาร ใครก็ตามที่ติดตามนางไปก็จงประหารเขาเสียด้วยดาบ” เพราะปุโรหิตได้กล่าวว่า “อย่าประหารนางในพระนิเวศของพระยาห์เวห์” 16 ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงได้จับนาง ขณะที่นางได้ไปถึงทางที่ม้าเข้าลานพระราชวัง และนางได้ถูกสังหารที่นั่น

17 แล้วเยโฮยาดาได้ทำพันธสัญญาระหว่างพระยาห์เวห์กับกษัตริย์และประชาชน ว่าพวกเขาควรจะเป็นประชาชนของพระยาห์เวห์ และยังทำพันธสัญญาระหว่างกษัตริย์กับประชาชนด้วย 18 ดังนั้นประชาชนหมดทั้งแผ่นดินก็ได้เข้าไปในศาลาของพระบาอัล และพังศาลาลง พวกเขาได้ทำลายบรรดาแท่นบูชาและรูปเคารพของพระบาอัลแตกเป็นชิ้นๆ และพวกเขาได้ประหารมัทตาน นักบวชของพระบาอัลเสียที่หน้าแท่นบูชา แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตได้แต่งตั้งพวกยามไว้เฝ้าพระนิเวศของพระยาห์เวห์

19 เยโฮยาดาได้พาพวกผู้บัญชาการ พวกคารี พวกทหารยาม และประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินไปกับเขา และเขาทั้งหลายได้เชิญกษัตริย์เสด็จลงมาจากพระนิเวศของพระยาห์เวห์ร่วมกัน และพวกเขาได้เข้าไปในวังของกษัตริย์ที่ทางประตูทหารยาม โยอาชก็ได้ประทับบนบัลลังก์ของกษัตริย์ 20 ดังนั้นประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินก็ได้เปรมปรีดิ์ และบ้านเมืองก็สงบหลังจากได้ประหารอาธาลิยาห์ด้วยดาบแล้วที่วังของกษัตริย์

21 โยอาชมีพระชนมายุเจ็ดพรรษา เมื่อพระองค์ได้ทรงครองราชย์

12

1 ในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลเยฮู โยอาชได้ทรงครองราชย์ พระองค์ได้ทรงครองราชย์สี่สิบปีในกรุงเยรูซาเล็ม มารดาของพระองค์คือ ศิบียาห์ชาวเบเออร์เชบา 2 โยอาชได้ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ตลอดรัชกาล เพราะเยโฮยาดาปุโรหิตได้แนะนำพระองค์ 3 แต่สถานสูงต่าง ๆ ยังไม่ได้รื้อลง ประชาชนยังคงถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมในสถานสูงเหล่านั้น

4 โยอาชได้ตรัสกับพวกปุโรหิตว่า “เงินทั้งสิ้นอันเป็นของถวายที่บริสุทธิ์ ซึ่งได้นำเข้ามาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ได้แก่เงินที่เรียกจากแต่ละคน คือเงินที่ได้เก็บโดยการสำรวจสำมะโนประชากร หรือเงินที่ได้จากการปฏิญาณของบุคคล หรือเงินที่ประชาชนได้ถวายโดยการดลใจจากพระยาห์เวห์ด้วยสมัครใจของพวกเขา 5 ปุโรหิตควรรับเงินนั้นจากหนึ่งในพวกผู้เก็บเงินทั้งหลายและซ่อมแซมพระวิหารตรงที่ที่เห็นว่าชำรุด”

6 แต่ในปีที่ยี่สิบสามของรัชกาลของกษัตริย์โยอาช พวกปุโรหิตไม่ได้ซ่อมแซมสิ่งใดในพระวิหารเลย 7 แล้วกษัตริย์โยอาชจึงได้ทรงเรียกเยโฮยาดาปุโรหิต และบรรดาปุโรหิตอื่นๆ พระองค์ได้ตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกท่านจึงไม่ซ่อมแซมสิ่งใด ๆ ในพระวิหาร? เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้อย่ารับเงินจากผู้บริจาคเลย แต่ให้เก็บเงินมาเฉพาะที่จะซ่อมพระวิหาร และจ่ายให้แก่พวกผู้ที่จะซ่อมแซมพระวิหารเท่านั้น” 8 ดังนั้นพวกปุโรหิตจึงได้ตกลงกันว่าจะไม่รับเงินจากประชาชนอีก และจะไม่ซ่อมแซมพระวิหารด้วยตัวของพวกเขาเอง

9 แต่เยโฮยาดาปุโรหิตได้นำหีบมาใบหนึ่ง ได้เจาะรูหนึ่งที่ฝาหีบนั้น และได้ตั้งไว้ข้างแท่นบูชาด้านขวา ทางเข้าพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และปุโรหิตผู้เฝ้าอยู่ที่ทางเข้าพระวิหารก็ได้ใส่เงินทั้งหมดลงไปในหีบที่ได้เข้ามาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 10 เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้เห็นว่ามีเงินในหีบมากพอแล้ว อาลักษณ์ของกษัตริย์และมหาปุโรหิตจะมา และเอาเงินใส่ถุง แล้วเอาเงินที่พบในพระวิหารของพระยาห์เวห์ไปนับ

11 พวกเขาได้มอบเงินที่ชั่งแล้วให้แก่บรรดาคนที่ดูแลพระวิหารของพระยาห์เวห์ พวกเขาได้จ่ายให้แก่พวกช่างไม้และพวกช่างก่อสร้าง ผู้ซึ่งได้บูรณะวิหารของพระยาห์เวห์ 12 และให้แก่พวกช่างก่อ และพวกช่างสกัดหิน เพื่อซื้อไม้และหินสกัดที่ใช้ในการซ่อมแซมพระวิหารของพระยาห์เวห์ และสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมดที่จำเป็นในการซ่อมแซม

13 แต่เงินที่ได้นำเข้ามาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์นั้น ไม่ให้นำไปใช้ในการทำพวกถ้วยเงิน กรรไกรตัดไส้ตะเกียง อ่าง แตร หรือภาชนะทองคำ หรือภาชนะเงินที่ใช้ในการตกแต่งใดๆ 14 พวกเขาได้จ่ายเงินให้แก่พวกคนที่ได้ทำงานซ่อมพระนิเวศของพระยาห์เวห์

15 ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่ต้องเขียนรายงานค่าใช้จ่ายในการซ่อมทั้งพวกผู้ที่ได้รับเงินและพวกผู้ที่ได้จ่ายเงินแก่พวกคนงาน เพราะเขาทั้งหลายได้ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ 16 แต่เงินถวายบูชาเพื่อการลบความผิดและเงินถวายบูชาเพื่อการลบล้างบาปจะไม่ได้นำมาไว้ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ เพราะเงินนั้นให้เป็นของพวกปุโรหิต

17 แล้วฮาซาเอลกษัตริย์อารัมได้ทรงยกขึ้นไปรบกับเมืองกัท และยึดเมืองนั้นได้ แล้วฮาซาเอลก็ได้หันขึ้นไปโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม 18 โยอาชกษัตริย์ยูดาห์ได้ทรงนำเอาสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่เยโฮชาฟัท และเยโฮรัม และอาหัสยาห์บรรพบุรุษของพระองค์ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงชำระให้บริสุทธิ์ไว้นั้น และสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เอง และทองคำทั้งหมดที่ได้พบในคลังของพระนิเวศพระยาห์เวห์และของพระราชวังมา แล้วพระองค์ได้ทรงส่งสิ่งเหล่านี้ไปให้ฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัม แล้วฮาซาเอลก็ได้ทรงถอยทัพไปจากกรุงเยรูซาเล็ม

19 ส่วนราชกิจต่างๆ ของโยอาช และทุกอย่างที่ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ของยูดาห์แล้วมิใช่? 20 พวกข้าราชบริพารของพระองค์ได้ลุกและได้ก่อกบฏ และได้ปลงพระชนม์โยอาชเสียในวัง เบธมิลโล ตามทางที่ลงไปยังสิลลา 21 โยซาบาดบุตรชิเมอัท และเยโฮซาบาดบุตรโชเมอร์ พวกข้าราชบริพารของพระองค์ได้สังหารพระองค์ พระองค์จึงได้สวรรคต พวกเขาได้ฝังโยอาชไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิด และอามาซิยาห์ผู้ซึ่งเป็นโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นปกครองแทน 21 โยซาบาดบุตรชิเมอัท และเยโฮซาบาดบุตรโชเมอร์ พวกข้าราชบริพารของพระองค์ได้ประหารพระองค์ พระองค์จึงได้เสด็จสวรรคต พวกเขาได้ฝังโยอาชไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิด และอามาซิยาห์ผู้ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์แทน

13

1 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาลโยอาช โอรสของอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เยโฮอาหาสโอรสของเยฮูได้ทรงครองราชย์เหนืออิสราเอลในกรุงสะมาเรีย พระองค์ได้ทรงครองราชย์อยู่สิบเจ็ดปี 2 พระองค์ได้กระทำสิ่งที่เลวร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และได้กระทำความบาปทั้งสิ้นตามเยโรโบอัมโอรสของเนบัท ผู้ได้ชักจูงอิสราเอลให้กระทำความบาปด้วย และเยโฮอาหาสไม่ได้ทรงหันพระองค์จากความบาปนั้น

3 ความกริ้วขององค์พระยาห์เวห์ได้ปะทุขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ได้ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของฮาซาเอลกษัตริย์อารัม และในมือของเบนฮาดัดโอรสของฮาซาเอลอย่างต่อเนื่อง 4 ดังนั้นเยโฮอาหาสได้ทรงวิงวอนพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ได้ทรงฟังพระองค์ เพราะพระยาห์เวห์ทรงเห็นการข่มเหงอิสราเอล คือที่กษัตริย์อารัมได้ทรงข่มเหงพวกเขา 5 เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงประทานผู้ช่วยกู้คนหนึ่งแก่อิสราเอล พวกเขาจึงได้หลุดพ้นจากมือคนอารัม และประชาชนอิสราเอลก็ได้อาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขาอย่างที่เคยมีมาก่อนนี้

6 ถึงกระนั้น พวกเขาก็หนีไม่พ้นจากบาปของราชวงศ์เยโรโบอัม ซึ่งพระองค์ได้ทรงเป็นต้นเหตุให้อิสราเอลได้กระทำบาปด้วย และพวกเขายังคงได้อยู่ในบาปเหล่านั้นต่อไป และเสาพระอาเชราห์ก็ยังคงอยู่ในสะมาเรียต่อไป 7 พวกคนอารัมได้เหลือเพียงทหารม้าห้าสิบคน รถม้าศึกสิบคัน และทหารราบหนึ่งหมื่นคนให้แก่เยโฮอาหาส เพราะกษัตริย์แห่งอารัมได้ทรงทำลายพวกเขาเสีย และทำให้พวกเขาเป็นอย่างแกลบในเวลานวดข้าว

8 ส่วนราชกิจต่างๆ ของเยโฮอาหาส และทุกอย่างที่ได้ทรงกระทำ และอำนาจของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์อิสราเอลแล้วมิใช่? 9 ดังนั้นเยโฮอาหาสได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และพวกเขาได้ฝังพระองค์ไว้ในสะมาเรีย เยโฮอาชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน

10 ในปีที่สามสิบเจ็ดแห่งรัชกาลโยอาชกษัตริย์แห่งยูดาห์ เยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาสได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรียสิบหกปี 11 พระองค์ได้กระทำสิ่งที่เลวร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ได้ทรงหันหนีจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมโอรสของเนบัท ผู้ได้ชักจูงอิสราเอลให้กระทำความบาปด้วย แต่พระองค์ได้ทรงดำเนินในบาปนั้น

12 ส่วนราชกิจต่างๆ ของเยโฮอาช และทุกอย่างที่ได้ทรงกระทำ และอำนาจซึ่งพระองค์ได้ทรงรบกับอามาซิยาห์กษัตริย์ของยูดาห์ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์อิสราเอลแล้วมิใช่? 13 เยโฮอาชได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโรโบอัมได้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ เยโฮอาชได้ทรงถูกฝังไว้ในสะมาเรียกับบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล

14 บัดนี้เอลีชาได้ล้มป่วยด้วยโรคที่เขาจะต้องตายในไม่ช้า ดังนั้นเยโฮอาชกษัตริย์อิสราเอลได้เสด็จลงไปหาเขา และได้ทรงกันแสงต่อหน้าเขา พระองค์ได้ตรัสว่า “ท่านพ่อ ท่านพ่อของข้า รถม้าศึกแห่งอิสราเอล และทหารม้าประจำรถกำลังจะมารับท่านแล้ว” 15 เอลีชาได้ทูลพระองค์ว่า “ขอได้ทรงเอาคันธนูและลูกธนูมาจำนวนหนึ่งด้วย” ดังนั้นโยอาชจึงได้ทรงเอาคันธนูและลูกธนูมาจำนวนหนึ่งด้วย 16 เอลีชาได้ทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “ขอได้ทรงจับคันธนูไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ดังนั้นพระองค์ได้ทรงจับคันธนูไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วเอลีชาได้วางมือของเขาบนพระหัตถ์ทั้งสองข้างของกษัตริย์

17 เอลีชาได้ทูลว่า “ขอได้ทรงเปิดหน้าต่างทางทิศตะวันออก” ดังนั้น พระองค์ได้ทรงเปิดแล้ว เอลีชาได้ทูลว่า “ขอทรงยิง” และพระองค์ก็ทรงยิงออกไป เอลีชาทูลว่า “นี่จะเป็นลูกธนูแห่งชัยชนะของพระยาห์เวห์ ลูกธนูแห่งชัยชนะเหนือพวกอารัม เพราะพระองค์จะได้ทรงทำลายคนอารัมได้อย่างราบคาบที่อาเฟก” 18 แล้วเอลีชาได้ทูลว่า “ขอทรงหยิบลูกธนูเหล่านั้นมา” ดังนั้นโยอาชจึงทรงหยิบลูกธนูเหล่านั้น และเขาได้ทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “ทรงตีลูกธนูลงพื้นดินสิ” และพระองค์ทรงตีสามครั้งแล้วจึงทรงหยุด 19 แต่คนของพระเจ้าได้โกรธพระองค์ และทูลว่า “พระองค์ควรจะตีสักห้าหรือหกครั้ง แล้วพระองค์จะได้ตีอารัมจนกว่าจะได้ทรงทำให้พวกเขาสิ้นไป แต่บัดนี้พระองค์จะตีชนะอารัมได้เพียงสามครั้งเท่านั้น”

20 แล้วเอลีชาได้สิ้นชีวิต และพวกเขาก็ได้ฝังเอลีชาไว้ ปกติในเวลานี้กลุ่มชาวโมอับที่ได้เคยปล้นในดินแดนนั้นในตอนต้นปี 21 ขณะที่พวกเขากำลังฝังศพชายคนหนึ่งอยู่ พวกเขาก็เห็นกลุ่มชาวโมอับกลุ่มนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงได้โยนศพชายคนนั้นลงไปในหลุมฝังของเอลีชา เมื่อศพผู้ชายคนนั้นได้โดนกระดูกของเอลีชา ผู้ชายคนนั้นก็ได้กลับมีชีวิตขึ้นและยืนขึ้นด้วยตัวเอง

22 ฮาซาเอล กษัตริย์อารัมได้ทรงข่มเหงชาวอิสราเอลอยู่ตลอดรัชกาลของเยโฮอาหาส 23 แต่พระยาห์เวห์ได้ทรงพระกรุณาและได้ทรงพระเมตตาต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงห่วงใยพวกเขา เพราะพันธสัญญาของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงไม่ได้ทรงทำลายพวกเขา และพระองค์ยังไม่ได้ทรงขับไล่พวกเขาไปให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์เลย 24 ฮาซาเอลกษัตริย์อารัมได้สวรรคต เบนฮาดัดโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์แทน 25 เยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาสได้ยึดบรรดาเมืองจากเบนฮาดัดโอรสของฮาซาเอลกลับคืนมา ซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์ได้ทรงยึดจากเยโฮอาหาสบิดาของเยโฮอาชได้เมื่อตอนทำสงครามกัน เยโฮอาชได้รบชนะพระองค์สามครั้งและได้บรรดาเมืองอิสราเอลกลับคืนมา

14

1 ในปีที่สองแห่งรัชกาลเยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาสกษัตริย์แห่งอิสราเอล อามาซิยาห์โอรสของโยอาชกษัตริย์ยูดาห์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 2 เมื่อพระองค์ได้ทรงเป็นกษัตริย์นั้น พระองค์มีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา พระองค์ทรงครองราชยี่สิบเก้าปีในกรุงเยรูซาเล็ม พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยโฮอัดดานชาวเยรูซาเล็ม 3 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งที่เที่ยงธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ยังไม่เหมือนกับดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำตามทุกอย่างซึ่งโยอาชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ

4 แต่สถานสูงเหล่านั้นก็ยังไม่ได้รื้อเสีย ประชาชนยังคงถวายสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมที่สถานสูงเหล่านั้น 5 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อราชอาณาจักรได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างมั่นคงแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงประหารพวกข้าราชบริพารที่ได้ปลงพระชนม์พระราชบิดาของพระองค์

6 แต่พระองค์ไม่ได้ทรงสังหารลูกหลานของผู้ที่ได้ปลงพระชนม์นั้น แต่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติตามที่ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาว่า “อย่าสังหารบิดาเพราะการกระทำของลูกหลานพวกเขา หรืออย่าสังหารลูกหลานเพราะการกระทำของบิดามารดาของพวกเขา แต่ละคนต้องถูกสังหารเพราะบาปของตนเอง” 7 พระองค์ได้ทรงสังหารคนเอโดมหนึ่งหมื่นคนในหุบเขาเกลือ และพระองค์ได้ทรงยึดเมืองเสลาด้วยในการสงครามและได้ทรงเรียกเมืองนั้นว่า โยกเธเอล ซึ่งเป็นชื่อมาถึงทุกวันนี้

8 แล้วอามาซิยาห์ได้ทรงส่งคณะทูตไปเฝ้าเยโฮอาช โอรสของเยโฮอาหาสโอรสของเยฮู กษัตริย์แห่งอิสราเอล ทูลว่า “มาเถิด ขอให้เราเผชิญหน้ากันในการต่อสู้” 9 แต่เยโฮอาชกษัตริย์อิสราเอลได้ทรงส่งผู้สื่อสารไปยังอามาซิยาห์กษัตริย์ยูดาห์ว่า “ต้นหนามในเลบานอนได้ส่งข่าวไปหาต้นสนสีดาร์ในเลบานอนว่า ‘จงยกลูกสาวของเจ้าให้เป็นภรรยาลูกชายของเรา’ แต่สัตว์ป่าตัวหนึ่งซึ่งอยู่ในเลบานอนได้ผ่านมา และได้ย่ำต้นหนามลงเสีย 10 ท่านได้โจมตีเอโดม และจิตใจของท่านก็ทำให้ท่านผยองขึ้น จงภูมิใจในชัยชนะของท่านเถิด แต่จงอยู่กับบ้านของตน เพราะทำไมท่านจึงสร้างปัญหาให้ตัวเองและล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์ด้วย?”

11 แต่อามาซิยาห์ไม่ได้ทรงฟัง ดังนั้นเยโฮอาชกษัตริย์อิสราเอลจึงได้ทรงโจมตี และพระองค์กับอามาซิยาห์กษัตริย์ยูดาห์ก็ได้ทรงเผชิญหน้ากันที่เมืองเบธเชเมชซึ่งเป็นของยูดาห์ 12 ยูดาห์ได้พ่ายแพ้อิสราเอล และผู้ชายทุกคนจึงหนีกลับบ้าน

13 เยโฮอาชกษัตริย์อิสราเอลก็ได้ทรงจับอามาซิยาห์ กษัตริย์ยูดาห์โอรสของเยโฮอาช โอรสของอาหัสยาห์ได้ที่เมืองเบธเชเมช และได้เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม และทรงพังกำแพงเยรูซาเล็มเป็นระยะทางสี่ร้อยศอกลง ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมจนถึงประตูมุม 14 พระองค์ได้ทรงริบทองคำและเงินทั้งหมด และของใช้ทั้งหมดที่พบในพระนิเวศของพระยาห์เวห์และในคลังของราชวัง พร้อมทั้งจับตัวประกันด้วย และได้เสด็จกลับไปยังกรุงสะมาเรีย

15 ส่วนราชกิจต่างๆ ของเยโฮอาชที่ได้ทรงกระทำ ทั้งอำนาจของพระองค์ และการรบกับอามาซิยาห์ กษัตริย์ของยูดาห์นั้น ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์อิสราเอลแล้วมิใช่? 16 เยโฮอาชได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และได้ทรงถูกฝังไว้ในสะมาเรียกับเหล่ากษัตริย์อิสราเอล และเยโรโบอัมโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นปกครองแทน

17 อามาซิยาห์โอรสของโยอาชกษัตริย์ของยูดาห์ได้ทรงมีพระชนม์อยู่อีกสิบห้าปี หลังจากเยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาสกษัตริย์อิสราเอลได้สวรรคต 18 ส่วนราชกิจต่างๆ ของอามาซิยาห์ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ของยูดาห์แล้วมิใช่? 19 พวกเขาได้ร่วมกันกบฏต่ออามาซิยาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม และพระองค์ได้ทรงหนีไปยังเมืองลาคีช แต่เขาทั้งหลายได้ส่งคนตามพระองค์ไปที่เมืองลาคีช และได้สังหารพระองค์ที่นั่น

20 พวกเขาได้นำพระศพบรรทุกม้ากลับมา และได้ฝังไว้กับบรรพบุรุษในเมืองของดาวิด 21 ประชาชนทั้งหมดของยูดาห์ก็ได้ตั้งอาซาริยาห์ ซึ่งมีพระชนมายุสิบหกพรรษา ให้เป็นกษัตริย์แทนอามาซิยาห์บิดาของพระองค์ 22 อาซาริยาห์ได้ทรงสร้างเมืองเอลัทขึ้นใหม่และบูรณะให้กลับมาขึ้นกับยูดาห์ หลังจากที่กษัตริย์อามาซิยาห์ได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ

23 ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลอามาซิยาห์ โอรสของโยอาชกษัตริย์ยูดาห์ เยโรโบอัมโอรสของเยโฮอาชแห่งอิสราเอลได้ทรงครองราชย์ในกรุงสะมาเรียอยู่สี่สิบเอ็ดปี 24 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ได้ทรงละจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย 25 พระองค์ได้ทรงตีเอาดินแดนอิสราเอลคืนมา ตั้งแต่ทางเข้าเมืองเลโบฮามัท ไกลไปจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์ ตามพระบัญชาตามพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งตรัสโดยผู้รับใช้ของพระองค์ คือโยนาห์ บุตรชายของอามิททัยผู้เผยพระวจนะผู้มาจากกัธเฮเฟอร์

26 เพราะพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรเห็นว่า ความทุกข์ของอิสราเอลนั้นขมขื่นนัก ไม่ว่าทาสหรือไท และไม่มีใครช่วยกู้อิสราเอล 27 เหตุฉะนั้นพระยาห์เวห์ไม่ได้ตรัสว่า พระองค์จะไม่ทรงลบนามอิสราเอลจากใต้ท้องฟ้า แต่พระองค์กลับได้ทรงช่วยเขาโดยพระหัตถ์ของเยโรโบอัมโอรสของเยโฮอาช

28 ส่วนราชกิจต่างๆ ของเยโรโบอัม และทุกอย่างที่ได้ทรงกระทำ และอำนาจของพระองค์ การรบของพระองค์ และเรื่องที่ได้ทรงตีเอากรุงดามัสกัสและเมืองฮามัท ซึ่งเคยเป็นของยูดาห์คืนแก่อิสราเอล ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์อิสราเอลแล้วมิใช่? 29 เยโรโบอัมได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ คือเหล่ากษัตริย์อิสราเอล แล้วเศคาริยาห์โอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นปกครองแทน

15

1 ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโรโบอัม กษัตริย์อิสราเอล อาซาริยาห์ โอรสของอามาซิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 2 อาซาริยาห์ทรงมีพระชนมายุสิบหกพรรษาเมื่อได้ทรงขึ้นครองราชย์ และพระองค์ได้ทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มห้าสิบสองปี มารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยโคลียาห์ และนางได้มาจากกรุงเยรูซาเล็ม 3 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เหมือนทุกอย่างที่อามาซิยาห์บิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ

4 อย่างไรก็ดี สถานสูงยังไม่ถูกกำจัดเสีย ประชาชนยังถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมบนสถานสูงเหล่านั้น 5 พระยาห์เวห์ได้ทรงลงโทษกษัตริย์ พระองค์ได้ทรงเป็นโรคเรื้อนจนถึงวันสวรรคต และพระองค์ประทับในวังต่างหาก โยธามโอรสของกษัตริย์ได้ทรงดูแลควบคุมสำนักพระราชวัง และได้ทรงปกครองประชาชนของแผ่นดิน

6 ส่วนราชกิจต่างๆ ของอาซาริยาห์และทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ทรงบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ของยูดาห์แล้วมิใช่? 7 ดังนั้นอาซาริยาห์ได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และพวกเขาก็ได้ฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด โยธามโอรสของพระองค์ได้ทรงเป็นกษัตริย์แทน

8 ในปีที่สามสิบแปดแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์ยูดาห์ เศคาริยาห์โอรสของเยโรโบอัมได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรียได้หกเดือน 9 พระองค์ก็ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ดังที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ พระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งจากบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้ที่ได้ทรงนำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย

10 ชัลลูมบุตรชายของยาเบชได้ก่อการกบฏต่อเศคาริยาห์ โค่นพระองค์ลงในอิเบลอัม และสังหารพระองค์เสีย และพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 11 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของเศคาริยาห์ ได้ทรงถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล 12 เหตุการณ์นี้เป็นไปตามพระวจนะที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่เยฮูว่า “เชื้อสายของเจ้าจะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลถึงสี่ชั่วอายุคน” และก็เป็นดังนั้น

13 ชัลลูมบุตรชายของยาเบชได้ทรงขึ้นครองราชย์ในปีที่สามสิบเก้า แห่งรัชกาลอาซาริยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ และพระองค์ได้ทรงปกครองในสะมาเรียได้หนึ่งเดือน 14 เมนาเฮมบุตรชายของกาดีก็ได้ขึ้นมาจากเมืองทีรซาห์ไปยังสะมาเรีย ที่นั่นเขาได้โค่นล้มชัลลูมบุตรชายของยาเบชในสะมาเรีย และประหารพระองค์เสีย และได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

15 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของชัลลูม และการกบฏที่พระองค์ได้ทรงทำ ได้ทรงถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล 16 ต่อมาเมนาเฮมได้โจมตีทิฟสาห์ และทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นและชายแดนของเมืองนั้นตั้งแต่ทีรซาห์ไป เพราะพวกเขาไม่เปิดประตูเมืองให้เขา ดังนั้นเขาได้โจมตีเมืองนั้น และเขาได้ผ่าท้องหญิงมีครรภ์ของหมู่บ้านนั้นทุกคน

17 ในปีที่สามสิบเก้าแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เมนาเฮมบุตรชายของกาดีได้ทรงปกครองอิสราเอลในสะมาเรียสิบปี 18 พระองค์ก็ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตลอดรัชกาลของพระองค์ก็ไม่ได้ทรงละทิ้งบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้ได้ทรงนำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย

19 ต่อมาปูลกษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงยกขึ้นมาต่อต้านดินแดนนั้น และเมนาเฮมได้ทรงถวายเงินหนึ่งพันตะลันต์แก่ปูล เพื่อให้ปูลทรงสนับสนุนพระองค์ และทำให้อาณาจักรอิสราเอลที่อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์เข้มแข็งขึ้น 20 เมนาเฮมได้ทรงรีดเงินจากคนอิสราเอลคือ จากคนมั่งมีทุกคน คนละห้าสิบเชเขล เพื่อทรงถวายแด่กษัตริย์อัสซีเรีย ดังนั้นกษัตริย์อัสซีเรียจึงยกทัพกลับ และไม่ได้ประทับอยู่ในดินแดนนั้น

21 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของเมนาเฮม และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 22 ดังนั้นเมนาเฮมได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และเปคาหิยาห์โอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

23 ในปีที่ห้าสิบแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เปคาหิยาห์โอรสของเมนาเฮมได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรีย พระองค์ได้ทรงครองราชย์สองปี 24 พระองค์ก็ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ฉะนั้นพระองค์จึงได้ทรงเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาปด้วย

25 เปคาหิยาห์มีข้าราชการคนหนึ่งชื่อเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ ผู้ได้ก่อการกบฏต่อพระองค์ เปคาห์ร่วมกับคนกิเลอาดห้าสิบคนได้ประหารเปคาหิยาห์พร้อมกับอารโกบและอารีเอห์ในป้อมของพระราชวังในสะมาเรีย เปคาห์ได้ประหารเปคาหิยาห์และได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 26 ส่วราชกิจอื่นๆ ของเปคาหิยาห์ และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำถูกบันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล

27 ในปีที่ห้าสิบสองแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรีย พระองค์ได้ทรงครองราชย์ยี่สิบปี 28 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งจากบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้เป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาปด้วย

29 ในรัชกาลของเปคาห์กษัตริย์อิสราเอล ทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงยกมายึดเมืองอิโยน อาเบลเบธมาอาคาห์ ยาโนอาห์ คาเดช ฮาโซร์ กิเลอาด กาลิลี และแผ่นดินนัฟทาลีทั้งหมด พระองค์ได้ทรงกวาดต้อนประชาชนไปเป็นเชลยยังอัสซีเรีย 30 ดังนั้นโฮเชยาบุตรชายของเอลาห์ได้ทรงร่วมกันคิดกบฏต่อเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ เขาได้โค่นพระองค์ลงและประหารพระองค์เสีย แล้วเขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลโยธามโอรสของอุสซียาห์ 31 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของเปคาห์และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำถูกบันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล

32 ในปีที่สองแห่งรัชกาลเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ กษัตริย์แห่งอิสราเอล โยธามโอรสของอาซาริยาห์กษัตริย์ยูดาห์ ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 33 เมื่อพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์นั้นมีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา พระองค์ได้ทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มสิบหกปี มารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยรูชา นางเป็นบุตรหญิงของศาโดก

34 โยธามได้ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทรงทำตามทุกอย่างที่อาซาริยาห์บิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ 35 อย่างไรก็ดี สถานสูงยังไม่ได้ถูกกำจัดเสีย ประชาชนยังคงถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมบนสถานสูงเหล่านั้น โยธามได้ทรงสร้างประตูบนของพระนิเวศแห่งพระยาห์เวห์ 36 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของโยธาม และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 37 ในเวลานั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงใช้เรซีน กษัตริย์แห่งอารัม และเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ให้มาสู้กับยูดาห์ 38 โยธามได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และได้ทรงถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด ผู้เป็นบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วอาหัสโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

16

1 ในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ อาหัสโอรสของโยธามกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ขึ้นครองราชย์ 2 เมื่ออาหัสได้ทรงเป็นกษัตริย์นั้น มีพระชนมายุยี่สิบพรรษา และพระองค์ได้ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสิบหกปี พระองค์ไม่ได้ทรงทำสิ่งที่เที่ยงธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ เหมือนอย่างดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ

3 แต่พระองค์ได้ทรงดำเนินตามทางของกษัตริย์ทั้งหลายแห่งอิสราเอล ถึงกับได้ทรงให้โอรสของพระองค์ลุยไฟ ตามการกระทำอันน่าเกลียดน่าชังของชนชาติทั้งหลาย ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล 4 พระองค์ได้ทรงถวายสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมที่สถานสูง บนยอดเขารวมทั้งใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น

5 แล้วเรซีนกษัตริย์อารัมกับเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ กษัตริย์อิสราเอลได้ทรงยกขึ้นมาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม ทั้งสองพระองค์ทรงล้อมอาหัสไว้ แต่ทั้งสองไม่ได้ทรงสามารถเอาชัยชนะพระองค์ได้ 6 เวลานั้นเรซีนกษัตริย์อารัมได้ตีเมืองเอลัทคืนให้คนอารัม และทรงขับไล่ประชาชนยูดาห์ออกจากเอลัท แล้วคนอารัมมาที่เอลัทและพวกเขาอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้

7 ดังนั้นอาหัสจึงได้ทรงส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์อัสซีเรีย ให้ทูลว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้ของท่าน และเป็นบุตรชายของท่าน ขอเสด็จขึ้นมาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของกษัตริย์อารัม และจากมือของกษัตริย์อิสราเอล ผู้มาโจมตีข้าพเจ้าด้วยเถิด” 8 ดังนั้นอาหัสจึงทรงนำเงินและทองคำซึ่งพบในพระนิเวศพระยาห์เวห์ และในท้องพระคลังของพระราชวัง และพระองค์ทรงส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์อัสซีเรีย 9 แล้วกษัตริย์อัสซีเรียก็ได้ทรงฟังพระองค์ และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงทรงยกทัพขึ้นไปยังกรุงดามัสกัสและยึดได้ ทั้งกวาดต้อนประชาชนเมืองนั้นไปเป็นเชลยยังเมืองคีร์ พระองค์ยังได้ทรงประหารเรซีนกษัตริย์อารัมด้วยเช่นกัน

10 เมื่อกษัตริย์อาหัสได้เสด็จไปกรุงดามัสกัสเพื่อพบทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์อัสซีเรีย พระองค์ทอดพระเนตรแท่นบูชาที่อยู่ในดามัสกัส และพระองค์ทรงส่งแบบจำลองแท่นบูชาไปยังอุรียาห์ปุโรหิต พร้อมทั้งแบบแปลนของแท่นนั้นและรูปแบบสำหรับงานก่อสร้างที่จำเป็น 11 ดังนั้นอุรียาห์ปุโรหิตจึงได้สร้างแท่นบูชานั้นตามแบบทุกอย่างที่กษัตริย์อาหัสได้ทรงส่งมาจากดามัสกัส เขาจึงทำแท่นบูชาเสร็จก่อนที่กษัตริย์อาหัสเสด็จกลับมาจากดามัสกัส 12 เมื่อกษัตริย์เสด็จกลับจากดามัสกัส พระองค์ได้ทอดพระเนตรแท่นบูชา แล้วกษัตริย์ทรงเข้ามาใกล้แท่นบูชาและถวายเครื่องบูชาบนแท่นนั้น

13 พระองค์ได้ทรงเผาเครื่องเผาบูชาและธัญบูชา และได้ทรงเทเครื่องดื่มบูชา และทรงพรมเลือดแห่งเครื่องสันติบูชาของพระองค์ลงบนแท่นนั้น 14 แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์นั้น พระองค์ทรงย้ายออกเสียจากข้างหน้าพระวิหาร บริเวณระหว่างแท่นบูชาของพระองค์กับพระวิหารของพระยาห์เวห์ และตั้งไว้ทางด้านเหนือของแท่นบูชาของพระองค์นั้น

15 แล้วกษัตริย์อาหัสได้ทรงบัญชาอุรียาห์ปุโรหิตว่า “บนแท่นใหญ่นี้ ท่านจงเผาเครื่องเผาบูชาตอนเช้า และธัญบูชาตอนเย็น และเครื่องเผาบูชาของกษัตริย์ และเครื่องธัญบูชาของพระองค์ พร้อมกับเครื่องเผาบูชาของประชาชนทั้งหมดในแผ่นดิน รวมทั้งธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาของเขาทั้งหลาย จงพรมเลือดทั้งหมดของเครื่องเผาบูชาและเลือดของเครื่องสัตวบูชา แต่แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ให้เป็นที่สำหรับเราที่เราจะทูลขอการทรงนำ” 16 อุรียาห์ปุโรหิตได้ทำทุกอย่างตามพระบัญชาของกษัตริย์อาหัส

17 แล้วกษัตริย์อาหัสได้ทรงเอาแผงของแท่นนั้นและทรงยกขันออกไป และพระองค์ทรงเอาอ่างทะเลลงมาจากโคทองสัมฤทธิ์ที่รองอยู่นั้นและทรงตั้งไว้บนพื้นหิน 18 พระองค์ได้ทรงรื้อส่วนปิดทางเดินของศาลาวันสะบาโต ซึ่งพวกเขาสร้างไว้ในพระวิหารและทางเข้าชั้นนอกสำหรับกษัตริย์ที่มายังพระวิหารของพระยาห์เวห์ออก เพราะเห็นแก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย

19 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของอาหัสที่ได้ทรงกระทำถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 20 อาหัสได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และได้ทรงถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิด เฮเซคียาห์โอรสของพระองค์ก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

17

1 ในปีที่สิบสองแห่งรัชกาลอาหัสกษัตริย์แห่งยูดาห์ โฮเชยาโอรสของเอลาห์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงปกครองในกรุงสะมาเรียเหนืออิสราเอลอยู่เก้าปี 2 พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ก็ไม่เหมือนกับบรรดากษัตริย์อิสราเอลที่อยู่ก่อนพระองค์ 3 แชลมาเนเสอร์กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงยกทัพมารบกับพระองค์ และโฮเชยาทรงยอมเป็นเมืองขึ้นของพระองค์และถวายเครื่องบรรณาการแก่พระองค์

4 แล้วกษัตริย์อัสซีเรียได้ตระหนักว่าโฮเชยาเป็นกบฏต่อพระองค์ เพราะโฮเชยาได้ทรงใช้ผู้สื่อสารไปยังโส กษัตริย์อียิปต์ด้วย พระองค์ไม่ได้ทรงถวายเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์อัสซีเรียอย่างที่พระองค์ทรงเคยทำมาทุกปี เพราะฉะนั้นกษัตริย์อัสซีเรียจึงทรงขังโฮเชยาไว้ และทรงจำพระองค์ไว้ในคุก 5 แล้วกษัตริย์อัสซีเรียจึงได้ทรงบุกเข้าทั่วแผ่นดิน และขึ้นมายังกรุงสะมาเรีย และทรงล้อมเมืองไว้สามปี 6 ในปีที่เก้าแห่งรัชกาลโฮเชยา กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงยึดสะมาเรียได้ พระองค์ได้ทรงกวาดต้อนคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย พระองค์ทรงให้พวกเขาอยู่ที่ฮาลาห์ ที่ข้างแม่น้ำฮาโบร์แห่งเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของคนมีเดีย

7 การตกเป็นเชลยในครั้งนี้ก็เพราะคนอิสราเอลได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ผู้ได้ทรงนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากใต้พระหัตถ์ของฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ เพราะประชาชนได้นมัสการบรรดาพระอื่นๆ 8 และได้ดำเนินตามธรรมเนียมปฏิบัติของบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ไปเสียให้พ้นหน้าคนอิสราเอล และตามปฏิบัติอย่างที่บรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลที่พวกพระองค์ทรงกระทำ

9 ประชาชนอิสราเอลทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาอย่างลับๆ เขาทั้งหลายได้สร้างสถานสูงสำหรับตนทั่วบ้านทั่วเมือง ตั้งแต่ที่มีหอสังเกตการณ์ จนถึงเมืองที่มีป้อม 10 พวกเขาได้ตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์และเสาอาเช-ราห์บนเขาสูงทุกแห่ง และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น

11 ที่นั่นพวกเขาได้เผาเครื่องหอมบนสถานสูงทุกที่ ตามอย่างประชาชาติทั้งหลายได้กระทำ คนเหล่านั้นซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงกวาดไปให้พ้นหน้าพวกเขา ชาวอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วต่างๆ ทำให้พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธ 12 เขาทั้งหลายนมัสการรูปเคารพซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่พวกเขาแล้วว่า “เจ้าอย่าทำอย่างนี้”

13 พระยาห์เวห์ยังได้ทรงตักเตือนอิสราเอลและยูดาห์ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะทุกคนและผู้ทำนายทุกคนว่า “จงหันจากทางชั่วทั้งหลายของเจ้า และรักษาพระบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้า และซึ่งเราได้ส่งมายังเจ้า ทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา”

14 แต่พวกเขาไม่ฟัง พวกเขาดื้อดึงอย่างมากเหมือนอย่างบรรพบุรุษของพวกเขาผู้ไม่เชื่อถือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา 15 พวกเขาได้ปฏิเสธกฎเกณฑ์และพันธสัญญาของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำกับบรรพบุรุษของพวกเขา รวมทั้งพระดำรัสเตือนซึ่งประทานแก่พวกเขา เขาทั้งหลายได้ติดตามสิ่งไร้ค่าและพวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไป พวกเขาติดตามชนชาติที่อยู่รอบๆ พวกเขาที่ไม่ได้นับถือพระเจ้า ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงห้ามไม่ให้พวกเขาเลียนแบบคนเหล่านั้น

16 เขาทั้งหลายได้เพิกเฉยพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาได้สร้างรูปเคารพหล่อเป็นลูกโคโลหะสองตัวเพื่อนมัสการ และพวกเขาได้ทำเสาอาเช-ราห์ และพวกเขาได้นมัสการดวงดาวต่างๆ ในท้องฟ้าและพระบาอัล 17 เขาทั้งหลายให้บุตรชายหญิงของเขาลุยไฟ และเขาทำนายโชคชะตาและทำเวทมนตร์ ทั้งได้ขายตัวเองเพื่อไปทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ได้ยั่วยุพระองค์ให้ทรงพระพิโรธ 18 เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงทรงพระพิโรธต่ออิสราเอลยิ่งนัก และทรงให้พวกเขาออกไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์ ไม่มีใครเหลืออยู่นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น

19 แม้แต่เผ่ายูดาห์เองก็ไม่ได้รักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา แต่ทำตามในสิ่งที่พวกอิสราเอลได้ทำ 20 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงปฏิเสธเชื้อสายของอิสราเอลทั้งสิ้น พระองค์ทรงให้เขาทั้งหลายทนทุกข์ และมอบพวกเขาไว้ในมือของผู้ปล้นชิง จนกว่าพระองค์จะทรงเหวี่ยงพวกเขาไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์

21 พระองค์ทรงฉีกอิสราเอลจากราชวงศ์ของดาวิด และพวกเขาได้ตั้งเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัทให้เป็นกษัตริย์ เยโรโบอัมได้ทรงชักนำอิสราเอลไปจากการติดตามพระยาห์เวห์ และทรงทำให้พวกเขาทำบาปอย่างใหญ่หลวง 22 ประชาชนอิสราเอลได้ดำเนินในบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมที่ได้ทรงกระทำ เขาทั้งหลายไม่ได้ละทิ้งจากบาปเหล่านั้นเลย 23 ดังนั้นพระยาห์เวห์ทรงให้อิสราเอลออกไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์ ตามที่ตรัสทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ ทั้งหมด ดังนั้นอิสราเอลจึงถูกกวาดจากแผ่นดินของตนไปเป็นเชลยในอัสซีเรียจนทุกวันนี้

24 กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงนำประชาชนมาจากบาบิโลน คูธาห์ อัฟวา ฮามัท เสฟารวาอิม และให้พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียแทนประชาชนอิสราเอล พวกเขาก็ได้เข้าถือกรรมสิทธิ์ในสะมาเรีย และอาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น 25 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกที่พวกเขามาอาศัยอยู่ที่นั่น พวกเขาก็ไม่ได้ให้พระเกียรติพระยาห์เวห์ ฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงได้ทรงส่งให้พวกสิงโตมาฆ่าบางคนในท่ามกลางพวกเขา 26 ดังนั้นพวกเขาจึงทูลต่อกษัตริย์แห่งอัสซีเรียว่า “พวกประชาชาติซึ่งพระองค์ได้ทรงพาไปและให้อยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียล้วนไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติของพระของแผ่นดินนั้น ฉะนั้นพระนั้นจึงให้สิงโตมาท่ามกลางพวกเขา และดูสิ พวกสิงโตได้ฆ่าผู้คนที่อยู่ที่นั่น เพราะพวกเขาไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติของพระของแผ่นดินนั้น”

27 แล้วกษัตริย์อัสซีเรียจึงบัญชาว่า “จงนำคนหนึ่งในพวกปุโรหิตที่พวกเจ้าได้กวาดต้อนมาจากสะมาเรียกลับไปอยู่ที่นั่น และให้พวกเขาสั่งสอนธรรมเนียมปฏิบัติของพระของแผ่นดินนั้น” 28 ฉะนั้นคนหนึ่งในพวกปุโรหิตที่พวกเขาได้กวาดต้อนมาจากสะมาเรีย ได้มาอาศัยอยู่ในเมืองเบธเอล เขาสั่งสอนคนเหล่านั้นถึงวิธีการที่พวกเขาควรถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์

29 ชนเผ่าทุกกลุ่มได้สร้างพวกรูปพระของตนเอง และตั้งไว้ในสถานสูงต่างๆ ซึ่งชาวสะมาเรียสร้างขึ้น ชนเผ่าทุกกลุ่มที่อยู่ในเมืองต่างๆที่พวกเขาอาศัยอยู่ 30 ประชาชนชาวบาบิโลนได้สร้างพระสุคคทเบโนท ประชาชนชาวคูทได้สร้างพระเนอร์กัล ประชาชนชาวฮามัทได้สร้างพระอาชิมา 31 คนอัฟวาได้สร้างพระนิบหัสและพระทารทัก คนเสฟารวาอิมได้เผาบุตรของตนในไฟถวายพระอัดรัมเมเลคและพระอานัมเมเลค ซึ่งเป็นพระของเมืองเสฟารวาอิม

32 พวกเขายังได้ถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ด้วย และได้ตั้งนักบวชแห่งสถานสูงในท่ามกลางพวกเขา ให้ทำหน้าที่แทนพวกเขาในวิหารต่างๆ ที่บนสถานสูง 33 พวกเขาได้ถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ และได้นมัสการบรรดาพระของพวกเขาเองด้วย ตามธรรมเนียมของบรรดาประชาชาติในท่ามกลางผู้คนที่พวกเขาได้กวาดต้อนมา

34 ทุกวันนี้พวกเขาก็ยังคงทำตามธรรมเนียมเดิมของพวกเขา เขาทั้งหลายไม่ถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ และไม่ติดตามกฎเกณฑ์ กฎหมาย ธรรมบัญญัติ หรือพระบัญญัติต่างๆ ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาแก่คนของยาโคบ ผู้ที่พระองค์ได้ประทานนามให้ว่าอิสราเอล 35 และผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลายและบัญชาพวกเขาว่า “อย่ายำเกรงพระอื่นๆ หรือกราบนมัสการพระนั้น หรือปรนนิบัติ หรือถวายสัตวบูชาแก่พระนั้น

36 แต่เจ้าจงยำเกรงพระยาห์เวห์ ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ และด้วยพระกรที่เหยียดออก คือผู้เดียวที่เจ้าต้องถวายพระเกียรติ เจ้าจะหมอบกราบต่อพระองค์ และจงถวายสัตวบูชาแด่พระองค์ 37 กฎเกณฑ์ กฎหมาย ธรรมบัญญัติ และพระบัญญัติต่างๆ ซึ่งพระองค์ได้ทรงจารึกสำหรับพวกเจ้า เจ้าจงระวังที่จะทำตามเสมอ ดังนั้นเจ้าต้องไม่ยำเกรงพระอื่นใดเลย 38 และเจ้าอย่าลืมพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับเจ้า เจ้าต้องไม่ลืม อย่าถวายเกียรติบรรดาพระอื่นเลย

39 แต่เจ้าทั้งหลายจงถวายพระเกียรติพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า พระองค์จะทรงช่วยกู้พวกเจ้าให้พ้นจากอำนาจของศัตรูทั้งสิ้นของพวกเจ้า” 40 พวกเขาไม่ได้ฟัง เพราะว่าพวกเขายังคงทำสิ่งที่เคยกระทำในอดีตอยู่เรื่อยๆ 41 ดังนั้นประชาชาติเหล่านี้จึงได้ยำเกรงพระยาห์เวห์ และพวกเขาก็นมัสการรูปเคารพแกะสลักของพวกเขาด้วย พวกบุตรของพวกเขาก็ทำอย่างเดียวกัน หลานของพวกเขาก็ทำอย่างเดียวกัน พวกเขาก็ยังคงทำสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาทำจนถึงทุกวันนี้

18

1 บัดนี้ในปีที่สามแห่งรัชกาลโฮเชยาโอรสของเอลาห์ กษัตริย์แห่งอิสราเอล เฮเซคียาห์โอรสของอาหัสกษัตริย์ยูดาห์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 2 เมื่อพระองค์ทรงครองราชย์นั้น พระองค์มีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มยี่สิบเก้าปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า อาบียาห์ นางเป็นบุตรหญิงของเศคาริยาห์ 3 พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามที่ดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ทรงกระทำตัวอย่างไว้ทั้งสิ้น

4 พระองค์ทรงรื้อสถานสูงทิ้งไป ทรงทำลายเสาหินศักดิ์สิทธิ์ลง และทรงโค่นพวกเสาอาเชราห์ลงเสีย พระองค์ทรงทุบงูทองสัมฤทธิ์ซึ่งโมเสสสร้างขึ้นนั้นเสียเป็นชิ้นๆ เพราะว่าคนอิสราเอลเผาเครื่องหอมให้แก่งูนั้นจนถึงวันเหล่านั้น งูนั้นเรียกว่า “เนหุชทาน” 5 เฮเซคียาห์ทรงวางพระทัยในพระยาห์เวห์พระเจ้าอิสราเอล เพราะฉะนั้นในบรรดากษัตริย์ยูดาห์ต่อจากพระองค์มา หรือในบรรดาผู้อยู่ก่อนพระองค์ ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์

6 เพราะว่าพระองค์ทรงวางใจในพระยาห์เวห์อย่างมั่นคง พระองค์ไม่ทรงหยุดการติดตามพระองค์เลย แต่ได้ทรงรักษาพระบัญญัติซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 7 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงสถิตกับเฮเซคียาห์ และพระองค์ทรงประสบความสำเร็จไม่ว่าที่ใดก็ตามที่ได้ทรงกระทำ พระองค์ทรงกบฏต่อกษัตริย์อัสซีเรีย และไม่ยอมปรนนิบัติพระองค์ 8 พระองค์ทรงโจมตีคนฟีลิสเตียไปจนถึงเมืองกาซาและดินแดนโดยรอบ ตั้งแต่หอคอยจนถึงป้อมปราการ

9 ในปีที่สี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลโฮเชยาโอรสของเอลาห์ กษัตริย์อิสราเอล แชลมาเนเสอร์กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงยกทัพขึ้นมารบกับสะมาเรีย และล้อมเมืองไว้ 10 สิ้นสามปีก็ยึดเมืองนั้นได้ ในปีที่หกของรัชกาลเฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เก้าของรัชกาลโฮเชยากษัตริย์อิสราเอล สะมาเรียก็ถูกยึดไปได้

11 ดังนั้นกษัตริย์อัสซีเรียได้กวาดต้อนคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย และพาพวกเขาไปไว้ที่ฮาลาห์ และที่แม่น้ำฮาโบร์แห่งเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของคนมีเดีย 12 พระองค์ทรงทำสิ่งนี้เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา แต่พวกเขาได้ทำผิดต่อข้อกำหนดของพันธสัญญาของพระองค์ คือทำผิดต่อทุกอย่างซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ เขาทั้งหลายปฏิเสธที่จะฟังหรือทำตาม

13 แล้วในปีที่สิบสี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ เซนนาเคอริบกษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงยกขึ้นมาต่อสู้บรรดาเมืองที่มีป้อมของยูดาห์ และยึดเมืองเหล่านั้น 14 ดังนั้นเฮเซคียาห์กษัตริย์ยูดาห์จึงทรงใช้คนไปทูลกษัตริย์อัสซีเรียที่เมืองลาคีชว่า “ข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อท่าน ขอท่านถอนทัพไปจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยอมเสียเครื่องบรรณาการตามที่ท่านเรียกร้อง” และกษัตริย์อัสซีเรียได้เรียกร้องเอาจากเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์เป็นเงินสามร้อยตะลันต์ และทองคำสามสิบตะลันต์ 15 ดังนั้นเฮเซคียาห์ได้มอบเงินทั้งหมดซึ่งมีอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และในพระคลังของพระราชวังของกษัตริย์

16 แล้วเฮเซคียาห์ทรงลอกทองคำจากประตูทั้งหลายของพระวิหารของพระยาห์เวห์ และจากเสาประตูทั้งหลายซึ่งเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงหุ้มไว้ พระองค์ทรงมอบแก่กษัตริย์อัสซีเรีย 17 แต่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงมีรับสั่งให้เคลื่อนกองทัพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ โดยส่งทารทานและรับสารีสกับผู้บัญชาการใหญ่ออกจากเมืองลาคีชไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาได้ขึ้นไปทางถนนและไปถึงด้านนอกของกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาเดินทัพมาใกล้ตรงทางรางระบายน้ำสระบน ซึ่งเป็นเส้นทางของการซักล้าง และหยุดทัพที่นั่น 18 เมื่อพวกเขาเรียกหากษัตริย์เฮเซคียาห์ เอลียาคิมบุตรชายของฮิลคียาห์เจ้ากรมวัง เชบนาห์ราชอาลักษณ์ และโยอาห์บุตรชายของอาสาฟราชเลขาได้ออกมาพบพวกเขา

19 ดังนั้นผู้บัญชาการใหญ่พูดกับพวกเขาให้บอกกับเฮเซคียาห์ว่า กษัตราธิราชแห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า “อะไรคือแหล่งของความวางใจของพวกเจ้า? 20 พวกเจ้าพูดแต่สิ่งที่ไร้สาระ กล่าวว่ามีพันธมิตรและแสนยานุภาพเพื่อการสงคราม บัดนี้พวกเจ้าวางใจในใครหรือ? ใครหรือที่มอบความกล้าหาญให้พวกเจ้าเพื่อแข็งข้อต่อเรา? 21 นี่แน่ะ เจ้าพึ่งไม้เท้าต้นกกที่หักคือ อียิปต์ ซึ่งจะตำมือคนที่ใช้ไม้เท้านั้นค้ำยันด้วยความเจ็บปวด นั่นคือฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์เป็นเช่นนี้ต่อทุกคนที่พึ่งเขา

22 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายจะบอกข้าว่า ‘พวกเราพึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา’ ก็สถานสูงและแท่นบูชาของพระเจ้านั้นไม่ใช่หรือที่เฮเซคียาห์ รื้อทิ้งเสียและกล่าวกับยูดาห์ และเยรูซาเล็มว่า ‘ท่านทั้งหลายจงนมัสการที่หน้าแท่นบูชานี้ในกรุงเยรูซาเล็มเถิด’? 23 ดังนั้นมาทำข้อต่อรองกับกษัตริย์อัสซีเรียเจ้านายของข้า แล้วข้าจะให้ม้าสองพันตัวแก่เจ้า ถ้าเจ้าหาพวกคนขี่ม้าให้กับพวกเขาได้

24 เจ้าจะต้านทานนายกองคนเดียวในหมู่ข้าราชบริพารผู้อ่อนแอที่สุดของนายข้าได้อย่างไร? เพราะเจ้ายังพึ่งอียิปต์เรื่องรถม้าศึกและทหารม้า 25 ข้าได้เดินทางมาที่นี่โดยที่ไม่มีพระยาห์เวห์ที่สถานที่นี้เพื่อต่อสู้และทำลายหรือ? พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าว่า ‘จงขึ้นไปต่อสู้กับแผ่นดินนี้และทำลายเสีย’”

26 แล้วเอลียาคิมบุตรชายของฮิลคียาห์และเชบนาห์ และโยอาห์ได้พูดกับผู้บัญชาการใหญ่ว่า “ขอพูดกับผู้รับใช้ของท่านด้วยภาษาอาราเมคเถิด เพราะเราเข้าใจภาษานั้น อย่าพูดกับเราด้วยภาษายูดาห์ให้เข้าหูประชาชนผู้อยู่บนกำแพงนั้นเลย” 27 แต่ผู้บัญชาการใหญ่ได้พูดกับเขาทั้งหลายว่า “นายของข้าใช้ให้มาพูดถ้อยคำเหล่านี้แก่นายของเจ้า และแก่เจ้าเท่านั้นหรือ? ไม่ใช่ให้พูดกับคนที่นั่งอยู่บนกำแพง ผู้ที่จะต้องกินอุจจาระและดื่มปัสสาวะของพวกเขาเองพร้อมกับเจ้าด้วยหรือ?”

28 แล้วผู้บัญชาการใหญ่ยืนขึ้นตะโกนเสียงดังเป็นภาษายูดาห์ว่า “จงฟังดำรัสของกษัตราธิราชคือกษัตริย์อัสซีเรีย 29 กษัตริย์ตรัสว่า ‘อย่าให้เฮเซคียาห์หลอกลวงเจ้าทั้งหลาย เพราะเขาจะไม่สามารถช่วยเจ้าจากอำนาจของข้า 30 อย่าให้เฮเซคียาห์ทำให้เจ้าพึ่งพระยาห์เวห์โดยกล่าวว่า “พระยาห์เวห์จะทรงช่วยกู้พวกเราแน่ และจะไม่ได้ทรงมอบเมืองนี้ไว้ในมือของกษัตริย์อัสซีเรีย”’

31 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์อัสซีเรียได้ตรัสว่า ‘จงสวามิภักดิ์ต่อเรา และออกมาหาเรา แล้วเจ้าแต่ละคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และจากต้นมะเดื่อของตน และจะได้ดื่มน้ำจากบ่อเก็บน้ำของตน 32 จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและเหล้าองุ่นใหม่ เป็นแผ่นดินที่มีขนมปังและพวกสวนองุ่น แผ่นดินที่มีพวกต้นมะกอกและน้ำผึ้ง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่และไม่ตาย ‘อย่าฟังเฮเซคียาห์เมื่อเขาชักชวนเจ้าโดยกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์จะทรงช่วยกู้พวกเรา’

33 มีพระองค์ไหนของประชาชาติเคยช่วยกู้แผ่นดินของตนให้พ้นจากพระหัตถ์ของกษัตริย์อัสซีเรียได้บ้าง? 34 พระของเมืองฮามัทและเมืองอารปัดอยู่ที่ไหน? พระของเมืองเสฟารวาอิม เฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน? พระเหล่านี้ได้ช่วยกู้สะมาเรียจากมือของเราหรือ? 35 พระองค์ไหนในบรรดาพระทั้งหมดของประเทศทั้งหลาย ได้ช่วยกู้ประเทศของตนจากมือของเราหรือ? พระยาห์เวห์จะช่วยกู้เยรูซาเล็มจากมือของเราได้หรือ?”

36 แต่ประชาชนได้แต่นิ่งไม่ตอบสนองแม้แต่คำเดียว เพราะพระบัญชาของกษัตริย์ได้มีว่า “อย่าตอบเขา” 37 แล้วเอลียาคิมบุตรชายของฮิลคียาเจ้ากรมวัง และเชบนาห์ราชอาลักษณ์ และโยอาห์บุตรอาสาฟราชเลขา ได้เข้าเฝ้าเฮเซคียาห์ด้วยเสื้อผ้าฉีกขาด และกราบทูลพระองค์ถึงถ้อยคำของผู้บัญชาการใหญ่

19

1 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์ได้สดับรายงานของพวกเขา พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ ทรงเอาผ้ากระสอบคลุมพระองค์ และเสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 2 พระองค์ได้ทรงใช้เอลียาคิมเจ้ากรมวัง และเชบนาห์ราชอาลักษณ์ และพวกปุโรหิตอาวุโสคลุมตัวด้วยผ้ากระสอบ ได้ไปหาผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรชายของอามอส

3 เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “เฮเซคียาห์ได้ตรัสดังนี้ว่า ‘วันนี้เป็นวันทุกข์ใจ วันถูกติเตียนและอดสู เพราะว่าเด็กก็ถึงกำหนดคลอดแต่พวกเขาไม่มีกำลังที่จะคลอดออกมา 4 อาจะเป็นเพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงสดับถ้อยคำทั้งสิ้นของผู้บัญชาการใหญ่ผู้ที่กษัตริย์อัสซีเรียนายของเขาได้ส่งมาเยาะเย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และพระองค์จะทรงว่ากล่าวเขาด้วยเรื่องถ้อยคำซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้สดับ บัดนี้ขอให้ท่านอธิษฐานเพื่อคนที่ยังคงเหลืออยู่ที่นี่’”

5 ดังนั้นเมื่อข้าราชบริพารของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาถึงอิสยาห์ 6 และอิสยาห์จึงบอกเขาทั้งหลายว่า “จงทูลนายของท่านเถิดว่า ‘พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนี้ว่า อย่ากลัวเพราะถ้อยคำที่เจ้าได้ยินนั้น ซึ่งข้าราชบริพารทั้งหลายของกษัตริย์อัสซีเรียได้หมิ่นประมาทเรา 7 ดูสิ เราจะใส่วิญญาณอย่างหนึ่งในเขา เพื่อเขาจะได้ยินข่าวลือและกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง’””

8 แล้วผู้บัญชาการใหญ่จึงกลับไป และพบว่ากษัตริย์อัสซีเรียกำลังสู้รบกับเมืองลิบนาห์ เพราะเขาได้ยินว่ากษัตริย์ได้เสด็จออกจากเมืองลาคีชแล้ว 9 แล้วเซนนาเคอริบได้สดับว่าทีรหะคาห์กษัตริย์แห่งเอธิโอเปียและอียิปต์ได้ยกกองทัพออกมาสู้รบกับพระองค์แล้ว ดังนั้นพระองค์จึงส่งบรรดาผู้สื่อสารไปเฝ้าเฮเซคียาห์อีกครั้งด้วยข้อความว่า

10 “เจ้าจงพูดกับเฮเซคียาห์กษัตริย์ยูดาห์ดังนี้ว่า ‘อย่าให้พระเจ้าของท่านซึ่งท่านวางใจนั้นหลอกลวงท่านว่า “เยรูซาเล็มจะไม่ถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย” 11 ดูสิ ท่านได้ยินแล้วว่าสิ่งที่บรรดากษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงทำกับแผ่นดินทั้งหมดโดยการทำลายจนหมดสิ้น ฉะนั้นแล้วท่านเองจะรอดพ้นหรือ?

12 บรรดาพระของเหล่าประชาชาติซึ่งบรรพบุรุษของเราได้ทำลาย คือชนชาติโกซาน ฮาราน เรเซฟ และประชาชนของเอเดนซึ่งอยู่ในเทลอัสสาร์ได้ช่วยกู้พวกเขาให้พ้นหรือ? 13 กษัตริย์ของฮามัท กษัตริย์ของอารปัด กษัตริย์ของเมืองเสฟารวาอิม เฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน?’”

14 เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือของผู้สื่อสารและได้ทรงอ่าน และเสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และเฮเซคียาห์ทรงคลี่จดหมายนั้นออกเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 15 แล้วเฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์และตรัสว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ประทับเหนือเหล่าเครูบ พระองค์คือพระเจ้าองค์เดียวที่อยู่เหนือบรรดาราชอาณาจักรของแผ่นดินโลกทั้งสิ้น พระองค์ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก

16 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณและสดับ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเบิกพระเนตรมองดู และขอสดับถ้อยคำของเซนนาเคอริบซึ่งเขาส่งมาเย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ 17 ข้าแต่พระยาห์เวห์ เป็นความจริงที่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ทำให้ประชาชาติและแผ่นดินของพวกเขาร้างเปล่า 18 พวกเขาได้เหวี่ยงพระของพวกเขาลงในกองไฟ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่พระเจ้า เป็นแต่ผลงานของมือมนุษย์ เป็นไม้และหิน เพราะฉะนั้นชาวอัสซีเรียจึงทำลายสิ่งเหล่านั้นได้

19 ฉะนั้นบัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยพวกข้าพระองค์ให้พ้นอำนาจของเขา เพื่อราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกจะทราบว่า พระองค์คือพระยาห์เวห์ ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว”

20 แล้วอิสยาห์บุตรชายของอามอสได้ใช้คนส่งสารไปถึงเฮเซคียาห์ทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าได้อธิษฐานต่อเราเรื่องเซนนาเคอริบกษัตริย์อัสซีเรีย เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว 21 สิ่งนี้คือถ้อยคำของพระยาห์เวห์ที่ได้ตรัสถึงเขา “ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยน ดูถูกเจ้า และหัวเราะเยาะเจ้า ธิดาแห่งเยรูซาเล็มสั่นศีรษะของนางใส่เจ้า 22 เจ้าได้เย้ยและกล่าวหยาบช้าต่อผู้ใดหรือ? เจ้าขึ้นเสียงของเจ้าต่อผู้ใด และได้เบิ่งตาของเจ้าอย่างเย่อหยิ่งต่อผู้ใดหรือ? ก็ต่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลน่ะซิ

23 โดยผู้สื่อสารของเจ้า เจ้าได้เย้ยองค์พระผู้เป็นเจ้า และเจ้าได้ว่า ‘ด้วยรถม้าศึกมากมายของข้า ข้าได้ขึ้นไปที่สูงของภูเขาต่างๆ ถึงที่ไกลสุดของเลบานอน ข้าจะโค่นต้นสนสีดาร์ที่สูงที่สุดของมันลง ทั้งต้นสนสามใบที่ดีที่สุดของมัน ข้าจะเข้าไปยังที่พักไกลลิบที่สุดของมัน ที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของมัน 24 ข้าได้ขุดบ่อ และดื่มน้ำในดินแดนต่างด้าว ข้าได้เอาฝ่าเท้าของข้า ทำให้ธารน้ำทั้งสิ้นของอียิปต์แห้งไป’

25 เจ้าไม่ได้ยินหรือว่า เราได้ตัดสินใจไว้นานแล้ว และที่เราได้วางแผนงานไว้แต่ดึกดำบรรพ์อย่างไร? บัดนี้เรากำลังให้มันเกิดขึ้นแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อทำให้บรรดาเมืองที่แข็งแกร่งพังลงเหลือเป็นซากปรักหักพัง 26 ส่วนชาวเมืองผู้อาศัยในเมืองนั้นซึ่งมีกำลังน้อย ได้ถูกทำให้เสื่อมเสียและอับอาย พวกเขาเป็นเหมือนต้นไม้ในทุ่งนา เหมือนหญ้าเขียวอ่อน เหมือนหญ้าบนหลังคาเรือนหรือในทุ่งนา ซึ่งถูกเผาไหม้ก่อนที่จะงอกงาม

27 แต่เราได้รู้จักการที่เจ้านั่งลง การที่เจ้าออกไปและการที่เจ้าเข้ามา และการเกรี้ยวกราดของเจ้าต่อเรา 28 เพราะการเกรี้ยวกราดของเจ้าต่อเรา และความจองหองของเจ้าได้มาเข้าหูของเรา ฉะนั้นเราจะเอาตะขอของเราเกี่ยวจมูกเจ้า และเอาบังเหียนของเราใส่ปากเจ้า แล้วเราจะหันเจ้าให้กลับไปตามทางซึ่งเจ้ามานั้น”

29 และนี่จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้าคือ ปีนี้เจ้าจะกินสิ่งที่งอกขึ้นเอง และในปีที่สองกินสิ่งที่ผลิจากต้นเดิม แต่ในปีที่สามเจ้าต้องเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว ต้องทำสวนองุ่นและกินผลของพวกมัน 30 คนของวงศ์วานยูดาห์ที่เหลืออยู่และรอดชีวิตจะหยั่งรากลงและเกิดผลขึ้นอีกครั้ง 31 เพราะคนที่เหลืออยู่จะออกจากกรุงเยรูซาเล็ม และคนที่รอดอยู่จะออกจากภูเขาศิโยน ความกระตือรือร้นของพระยาห์เวห์จอมโยธาจะทำการนี้

32 เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์จึงตรัสเกี่ยวกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียดังนี้ว่า “เขาจะไม่เข้าในเมืองนี้ หรือยิงลูกธนูมาที่นี่ หรือเขาจะไม่เข้ามาก่อนด้วยโล่ หรือสร้างบันไดบุกขึ้นมา 33 ทางไหนที่เขาเข้ามา ก็จะเป็นทางเดียวกันที่เขาจะกลับไปทางนั้น เขาจะไม่เข้าเมืองนี้ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” 34 เพราะเราจะป้องกันเมืองนี้ไว้ให้รอด เพื่อเห็นแก่เราเอง และเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา’”

35 อยู่มาในคืนนั้น ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้ออกไป และประหารทหารในค่ายอัสซีเรียเสีย 185,000 นาย และเมื่อคนลุกขึ้นในตอนเช้ามืด ดูสิ พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นศพในทุกที่ 36 ดังนั้นเซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงจึงทรงยกทัพออกจากอิสราเอลและทรงเสด็จกลับวัง และทรงประทับในกรุงนีนะเวห์ 37 ต่อมา เมื่อพระองค์นมัสการในศาลาของพระนิสโรคพระของพระองค์ อัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์ โอรสของพระองค์ก็ได้ประหารพระองค์ด้วยดาบ แล้วเขาทั้งสองก็หนีไปยังแผ่นดินอารารัต แล้วเอสารฮัดโดนโอรสของพระองค์ก็ได้ทรงเป็นกษัตริย์แทน

20

1 ในเวลานั้น เฮเซคียาห์ได้ทรงพระประชวรใกล้จะสวรรคต ดังนั้นผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรชายของอามอสมาเข้าเฝ้าพระองค์ และทูลพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘จงจัดการบ้านเมืองของเจ้าให้เรียบร้อย เพราะเจ้าจะตายและไม่มีชีวิตอยู่’” 2 แล้วเฮเซคียาห์ทรงหันพระพักตร์เข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า 3 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงระลึกว่า ข้าพระองค์ได้ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความซื่อสัตย์และด้วยความเต็มใจ และทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระองค์” แล้วเฮเซคียาห์จึงกันแสงเสียงดัง

4 ก่อนที่อิสยาห์จะออกไปถึงลานกลาง พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงท่านว่า 5 “จงกลับไปบอกเฮเซคียาห์ผู้นำประชาชนของเราว่า 'นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้าตรัส “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว เราจะรักษาเจ้า ในวันที่สาม เจ้าจะขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์

6 เราจะเพิ่มชีวิตของเจ้าอีกสิบห้าปี เราจะช่วยกู้เจ้าและเมืองนี้จากมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และเราจะป้องกันเมืองนี้ไว้เพื่อเห็นแก่เราเอง และเพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา”’” 7 ดังนั้นอิสยาห์จึงบอกว่า “จงเอาขนมมะเดื่อมาอันหนึ่ง” พวกเขาก็เอามาวางไว้บนพระยอดของพระองค์นั้น แล้วพระองค์ก็ทรงหายเป็นปกติ

8 เฮเซคียาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า “อะไรเป็นหมายสำคัญที่แสดงว่าพระยาห์เวห์จะทรงรักษาข้าพเจ้า และที่แสดงว่าข้าพเจ้าจะได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ในวันที่สาม?” 9 อิสยาห์ทูลว่า “นี้เป็นหมายสำคัญสำหรับพระองค์จากพระยาห์เวห์ ที่พระยาห์เวห์จะได้ทรงทำตามที่พระองค์ตรัสไว้ คือจะให้เงาคืบไปข้างหน้าสิบขั้น หรือจะให้ย้อนกลับมาสิบขั้น?”

10 เฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า “เป็นเรื่องง่ายที่เงาจะยาวออกไปอีกสิบขั้น อย่าเลย ขอให้เงาย้อนกลับมาสิบขั้นเถิด” 11 ดังนั้นอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้ร้องทูลพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงนำเงาย้อนกลับมาสิบขั้น จากที่ซึ่งมันย้อนกลับขึ้นไปบนขั้นบันไดของอาหัส

12 คราวนั้นเมโรดัคบาลาดัน พระราชโอรสของบาลาดันกษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้ทรงส่งพระราชสารและเครื่องบรรณาการมายังเฮเซคียาห์ เพราะพระองค์ได้สดับว่าเฮเซคียาห์ทรงพระประชวร 13 เฮเซคียาห์ทรงฟังพระราชสารเหล่านั้น และทรงพาพวกผู้สื่อสารชมคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระองค์ ให้ชมเงิน ทองคำ เครื่องเทศ น้ำมันอย่างดี และคลังพระแสงของพระองค์ และให้ทอดพระเนตรทุกอย่างซึ่งมีในท้องพระคลังของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดในพระราชวังหรือในราชอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งเฮเซคียาห์ไม่ได้สำแดงแก่พวกพระองค์

14 แล้วอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะจึงมาเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ และทูลถามพระองค์ว่า “คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้าง? และเขามาเฝ้าพระองค์จากที่ไหน?” เฮเซคียาห์ได้ตรัสว่า “พวกเขามาจากเมืองไกลคือจากประเทศบาบิโลน” 15 อิสยาห์ทูลถามว่า “พวกเขาเห็นอะไรในพระราชวังของพระองค์บ้าง?” เฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า “เขาเห็นทุกอย่างในวังของเรา ไม่มีสิ่งมีค่าใดในพระคลังของเราที่เราไม่ได้สำแดงแก่พวกเขา”

16 ดังนั้นอิสยาห์จึงทูลเฮเซคียาห์ว่า “จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ 17 ‘นี่แน่ะ วันเวลากำลังมาถึงเมื่อทุกสิ่งในวังของท่าน และสิ่งที่บรรพบุรุษของท่านได้สะสมมาจนถึงทุกวันนี้ จะต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน และไม่มีสิ่งใดเหลือเลย พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ 18 โอรสทั้งหลายซึ่งถือกำเนิดจากท่าน ผู้ซึ่งท่านได้เป็นบิดา คนเหล่านั้นจะเอาตัวพวกเขาไป และพวกเขาจะไปเป็นขันทีในพระราชวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน’”

19 แล้วเฮเซคียาห์ได้ตรัสกับอิสยาห์ว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งท่านกล่าวนั้นดีแล้ว” เพราะพระองค์ไทรงคิดว่า “ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยในสมัยของเรา?” 20 ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเฮเซคียาห์ และพระราชอำนาจทั้งสิ้นของพระองค์ และการที่พระองค์ได้ทรงสร้างสระและรางระบายน้ำ และวิธีที่พระองค์ได้นำน้ำเข้ามาในกรุงได้อย่างไร ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 21 เฮเซคียาห์ได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และมนัสเสห์พระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

21

1 มนัสเสห์ทรงมีพระชนมายุสิบสองพรรษาเมื่อได้ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มห้าสิบห้าปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเฮฟซีบาห์ 2 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามการกระทำที่น่าเกลียดน่าชังของประชาชาติทั้งหลายซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล 3 พระองค์ทรงสร้างสถานสูงซึ่งเฮเซคียาห์พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงทำลายนั้น และพระองค์ทรงตั้งแท่นบูชาต่างๆ แด่พระบาอัล และทรงสร้างเสาพระอาเชราห์ขึ้นใหม่เหมือนที่อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงกระทำ และทรงก้มกราบดวงดาวทั้งหมดของท้องฟ้า และนมัสการสิ่งเหล่านั้น

4 มนัสเสห์ได้ทรงสร้างแท่นบูชาของพระต่างชาติในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ทั้งๆ ที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า “เราจะใส่ชื่อของเราไว้ในกรุงเยรูซาเล็มตลอดไป” 5 พระองค์ได้ทรงสร้างแท่นบูชาต่างๆ แด่ดวงดาวต่างๆ ทั้งหมดของท้องฟ้า ในลานทั้งสองแห่งของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 6 พระองค์ได้ทรงนำพระราชโอรสไปเผาไฟ และทรงดูฤกษ์ยาม ทรงทำเวทมนตร์ และทรงติดต่อกับคนที่ตายไปแล้ว และคนที่พูดกับภูติผีต่างๆ ได้ พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายมากมายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ยั่วยุให้พระเจ้าพิโรธ

7 ส่วนรูปแกะสลักของพระอาเชราห์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้น พระองค์ทรงตั้งไว้ในพระนิเวศ ซึ่งพระนิเวศนี้พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับดาวิดและซาโลมอนพระราชโอรสของพระองค์ว่า “ในนิเวศนี้ และในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเราได้เลือกออกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล ที่เราจะใส่ชื่อของเราไว้เป็นนิตย์ 8 เราจะไม่เป็นเหตุให้เท้าของอิสราเอลพเนจรออกจากแผ่นดินที่เราให้กับบรรพบุรุษของพวกเขาอีก ถ้าเพียงแต่พวกเขาระมัดระวังที่จะทำตามทุกสิ่งซึ่งเราได้บัญชาพวกเขา และทำตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นที่โมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาพวกเขาไว้” 9 แต่ประชาชนไม่ฟัง และมนัสเสห์ได้ทรงนำพวกเขาให้หลงทำชั่วยิ่งกว่าบรรดาประชาชาติซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงทำลายให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล

10 ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้ตรัสทางพวกผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ว่า 11 “เพราะมนัสเสห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังเหล่านี้ และทำชั่วยิ่งกว่าที่คนอาโมไรต์ผู้อยู่ก่อนเขาได้ทำทั้งหมด อีกทั้งยังทำให้ยูดาห์ทำบาปด้วยบรรดารูปเคารพของเขา 12 เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เรากำลังนำเหตุร้ายมาเหนือกรุงเยรูซาเล็มและยูดาห์ ที่ใครก็ตามได้ยินแล้ว หูทั้งสองข้างของเขาจะอื้อไป

13 เราจะวัดกรุงกรุงเยรูซาเล็มโดยใช้เชือกเส้นเดียวกับที่เราวัดกรุงสะมาเรีย และใช้ลูกดิ่งอันเดียวกับที่วัดราชวงศ์อาหับ เราจะล้างกรุงเยรูซาเล็มให้สะอาดอย่างคนล้างจาน คือล้างแล้วก็คว่ำลง 14 เราจะทิ้งมรดกส่วนที่เหลือของเราเสีย และมอบพวกเขาไว้ในมือศัตรูของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นเหยื่อและเป็นของริบของศัตรูทั้งหมดของพวกเขา 15 เพราะพวกเขาได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของเรา และยั่วให้เราโกรธ ตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษของพวกเขาออกจากอียิปต์จนถึงทุกวันนี้”

16 ยิ่งกว่านั้นอีก มนัสเสห์ได้ทรงทำให้โลหิตของผู้บริสุทธิ์ตกเป็นอันมาก จนพระองค์ทำให้ความตายเต็มกรุงเยรูซาเล็มจากด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่ง นอกเหนือจากบาปที่ได้ทรงทำให้ยูดาห์ทำผิดด้วย เมื่อพวกเขาทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ 17 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของมนัสเสห์ และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำ และบาปซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 18 มนัสเสห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และได้ทรงถูกฝังไว้ในพระราชอุทยานของพระราชวังของพระองค์เองในสวนอุสซา อาโมนพระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

19 อาโมนมีพระชนมายุยี่สิบสองพรรษาเมื่อพระองค์ได้ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสองปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เมชุลเลเมท นางเป็นบุตรหญิงของฮารูสชาวโยทบาห์ 20 พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เหมือนมนัสเสห์บิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ

21 อาโมนทรงดำเนินในทางทั้งสิ้นที่พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงดำเนิน และนมัสการรูปเคารพซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงนมัสการ และก้มกราบรูปเคารพเหล่านั้น 22 พระองค์ทรงละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพระองค์ และไม่ได้ทรงดำเนินในมรรคาของพระยาห์เวห์ 23 ข้าราชบริพารของอาโมนได้ร่วมกันคิดกบฏ และได้ปลงพระชนม์กษัตริย์ในพระราชวังของพระองค์เอง

24 แต่ประชาชนในแผ่นดินได้ฆ่าทุกคนที่ร่วมกันคิดกบฏต่อกษัตริย์อาโมน แล้วประชาชนในแผ่นดินตั้งโยสิยาห์พระราชโอรสของพระองค์ให้เป็นกษัตริย์แทน 25 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของอาโมนที่ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 26 ประชาชนได้ฝังพระองค์ไว้ในอุโมงค์ฝังศพของพระองค์ในสวนอุสซา และโยสิยาห์พระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

22

1 โยสิยาห์ทรงมีพระชนมายุได้แปดพรรษาเมื่อพระองค์ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสามสิบเอ็ดปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยดีดาห์ (นางเป็นบุตรหญิงของอาดายาห์ชาวโบสคาท) 2 พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงดำเนินตามทางทั้งสิ้นของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์ไม่ได้ทรงหันเหไปทางขวาหรือทางซ้าย

3 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ พระองค์ได้ทรงใช้ชาฟานบุตรชายของอาซาลิยาห์ บุตรชายของเมชุลลามราชอาลักษณ์ไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ตรัสว่า 4 “จงขึ้นไปหาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต และบอกท่านให้นับเงินที่ได้นำเข้ามาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ซึ่งผู้เฝ้าประตูเก็บจากประชาชน 5 ขอให้มอบไว้ในมือของผู้ทำหน้าที่ดูแลพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และให้พวกเขาจ่ายแก่คนงานผู้อยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์เพื่อซ่อมแซมพระวิหารสำหรับพวกเขา

6 ขอให้พวกเขาให้เงินแก่ช่างไม้ ช่างก่อสร้าง และช่างปูน และที่จะซื้อไม้และหินสกัดเพื่อซ่อมแซมพระวิหารด้วย” 7 แต่ไม่ต้องรายงานเกี่ยวกับเงินที่มอบไว้ในมือของพวกเขา เพราะพวกเขาได้ทำอย่างซื่อสัตย์

8 ฮิลคียาห์มหาปุโรหิตได้พูดกับชาฟานราชอาลักษณ์ว่า “ข้าพเจ้าพบหนังสือธรรมบัญญัติในพระนิเวศของพระยาห์เวห์” ดังนั้นฮิลคียาห์จึงมอบหนังสือนั้นให้ชาฟานและเขาก็ได้อ่าน 9 ชาฟานได้จากไปและได้นำหนังสือไปถวายกษัตริย์และทูลรายงานต่อพระองค์ว่า “พวกข้าราชบริพารของพระองค์ได้จ่ายเงินที่พบในพระนิเวศ และพวกเขาได้นำเงินไปมอบไว้ในมือของคนงานผู้ทำหน้าที่ดูแลพระนิเวศของพระยาห์เวห์” 10 แล้วชาฟานราชอาลักษณ์ได้ทูลกษัตริย์ว่า “ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้มอบหนังสือแก่ข้าพระองค์ม้วนหนึ่ง” แล้วชาฟานก็ได้อ่านถวายกษัตริย์

11 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อกษัตริย์ได้สดับถ้อยคำของหนังสือธรรมบัญญัตินั้น และพระองค์ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์ 12 กษัตริย์ทรงบัญชาฮิลคียาห์ปุโรหิต และอาหิคัมบุตรชายของชาฟาน และอัคโบร์บุตรชายของมีคายาห์และชาฟานราชอาลักษณ์ และอาสายาห์องครักษ์ของพระองค์เอง ตรัสว่า 13 “จงไปทูลถามพระยาห์เวห์เพื่อเรา และเพื่อประชาชน และเพื่อยูดาห์ทั้งหมด เกี่ยวกับถ้อยคำในหนังสือนี้ที่ได้พบ เพราะว่าพระพิโรธของพระยาห์เวห์ซึ่งพลุ่งขึ้นต่อพวกเรานั้นใหญ่หลวงนัก เพราะว่าบรรพบุรุษของเราไม่ได้เชื่อฟังถ้อยคำของหนังสือนี้ ที่จะทำทุกสิ่งตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับพวกเรา”

14 ดังนั้นฮิลคียาห์ปุโรหิต อาหิคัม อัคโบร์ ชาฟาน และอาสายาห์ จึงได้ไปหาฮุลดาห์ผู้เผยพระวจนะหญิงผู้เป็นภรรยาของชัลลูม บุตรชายของทิกวาห์บุตรชายของฮารฮัสผู้ดูแลตู้เสื้อผ้า (นางได้อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในเขตสอง) และพวกเขาได้สนทนากับนาง 15 นางได้บอกพวกเขาว่า “นี่แหละคือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ตรัสว่า ‘จงบอกคนที่ใช้พวกท่านมาหาฉันว่า 16 “นี่แหละคือสิ่งที่พระยาห์เวห์ตรัส ‘นี่แน่ะ เราจะนำเหตุร้ายมายังสถานที่นี้ และมายังชาวเมืองนี้ ตามถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือซึ่งกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้อ่านนั้น

17 เพราะพวกเขาได้ละทิ้งเรา และเผาเครื่องหอมถวายพระอื่นๆ ซึ่งยั่วยุให้เราโกรธด้วยการกระทำทั้งหมดจากที่พวกเขาได้กระทำ ดังนั้นความโกรธของเราจะจุดขึ้นต่อสถานที่นี้ และจะดับไม่ได้’” 18 แต่กษัตริย์แห่งยูดาห์ผู้ทรงใช้พวกท่านมาถามน้ำพระทัยของพระยาห์เวห์นั้น จงไปบอกพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสไว้ว่า ‘เรื่องบรรดาถ้อยคำที่เจ้าได้ยิน 19 เพราะใจของเจ้าอ่อนน้อม และเจ้าถ่อมตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เมื่อเจ้าได้ยินถ้อยคำซึ่งเรากล่าวโทษสถานที่นี้และชาวเมืองนี้ ซึ่งจะกลายเป็นที่ร้างและที่ถูกแช่งสาป และเจ้าได้ฉีกเสื้อผ้าของเจ้า และร้องไห้ต่อหน้าเรา เราเองก็ได้ยินเจ้าด้วย นี่คือคำประกาศของพระยาห์เวห์

20 ดูเถิด เราจะนำเจ้าไปไว้กับบรรพบุรุษทั้งหลายของเจ้า และเจ้าจะถูกนำไปยังอุโมงค์ฝังศพของเจ้าอย่างสงบสุข ดวงตาของเจ้าจะไม่เห็นเหตุร้ายทั้งสิ้นที่เราจะนำมายังสถานที่นี้’’”” ดังนั้นผู้ชายทั้งหลายก็ได้นำข่าวสารนี้กลับมาทูลกษัตริย์

23

1 ดังนั้นกษัตริย์ได้ทรงใช้ผู้ส่งสารผู้ซึ่งรวบรวมผู้อาวุโสทั้งหมดของยูดาห์และของกรุงเยรูซาเล็มให้มาเข้าเฝ้าพระองค์ 2 แล้วกษัตริย์ได้เสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พร้อมกับคนยูดาห์ทั้งหมด และชาวกรุงเยรูซาเล็มทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ รวมทั้งพวกปุโรหิต พวกผู้เผยพระวจนะ และประชาชนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้เล็กน้อยหรือผู้ใหญ่ แล้วพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือพันธสัญญา ที่พบในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ให้พวกเขาฟัง

3 กษัตริย์ได้ทรงยืนข้างเสา และทรงทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ว่าจะดำเนินตามพระยาห์เวห์ และจะรักษาพระบัญญัติ พระโอวาท และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ด้วยสุดจิตสุดใจของพระองค์ จะยืนยันถ้อยคำของพันธสัญญานี้ที่เขียนไว้ในหนังสือนี้ ดังนั้น ประชาชนทั้งหมดก็ได้เข้าร่วมในพันธสัญญานั้น

4 กษัตริย์ได้ทรงบัญชาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต และพวกปุโรหิตที่รองลงมา และผู้เฝ้าประตู ให้นำเครื่องใช้ทั้งสิ้นที่ทำขึ้นสำหรับพระบาอัล สำหรับพระอาเชราห์ และสำหรับบรรดาดวงดาวของท้องฟ้าทั้งสิ้นออกมาจากพระวิหารของพระยาห์เวห์ พระองค์จึงทรงเผาเสียที่ภายนอกกรุงเยรูซาเล็มในทุ่งนาแห่งหุบเขาขิดโรน และทรงขนมูลเถ้าของมันไปยังเบธเอล 5 พระองค์ทรงกำจัดพวกนักบวชของรูปเคารพ ผู้ที่บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงแต่งตั้งให้เผาเครื่องหอมในสถานสูง ที่เมืองต่างๆ ของยูดาห์ และที่รอบๆ กรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งคนเหล่านั้นที่เผาเครื่องหอมถวายพระบาอัล ถวายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ และหมู่ดาวทั้งสิ้นของท้องฟ้า

6 พระองค์ทรงนำพระอาเชราห์ออกจากพระวิหารของพระยาห์เวห์ ไปยังหุบเขาขิดโรนภายนอกเยรูซาเล็ม และทรงเผาเสียที่นั่น พระองค์ทรงทุบให้เป็นผงคลีและทรงโยนผงคลีนั้นลงบนหลุมศพของสามัญชน 7 พระองค์ทรงรื้อที่พักของโสเภณีในพิธีทางศาสนา ซึ่งอยู่ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ ที่ผู้หญิงได้ทอเสื้อผ้าสำหรับพระอาเชราห์

8 โยสิอาห์ทรงให้นักบวชทั้งหมดออกจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และทรงทำให้สถานสูงคือที่ซึ่งนักบวชได้เผาเครื่องหอมเสียความศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่เมืองเกบาถึงเบเออร์เชบา และพระองค์ทรงทำลายสถานสูงของประตู ซึ่งอยู่ตรงทางเข้าประตูของโยชูวา (ผู้ว่าราชการเมือง) ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือที่ประตูเมือง 9 ถึงแม้ว่า บรรดานักบวชแห่งสถานสูงไม่ได้รับอนุญาตให้ปรนนิบัติที่แท่นบูชาของพระยาห์เวห์ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่เขาทั้งหลายได้กินขนมปังไร้เชื้อ ท่ามกลางพวกพี่น้องของพวกเขาเอง

10 โยสิยาห์ได้ทรงทำให้โทเฟทที่อยู่ในหุบเขาเบนฮินโนมเป็นมลทิน เพื่อจะไม่มีใครเผาบุตรชายหรือบุตรหญิงของเขาให้เป็นเครื่องบูชาต่อพระโมเลค 11 พระองค์ทรงกำจัดพวกม้าซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ถวายแก่ดวงอาทิตย์ ที่อยู่ในบริเวณทางเข้าพระวิหารของพระยาห์เวห์ ใกล้ห้องนาธันเมเลคมหาดเล็ก โยสิยาห์ทรงเผารถม้าของดวงอาทิตย์

12 กษัตริย์โยสิยาห์ทรงทำลายแท่นบูชาบนหลังคาห้องชั้นบนของอาหัส ซึ่งบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ได้ทรงสร้างไว้ และแท่นบูชาซึ่งมนัสเสห์ได้ทรงสร้างไว้ในลานทั้งสองของพระวิหารของพระยาห์เวห์ โยสิยาห์ทรงทุบสิ่งเหล่านั้นเป็นชิ้นๆ และทรงโยนมันทิ้งไปในหุบเขาขิดโรน 13 กษัตริย์ทรงทำลายสถานสูงซึ่งอยู่ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม และอยู่ทางใต้ของภูเขาแห่งความเสื่อมทรามนั้นเสียความศักดิ์สิทธิ์ ที่ซาโลมอนกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงสร้างไว้สำหรับพระอัชโทเรท เป็นรูปเคารพสิ่งน่าชังของชาวไซดอน และสำหรับพระเคโมช เป็นรูปเคารพสิ่งน่าชังของชาวโมอับ และสำหรับพระโมเลค เป็นรูปเคารพสิ่งน่าชังของชาวอัมโมน 14 พระองค์ทรงทุบเสาศักดิ์สิทธิ์เป็นชิ้นๆ และโค่นบรรดาเสาอาเชราห์ลงเสีย แล้วเอาบรรดากระดูกมนุษย์ถมที่นั้น

15 โยสิยาห์ทรงทำลายแท่นบูชาที่เบธเอลกับสถานสูงซึ่งได้ทรงตั้งขึ้นโดยเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท (ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย) พระองค์ทรงเผาแท่นบูชากับสถานสูงนั้นลง และทรงเผาสถานสูงนั้น แล้วบดให้เป็นผง พระองค์ยังได้ทรงเผาเสาอาเชราห์ด้วย 16 ขณะที่โยสิยาห์ได้ทอดพระเนตรไปรอบบริเวณนั้น พระองค์ทรงสังเกตเห็นหลุมฝังศพซึ่งอยู่ข้างภูเขา พระองค์ทรงใช้คนให้ไปเอาบรรดากระดูกออกมาจากหลุมฝังศพ และพระองค์ทรงเผาเสียบนแท่นบูชา เพื่อทำให้เสียความศักดิ์สิทธิ์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งคนของพระเจ้าได้พูดไว้ คนที่ได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้ไว้ก่อนแล้ว

17 แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า “อนุสาวรีย์อะไรที่เรามองเห็น?” พวกคนเมืองนั้นจึงทูลพระองค์ว่า “เป็นหลุมฝังศพของคนของพระเจ้า ผู้มาจากยูดาห์และพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพระองค์พึ่งได้ทรงกระทำต่อแท่นบูชาที่เบธเอล” 18 ดังนั้นโยสิยาห์จึงตรัสว่า “ให้เขาอยู่ที่นั่นแหละ อย่าให้ใครย้ายกระดูกของเขา” เขาทั้งหลายจึงทิ้งกระดูกของเขาไว้อย่างนั้น พร้อมกับกระดูกของผู้เผยพระวจนะผู้ออกมาจากสะมาเรีย

19 แล้วโยสิยาห์ได้ทรงย้ายบรรดาศาลาทั้งสิ้นของสถานสูง ที่อยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรีย ซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงสร้างไว้ และเป็นการยั่วยุให้พระยาห์เวห์กริ้ว พระองค์ทรงทำต่อสิ่งเหล่านั้นเหมือนทุกอย่างที่ได้ทรงทำที่เบธเอล 20 พระองค์ทรงประหารนักบวชแห่งสถานสูงทั้งหมดบนแท่นบูชา และทรงเผากระดูกคนบนแท่นเหล่านั้น แล้วพระองค์ก็ได้เสด็จกลับกรุงเยรูซาเล็ม

21 แล้วกษัตริย์ทรงบัญชาประชาชนทั้งหมดว่า “จงถือเทศกาลปัสกาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ดังที่เขียนไว้ในหนังสือพันธสัญญานี้” 22 เพราะว่าการฉลองเทศกาลปัสกาเช่นนี้ไม่เคยถือกันมาตั้งแต่สมัยผู้วินิจฉัยซึ่งได้ปกครองอิสราเอล ไม่เคยมีในสมัยบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลและกษัตริย์แห่งยูดาห์ 23 แต่ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ มีการฉลองเทศกาลปัสกาของพระยาห์เวห์อย่างนี้ในกรุงเยรูซาเล็ม

24 โยสิยาห์ยังได้ทรงกำจัดบรรดาพวกที่คุยกับคนตายหรือภูตผี พระองค์ยังได้ทรงกำจัด บรรดาเครื่องราง รูปเคารพ และสิ่งน่าเกลียดน่าชังซึ่งเห็นกันอยู่ในแผ่นดินยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อทรงยืนยันถ้อยคำแห่งธรรมบัญญัติ ซึ่งได้เขียนอยู่ในหนังสือที่ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้พบในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 25 ก่อนโยสิยาห์ก็ไม่มีกษัตริย์องค์ใดเหมือนพระองค์ ผู้ได้หันกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสุดจิตสุดใจและด้วยสุดกำลังของพระองค์ผู้ซึ่งได้ทรงทำตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นของโมเสส หลังพระองค์ก็ไม่มีกษัตริย์องค์ใดขึ้นมาเหมือนพระองค์

26 ถึงกระนั้น พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ทรงหันจากพระพิโรธอันแรงกล้าของพระองค์ ซึ่งได้พลุ่งขึ้นต่อยูดาห์ เพราะการนมัสการพระของคนต่างชาติทั้งสิ้นที่มนัสเสห์ได้ทรงยั่วยุให้พระองค์กริ้ว 27 ดังนั้นพระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราจะให้ยูดาห์ออกไปให้พ้นสายตาเราด้วย เหมือนที่เราได้ทำต่ออิสราเอล และเราจะเหวี่ยงเมืองนี้ซึ่งเราได้เลือกออกไปเสีย คือกรุงเยรูซาเล็มกับพระนิเวศ ซึ่งเราได้บอกว่า ‘นามของเราจะอยู่ที่นั่น’”

28 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของโยสิยาห์ และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำ ได้บันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 29 ในสมัยของพระองค์ ฟาโรห์เนโคกษัตริย์แห่งอียิปต์ได้ยกทัพสู้กับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียที่แม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์โยสิยาห์ได้ทรงไปพบกับเนโคในสนามรบ และเนโคก็ทรงประหารพระองค์ที่เมืองเมกิดโด 30 ข้าราชบริพารของโยสิยาห์จึงได้นำพระศพใส่รถม้าศึกจากเมืองเมกิดโด นำมายังกรุงเยรูซาเล็ม และได้ฝังพระองค์ไว้ในหลุมฝังศพของพระองค์เอง แล้วประชาชนในแผ่นดินนั้นก็นำเยโฮอาหาสพระราชโอรสของโยสิยาห์มาและได้เจิมพระองค์ แล้วได้ตั้งให้เป็นกษัตริย์แทนพระราชบิดา

31 เยโฮอาหาสมีพระชนมายุยี่สิบสามพรรษาเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสามเดือน พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า ฮามุทาล พระนางเป็นบุตรหญิงของเยเรมีย์ชาวลิบนาห์ 32 เยโฮอาหาสทรงกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ 33 ฟาโรห์เนโคได้ทรงจับพระองค์ขังไว้ที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท เพื่อไม่ให้พระองค์ปกครองในกรุงเยรูซาเล็ม แล้วเนโคได้ทรงปรับยูดาห์ด้วยเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ และทองคำหนึ่งตะลันต์

34 ฟาโรห์เนโคได้ทรงตั้งเอลียาคิมพระราชโอรสของโยสิยาห์เป็นกษัตริย์แทนโยสิยาห์พระราชบิดาของพระองค์ และทรงเปลี่ยนชื่อให้เป็นเยโฮยาคิม แต่พระองค์ทรงพาเยโฮอาหาสไปยังอียิปต์ และเยโฮอาหาสก็ได้เสด็จสวรรคตที่นั่น 35 เยโฮยาคิมได้ทรงจ่ายเงินและทองคำแก่ฟาโรห์ ตามพระบัญชาของฟาโรห์ เยโฮยาคิมทรงเก็บภาษีที่ดินและบังคับประชาชนแต่ละคนของแผ่นดินให้เอาเงินและทองคำมาถวายให้พระองค์ตามการประเมินของพวกเขา

36 เยโฮยาคิมทรงมีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ และพระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เศบิดาห์ พระนางเป็นบุตรหญิงของเปดายาห์ชาวรูมาห์ 37 เยโฮยาคิมทรงกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ

24

1 ในรัชกาลของเยโฮยาคิม เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้โจมตียูดาห์ เยโฮยาคิมเป็นคนรับใช้ของพระองค์สามปี แล้วเยโฮยาคิมก็กลับเป็นกบฏต่อเนบูคัดเนสซาร์ 2 พระยาห์เวห์ทรงใช้คนเคลเดีย คนอารัม คนโมอับและคนอัมโมนมาต่อสู้กับเยโฮยาคิม พระองค์ทรงใช้เขาทั้งหลายไปต่อสู้ยูดาห์เพื่อจะทำลายเสีย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ตรัสผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์

3 แท้จริงเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับยูดาห์ตามคำตรัสของพระยาห์เวห์ เพื่อจะเอาพวกเขาออกไปให้พ้นสายพระเนตรของพระองค์ เพราะบาปทั้งหลายของมนัสเสห์ ทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำ 4 และเพราะโลหิตที่ไร้ความผิดซึ่งพระองค์ได้ทำให้ไหลออกนั้นด้วย เพราะพระองค์ได้ทำให้กรุงเยรูซาเล็มเต็มไปด้วยโลหิตที่ไร้ความผิด พระยาห์เวห์ไม่ทรงประสงค์ที่จะทรงอภัย

5 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของเยโฮยาคิม และทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 6 เยโฮยาคิมทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และเยโฮยาคีนพระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

7 กษัตริย์แห่งอียิปต์ไม่ได้ทรงยกทัพมาโจมตีจากแผ่นดินของพระองค์อีกเลย เพราะกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้พิชิตดินแดนทั้งสิ้น ซึ่งควบคุมโดยกษัตริย์แห่งอียิปต์ตั้งแต่ลำห้วยของอียิปต์ถึงแม่น้ำยูเฟรติส

8 เยโฮยาคีนมีพระชนมายุสิบแปดพรรษาเมื่อพระองค์ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสามเดือน พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเนหุชทา พระนางคือบุตรหญิงของเอลนาธันชาวเยรูซาเล็ม 9 พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างตามที่พระบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ

10 ในเวลานั้นกองทัพของเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้ยกทัพขึ้นมาโจมตีกรุงเยรูซาเล็มและล้อมกรุงไว้ 11 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนเสด็จมาที่เมืองนั้น ขณะที่พวกทหารของพระองค์ยังล้อมเมืองนั้นอยู่ 12 และเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงออกไปหากษัตริย์แห่งบาบิโลน ทั้งตัวพระองค์เองพร้อมกับพระราชมารดา พวกข้าราชบริพาร พวกเจ้าเมือง และพวกข้าราชสำนักของพระองค์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้จับพระองค์เป็นเชลยในปีที่แปดแห่งการครองราชย์ของพระองค์

13 เนบูคัดเนสซาร์ทรงขนเอาสิ่งที่มีค่าในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ทั้งหมดและทรัพย์สินในพระราชวังของกษัตริย์ พระองค์ทรงตัดเครื่องใช้ทองคำที่ซาโลมอนกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงสร้างไว้ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ออกเป็นชิ้นๆ ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้ก่อนแล้วว่าจะเกิดขึ้น 14 พระองค์ทรงกวาดต้อนชาวเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยทั้งหมด คือผู้นำทั้งหมด นักรบทั้งหมด เชลยหนึ่งหมื่นคน รวมทั้งช่างฝีมือและช่างโลหะทั้งหมด ไม่เหลือผู้ใดไว้เลยนอกจากประชาชนของแผ่นดินที่ยากจนที่สุด

15 เนบูคัดเนสซาร์ทรงนำเยโฮยาคีนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน รวมทั้งพระมารดาของกษัตริย์ บรรดาพระมเหสี ข้าราชสำนักของพระองค์ และบุคคลชั้นหัวหน้าของแผ่นดินด้วย พระองค์ทรงนำพวกเขาจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังบาบิโลนเพื่อเป็นเชลย 16 นักรบทั้งหมดเจ็ดพันคน ช่างฝีมือและช่างเหล็กหนึ่งพันคน และทุกคนที่เหมาะสำหรับการรบ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทรงนำคนเหล่านี้มายังบาบิโลนเพื่อไปเป็นเชลย 17 กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงตั้งมัทธานิยาห์ พระปิตุลาของเยโฮยาคีนเป็นกษัตริย์แทนพระองค์ และเปลี่ยนพระนามให้ว่า เศเดคียาห์

18 เศเดคียาห์มีพระชนมายุยี่สิบเอ็ดพรรษา เมื่อพระองค์ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า ฮามุทาล พระนางเป็นบุตรหญิงของเยเรมีย์ชาวลิบนาห์ 19 พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างตามที่เยโฮยาคิมได้ทรงกระทำ 20 เพราะพระพิโรธของพระยาห์เวห์ สิ่งเหล่านี้ทั้งปวงจึงได้เกิดขึ้นต่อเยรูซาเล็มและยูดาห์ จนกระทั่งพระองค์ได้ทรงขับไล่ทั้งสองไปให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์ แล้วเศเดคียาห์ก็ได้ทรงกบฏต่อกษัตริย์แห่งบาบิโลน

25

1 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปีที่เก้าแห่งรัชกาลของเศเดคียาห์เมื่อเดือนสิบวันที่สิบ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนได้ทรงยกกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์มาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงตั้งค่ายด้านตรงข้าม และเขาทั้งหลายสร้างกำแพงดินไว้ล้อมรอบ 2 ดังนั้น กรุงนั้นจึงถูกล้อมอยู่ถึงปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์ 3 ในวันที่เก้าของเดือนที่สี่ของปีนั้น เกิดการขาดแคลนอาหารรุนแรงในกรุงนั้น ไม่มีอาหารให้แก่ประชาชนของแผ่นดิน

4 แล้วกรุงนั้นก็แตก และทหารทั้งสิ้นได้หนีออกไปในเวลากลางคืนตามทางประตูเมืองระหว่างกำแพงทั้งสองซึ่งอยู่ริมอุทยานของกษัตริย์ ทั้งๆ ที่คนเคลเดียอยู่รอบเมือง กษัตริย์จึงเสด็จออกไปทางทะเลทรายอารบา 5 แต่กองทัพของคนเคลเดียได้ไล่ตามกษัตริย์เศเดคียาห์ และมาทันพระองค์ในที่ราบของแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค กองทัพทั้งสิ้นของพระองค์ก็กระจัดกระจายไปจากพระองค์

6 พวกเขาจึงจับกษัตริย์ และนำพระองค์มายังกษัตริย์บาบิโลนที่เมืองริบลาห์ ที่ซึ่งพวกเขาได้ตัดสินลงโทษพระองค์ 7 สำหรับบรรดาพระราชโอรสของเศเดคียาห์ พวกเขาได้ประหารชีวิตต่อเบื้องพระเนตรของพระองค์ แล้วเขาได้ควักพระเนตรของเศเดคียาห์ออก ตีโซ่ตรวนสัมฤทธิ์พระองค์ และได้พาพระองค์ไปยังบาบิโลน

8 บัดนี้เมื่อวันที่เจ็ด ในเดือนที่ห้า ซึ่งเป็นปีที่สิบเก้าของรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดาน ผู้เป็นข้าราชบริพารคนหนึ่งของกษัตริย์แห่งบาบิโลนและเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ได้มายังกรุงเยรูซาเล็ม 9 เขาได้เผาพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระราชวังของกษัตริย์ และบ้านเรือนทั้งหมดของกรุงเยรูซาเล็ม เขาได้เผาอาคารสำคัญทุกหลังในเมืองลงด้วย 10 สำหรับกำแพงทั้งหมดรอบเยรูซาเล็ม ทหารชาวบาบิโลนทั้งหมดผู้อยู่กับผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ทำลายลง

11 ประชาชนที่เหลืออยู่ซึ่งอยู่ในเมือง และคนซึ่งหลบหนีไปหากษัตริย์แห่งบาบิโลน พร้อมกับมวลชนที่เหลืออยู่นั้น เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้กวาดต้อนพวกเขาไปเป็นเชลย 12 แต่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ทิ้งคนจนที่สุดแห่งแผ่นดินไว้ให้เป็นคนทำสวนองุ่นและเป็นคนทำไร่ไถนา

13 สำหรับเสาทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และแท่นกับอ่างทะเลทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์นั้น คนเคลเดียได้ทุบเป็นชิ้นๆ และได้ขนเอาทองสัมฤทธิ์ไปยังบาบิโลน 14 บรรดาหม้อ พลั่ว และกรรไกรตัดไส้ตะเกียง และช้อน และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดซึ่งปุโรหิตใช้ในงานของพระวิหาร พวกชาวเคลเดียได้เอาไปหมด 15 กระถางสำหรับตักขี้เถ้า กับชามที่ทำด้วยทองคำและด้วยเงิน ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็ได้ขนเอาไปหมดด้วย

16 เสาใหญ่สองต้น อ่างทะเล และพวกขาตั้งซึ่งซาโลมอนได้ทรงสร้างสำหรับพระนิเวศของพระยาห์เวห์นั้น ทองสัมฤทธิ์ของภาชนะเหล่านี้ก็หนักเกินกว่าที่จะชั่งได้ 17 เสาใหญ่ต้นหนึ่งสูงประมาณสิบแปดศอก และมีบัวคว่ำทองสัมฤทธิ์บนเสา บัวคว่ำนั้นสูงประมาณสามศอกพร้อมตาข่ายและลูกทับทิมที่ล้อมรอบบัว ทั้งหมดล้วนทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เสาใหญ่อีกต้นและตาข่ายก็เหมือนกับเสาต้นแรก

18 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็ได้จับเสไรยาห์ปุโรหิตใหญ่ และเศฟันยาห์ปุโรหิตรอง กับผู้เฝ้าประตูสามคนไปด้วย 19 จากเมืองนั้นเขาได้จับข้าราชสำนัก ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ที่ปรึกษาของกษัตริย์ห้าคนที่ยังคงอยู่ในเมืองนั้นไปเป็นนักโทษ เขายังได้จับข้าราชการของกษัตริย์ซึ่งรับผิดชอบเกณฑ์คนไปเป็นทหาร พร้อมกับหกสิบคนสำคัญของแผ่นดินซึ่งพบในเมืองไปเป็นนักโทษ

20 แล้วเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับพวกเขาเหล่านี้พามาเฝ้ากษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ 21 กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทรงประหารชีวิตเขาทั้งหลายเสียที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท ในวิธีนี้ยูดาห์จึงออกจากแผ่นดินของตนไปเป็นเชลย

22 สำหรับประชาชนที่เหลือในแผ่นดินยูดาห์ ผู้ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์บาบิโลนได้ทรงเหลือไว้ พระองค์ทรงแต่งตั้งเกดาลิยาห์บุตรชายของอาหิคัม บุตรชายของชาฟานให้เป็นผู้ควบคุมพวกเขา 23 บัดนี้ เมื่อบรรดาผู้บังคับบัญชากองทัพทั้งหมด ทั้งตัวเขาทั้งหลาย และคนของเขาได้ยินว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงแต่งตั้งเกดาลิยาห์ให้เป็นเจ้าเมือง พวกเขาได้มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ คนเหล่านี้คืออิชมาเอลบุตรชายของเนธานิยาห์ โยฮานันบุตรชายของคาเรอาห์ เสไรยาห์บุตรชายของทันหุเมทชาวเนโทฟาห์ และยาอาซันยาห์บุตรชายของคนตระกูลมาอาคาห์ ทั้งตัวพวกเขา และคนของเขา 24 เกดาลิยาห์ได้ทำสัตย์สาบานแก่พวกเขาและคนของเขาว่า “อย่ากลัวข้าราชบริพารเคลเดียเลย จงอาศัยในแผ่นดินและปรนนิบัติกษัตริย์บาบิโลน แล้วพวกเจ้าก็จะอยู่เย็นเป็นสุข”

25 แต่ในเดือนที่เจ็ด อิชมาเอลบุตรชายของเนธานิยาห์ บุตรชายของเอลีชามา ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ ได้เข้ามาพร้อมกับชายสิบคน ได้โจมตีเกดาลิยาห์ เกดาลิยาห์ตายพร้อมกับคนยูดาห์กับคนบาบิโลนผู้อยู่กับเขาที่มิสปาห์ 26 แล้วประชาชนทั้งสิ้น ทั้งผู้น้อย และผู้ใหญ่ และผู้บังคับบัญชาพลรบได้ลุกขึ้น และไปยังอียิปต์ เพราะพวกเขากลัวคนบาบิโลน

27 ต่อมาในปีที่สามสิบเจ็ดที่เยโฮยาคีนกษัตริย์ยูดาห์ถูกเนรเทศในเดือนที่สิบสอง เมื่อวันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนนั้นที่เอวิลเมโรดักกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทรงปล่อยเยโฮยาคีนกษัตริย์ยูดาห์พ้นจากเรือนจำ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปีที่เอวิลเมโรดักได้ทรงขึ้นครองราชย์

28 พระองค์ได้ตรัสอย่างเมตตาแก่ดยโฮยาคีน และให้ที่นั่งที่มีเกียรติกว่าบรรดาที่นั่งของบรรดากษัตริย์ที่อยู่ในกรุงบาบิโลนกับพระองค์ 29 เอวิลเมโรดักจึงได้ถอดเครื่องแต่งกายของนักโทษออกจากเยโฮยาคีน เยโฮยาคีนได้รับประทานที่โต๊ะเสวยของกษัตริย์เป็นประจำทุกวันตลอดชีวิตของพระองค์ 30 พระองค์ทรงได้รับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงชีพทุกๆ วันไปจนตลอดชีวิตที่เหลือของพระองค์