ไทย (Thai): Unlocked Literal Bible Print

Updated ? hours ago # views See on WACS
HEBREWS
HEBREWS
1

1 เป็นเวลานานมาแล้วที่พระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของพวกเราผ่านทางผู้เผยพระวจนะในหลายครั้งและด้วยหลายวิธีการ 2 แต่ในวาระสุดท้ายพระองค์ได้ตรัสกับพวกเราผ่านทางพระบุตรผู้ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เป็นทายาทเพื่อครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลาย โดยผ่านทางพระองค์ พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาลขึ้นมา 3 พระองค์ทรงเป็นความสว่างอันเจิดจ้าแห่งพระสิริของพระเจ้า เป็นผู้สะท้อนถึงพระลักษณะที่แท้จริงของพระองค์ พระองค์ทรงยึดทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกันโดยถ้อยคำแห่งฤทธิ์อำนาจของพระองค์ หลังจากที่พระองค์ทรงได้ชำระล้างความบาปแล้ว พระองค์ประทับนั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยบารมีในที่สูงสุด

4 พระองค์ทรงมาเป็นผู้ที่อยู่เหนือบรรดาทูตสวรรค์ เพราะพระนามของพระองค์ที่ทรงได้รับมาเป็นพระนามที่ดีเลิศกว่านามของพวกเขา 5 เพราะมีทูตสวรรค์องค์ไหนหรือที่พระเจ้าเคยตรัสกับเขาว่า "เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราเป็นบิดาของเจ้า"? หรือมีทูตสวรรค์องค์ไหนที่พระเจ้าเคยตรัสกับเขาว่า "เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา" หรือ?

6 อีกครั้งเมื่อพระองค์ทรงนำพระบุตรหัวปีเข้ามาในโลกนี้ พระองค์ตรัสว่า "ทูตสวรรค์ทั้งหมดของพระเจ้าต้องนมัสการเขา" 7 พระองค์ตรัสเกี่ยวกับเหล่าทูตสวรรค์ว่า "พระองค์ผู้ทรงกระทำให้ทูตสวรรค์ทั้งหลายเป็นวิญญาณ และกระทำให้บรรดาผู้รับใช้เป็นเปลวไฟ"

8 แต่เกี่ยวกับพระบุตร พระองค์ตรัสว่า "พระเจ้า พระบัลลังก์ของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิจ คทาแห่งราชอาณาจักรของพระองค์เป็นคทาแห่งความยุติธรรม 9 พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและเกลียดการละเมิด ด้วยเหตุนี้พระเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน ได้ทรงเจิมท่านด้วยน้ำมันแห่งความยินดีมากยิ่งกว่าบรรดาสหายของท่าน"

10 "องค์พระผู้เป็นเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ได้ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก ฟ้าสวรรค์เป็นผลงานแห่งฝีพระหัตถ์ของพระองค์ 11 พวกนั้นจะสูญสิ้นไปแต่พระองค์จะยังคงอยู่ สิ่งเหล่านั้นจะเก่าไปเหมือนกับเสื้อผ้าตัวหนึ่ง 12 พระองค์จะทรงพับพวกมันเหมือนกับเสื้อคลุม และพวกมันจะถูกทำให้เปลี่ยนไปเป็นเหมือนกับผ้าชิ้นหนึ่ง แต่พระองค์ทรงเป็นเหมือนเดิม และปีทั้งหลายของพระองค์ก็ไม่สิ้นสุด"

13 แต่พระองค์เคยตรัสกับทูตสวรรค์องค์ใดบ้างว่า "จงนั่งอยู่ที่ข้างขวามือของเราจนกว่าเราทำให้ศัตรูทั้งหลายของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า"? 14 ทูตสวรรค์ทั้งหมดไม่ใช่วิญญาณผู้ปรนนิบัติที่ถูกส่งมาเพื่อดูแลคนเหล่านั้นที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกหรือ?

2

1 ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงต้องเอาใจใส่มากยิ่งขึ้นต่อสิ่งที่พวกเราได้ยิน เพื่อพวกเราจะไม่เตลิดออกไปจากสิ่งนี้

2 เพราะถ้าหากถ้อยคำที่ถูกกล่าวโดยผ่านทางบรรดาทูตสวรรค์นั้นมีเหตุผล และการละเมิดกับการไม่เชื่อฟังทุกอย่างยังได้รับการลงโทษอย่างเป็นธรรม 3 แล้วพวกเราจะหนีพ้นได้อย่างไรหากพวกเราเพิกเฉยต่อความรอดอันยิ่งใหญ่นี้? นี่คือความรอดที่ได้รับการประกาศครั้งแรกโดยองค์พระผู้เป็นเจ้าและพวกเราได้รับการยืนยันโดยบรรดาคนเหล่านั้นที่ได้ยินเรื่องนี้ 4 ในเวลาเดียวกันพระเจ้าได้เป็นพยานโดยหมายสำคัญ การอัศจรรย์ และกิจอันประกอบไปด้วยฤทธิ์อำนาจมากมาย และโดยการแจกจ่ายของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามน้ำพระทัยของพระองค์

5 เพราะพระเจ้าไม่ได้ให้โลกที่จะมาถึงนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของพวกทูตสวรรค์ คือโลกที่เรากำลังพูดถึงนี้ 6 แต่มีผู้หนึ่งที่ได้ยืนยันเอาไว้โดยกล่าวว่า "มนุษย์เป็นใครหนอที่พระองค์ทรงระลึกถึงเขา? หรือบุตรมนุษย์เป็นใครที่พระองค์ทรงห่วงใยเขา?

7 พระองค์สร้างมนุษย์ให้ต่ำกว่าบรรดาทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย พระองค์สวมมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติให้แก่เขา 8 พระองค์วางทุกสิ่งให้อยู่ภายใต้เท้าแห่งการปกครองของเขา" เพราะมนุษย์คือผู้ที่พระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเขา พระองค์ไม่ได้ให้มีสักสิ่งเดียวที่ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา แต่ตอนนี้เรายังไม่เห็นทุกสิ่งที่อยู่ภายใต้เขา

9 แต่เราเห็นผู้หนึ่งที่ถูกทำให้ต่ำกว่าบรรดาทูตสวรรค์ในช่วงเวลาอันสั้น คือ พระเยซู ผู้ที่โดยการทนทุกข์และการตายของพระองค์ทำให้พระองค์ได้รับศักดิ์ศรีและเกียรติสวมเป็นมงกุฎ ดังนั้นในเวลานี้โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จึงได้ลิ้มรสความตายเพื่อมนุษย์ทุกคน 10 เพราะนี่เป็นการเหมาะสมสำหรับพระเจ้าที่จะนำบรรดาบุตรมากมายไปสู่ศักดิ์ศรี เนื่องจากทุกสิ่งดำรงอยู่เพื่อพระองค์และโดยผ่านทางพระองค์ เป็นการเหมาะสมสำหรับพระองค์แล้วที่จะทำให้การเป็นผู้เบิกทางแห่งความรอดที่มีไว้สำหรับพวกเขาเสร็จสมบูรณ์โดยผ่านทางการทนทุกข์ของพระองค์

11 เพราะทั้งผู้หนึ่งที่ยอมอุทิศชีวิตกับบรรดาคนเหล่านั้นที่ได้รับการอุทิศมอบไว้ล้วนมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน โดยเหตุผลนี้เองพระองค์จึงไม่ละอายที่จะเรียกพวกเขาว่าเป็นพี่น้อง 12 พระองค์ตรัสว่า "ข้าพระองค์จะประกาศถึงพระนามของพระองค์แก่พี่น้องของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงที่กล่าวถึงพระองค์จากภายในที่ชุมนุม"

13 และตรัสอีกว่า "ข้าพระองค์จะไว้วางใจในพระองค์" อีกครั้งว่า "ดูเถิดข้าพระองค์อยู่ที่นี่กับบรรดาบุตรทั้งหลายที่พระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์" 14 ด้วยเหตุที่บรรดาบุตรของพระเจ้าได้เข้าส่วนในเนื้อหนังและเลือด พระเยซูจึงเข้าส่วนในเนื้อหนังและเลือดกับพวกเขาด้วย เพื่อว่าโดยทางความตายของพระองค์ พระองค์จะกำจัดผู้นั้นที่มีอำนาจแห่งความตายคือมาร 15 โดยทางนี้พระองค์จะปลดปล่อยบรรดาคนเหล่านั้นที่มีชีวิตตกเป็นทาสเนื่องจากความกลัวตายของพวกเขาให้เป็นอิสระ

16 เพราะเหตุนี้จึงแน่ชัดว่าไม่ใช่บรรดาทูตสวรรค์ที่พระเจ้าทรงเป็นห่วง แต่คือเชื้อสายของอับราฮัมที่พระองค์ทรงเป็นห่วง 17 ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พระองค์จะต้องเป็นเหมือนพี่น้องของพระองค์ทุกประการ เพื่อพระองค์จะสามารถเป็นมหาปุโรหิตที่สัตย์ซื่อและมีความเมตตาต่อสิ่งต่างๆ ของพระเจ้า และเพื่อพระองค์จะนำการยกโทษความบาปมายังผู้คน 18 เพราะพระเยซูเองได้ทนทุกข์และถูกทดลอง พระองค์จึงสามารถช่วยเหลือคนเหล่านั้นที่ถูกทดลองได้

3

1 เพราะฉะนั้น พี่น้องผู้บริสุทธิ์ พวกท่านผู้เข้าส่วนในการทรงเรียกจากสวรรค์ ขอจงคิดถึงพระเยซูผู้ทรงเป็นอัครทูตและมหาปุโรหิตที่เรายอมรับนั้น 2 พระองค์ทรงสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพระองค์เหมือนกับที่โมเสสสัตย์ซื่อในบ้านของพระเจ้า 3 เพราะพระเยซูได้รับการพิจารณาว่าทรงสมควรต่อพระสิริอันยิ่งใหญ่กว่าโมเสส เพราะผู้ที่สร้างบ้านย่อมมีเกียรติยิ่งกว่าตัวบ้าน 4 เพราะบ้านทุกหลังจะต้องมีคนที่สร้างบ้าน แต่พระเจ้าคือผู้สร้างทุกสิ่ง

5 ในทางหนึ่ง โมเสสเป็นคนที่สัตย์ซื่อในฐานะคนรับใช้ที่อยู่ในบ้านของพระเจ้า เขาเป็นพยานเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งได้รับการตรัสถึง 6 แต่พระคริสต์ทรงเป็นพระบุตรผู้มีอำนาจในบ้านของพระเจ้า พวกเราเป็นบ้านของพระเจ้าถ้าหากพวกเรายืนหยัดในความกล้าหาญและในความหวังที่พวกเราโอ้อวด

7 ดังนั้นจึงเหมือนกับที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสว่า "วันนี้ถ้าหากพวกเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ 8 อย่าทำให้ใจแข็งกระด้างเหมือนกับคนที่กบฎในช่วงเวลาแห่งการทดสอบในถิ่นทุรกันดาร

9 นี่คือเมื่อพวกบรรพบุรุษของพวกเจ้าได้กบฎด้วยการทดสอบเรา คือช่วงตลอดสี่สิบปีที่พวกเขาเห็นการกระทำของเรา 10 ด้วยเหตุนี้เราจึงโกรธเคืองชนในรุ่นนั้น เราตรัสว่า 'พวกเขาถูกชักจูงให้หลงผิดในหัวใจของพวกเขาเสมอ พวกเขาไม่รู้จักวิถีต่างๆ ของเรา' 11 จึงเป็นไปตามที่เราได้ปฏิญาณด้วยความโกรธเอาไว้ว่า พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การหยุดพักของเรา"

12 จงระวังให้ดีพี่น้องเอ๋ย เพื่อว่าในท่ามกลางพวกท่านจะไม่มีผู้ใดที่มีหัวใจชั่วช้าเนื่องจากการไม่เชื่อ คือหัวใจที่หันออกจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ 13 แต่จงหนุนใจกันและกันในทุกวันตราบเท่าที่ยังเรียกว่า "วันนี้" เพื่อในท่ามกลางพวกท่านจะไม่มีแม้แต่สักคนเดียวที่ถูกทำให้ใจแข็งกระด้างโดยการหลอกลวงของความบาป

14 เพราะพวกเราได้มาเป็นหุ้นส่วนของพระคริสต์ถ้าหากพวกเรายึดมั่นอย่างเต็มที่ในความหวังที่มีในพระองค์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันสุดท้าย 15 ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า "วันนี้ถ้าพวกเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์ อย่าทำให้ใจของพวกเจ้าแข็งกระด้างเหมือนคนกบฎ"

16 ใครคือคนที่ได้ยินพระเจ้าและกบฎ? ไม่ใช่พวกคนเหล่านั้นที่ออกมาจากอียิปต์โดยผ่านทางโมเสสหรือ? 17 ใครคือคนที่ทำให้พระองค์โกรธเคืองตลอดสี่สิบปี? ไม่ใช่คนเหล่านั้นที่ทำบาป พวกคนที่ล้มตายในถิ่นทุรกันดารหรือ? 18 ใครคือคนที่พระองค์ปฏิญาณว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของพระองค์ ก็คือคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ใช่ไหม? 19 พวกเราเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าสู่การหยุดพักของพระองค์เพราะการไม่เชื่อ

4

1 ดังนั้นขอให้พวกเราระวังให้ดีเพื่อจะไม่มีใครในพวกท่านที่ล้มเหลวในการเข้าถึงพระสัญญาที่มีไว้สำหรับพวกท่านในการเข้าสู่การพักสงบของพระเจ้า 2 เพราะพวกเราได้รับการบอกถึงข่าวประเสริฐเหมือนกับที่พวกเขาได้รับ แต่ข้อความนั้นไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อคนเหล่านั้นที่ไม่ได้เข้าส่วนในความเชื่อกับคนเหล่านั้นที่เชื่อฟัง

3 เพราะพวกเราที่เชื่อก็เป็นคนเหล่านั้นที่จะได้เข้าสู่การพักสงบเหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสเอาไว้ว่า "เหมือนที่เราได้สัญญาเอาไว้ด้วยความโกรธของเรา พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่การพักสงบของเราเลย" ถึงแม้ว่าการงานแห่งการทรงสร้างของพระองค์ในการวางรากฐานโลกได้เสร็จสิ้นแล้ว 4 เพราะมีตอนหนึ่งที่พระองค์ตรัสเอาไว้เกี่ยวกับวันที่เจ็ดว่า "พระเจ้าทรงพักจากการทำงานทั้งสิ้นของพระองค์ในวันที่เจ็ด" 5 และพระองค์ตรัสอีกว่า "พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่การพักสงบของเราเลย"

6 ด้วยเหตุนี้เอง จึงยังคงมีบางคนที่ได้รับการสงวนเอาไว้เพื่อเข้าสู่การพักสงบของพระองค์ และนับจากที่ชาวอิสราเอลจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าสู่การพักสงบเพราะการไม่เชื่อฟัง 7 พระเจ้าได้ตั้งวันหนึ่งขึ้นมาอีกครั้งที่เรียกว่า "วันนี้" หลังจากนั้นอีกหลายวัน พระองค์ตรัสผ่านทางดาวิดอย่างที่เคยตรัสมาก่อนแล้วว่า "วันนี้ถ้าหากท่านฟังเสียงของพระองค์ และไม่ทำให้ใจของพวกท่านแข็งกระด้าง"

8 เพราะถ้าหากโยชูวาให้การพักสงบแก่พวกเขาได้ พระเจ้าจะไม่ตรัสถึงวันอื่นอีก 9 ดังนั้นจึงยังคงมีวันสะบาโตแห่งการพักสงบที่สงวนเอาไว้สำหรับประชากรของพระเจ้า 10 เพราะคนที่เข้าสู่การพักสงบของพระเจ้าก็ได้พักตัวเองจากการทำงานของพวกเขาเหมือนอย่างที่พระเจ้าได้ทรงพักนั้น 11 ด้วยเหตุนี้ให้พวกเรามีความกระตือรือร้นเพื่อเข้าสู่การพักสงบนั้น เพื่อจะไม่มีสักคนเดียวที่ล้มลงในการไม่เชื่อฟังเหมือนกับที่พวกเขาได้ทำนั้น

12 เพราะพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตอยู่ พร้อมทำงาน และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ ที่แทงทะลุเข้าไปเพื่อแยกจิตจากวิญญาณ แยกข้อต่อจากไขกระดูก สามารถรู้ถึงความคิดและเจตนาในหัวใจ 13 ไม่มีสิ่งใดที่ถูกสร้างขึ้นแล้วถูกปิดซ่อนจากพระเจ้า แต่ทุกสิ่งก็ปรากฎและเปิดเผยต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ที่เราต้องรายงานนั้น

14 ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่วันที่เรามีมหาปุโรหิตผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ได้ผ่านฟ้าสวรรค์มาแล้วคือ พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ให้เรายึดความเชื่อของเราเอาไว้ให้มั่น 15 เพราะเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถเห็นใจในความอ่อนแอของพวกเรา แต่เรามีพระองค์ผู้ที่ถูกทดลองเหมือนกับเราทุกประการยกเว้นการที่พระองค์ทรงปราศจากบาป 16 ให้เราไปถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อพวกเราจะได้รับพระเมตตาและพบพระคุณที่ช่วยพวกเราได้ในยามที่มีความจำเป็น

5

1 เพราะมหาปุโรหิตทุกคนถูกเลือกจากท่ามกลางผู้คนและได้รับการแต่งตั้งให้กระทำการแทนประชากรในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อเขาจะเป็นผู้ที่ถวายของถวายและเครื่องบูชาเพื่อความบาปทั้งหลาย 2 เขาสามารถปฎิบัติอย่างอ่อนสุภาพต่อคนที่โง่เขลาและดื้อรั้นเพราะเขาเองก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยความอ่อนแอ 3 เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับความบาปของตัวเองเหมือนกับที่เขากระทำเพื่อความบาปของประชาชนด้วย

4 การที่คนใดได้รับเกียรตินี้ย่อมไม่ใช่เพื่อตัวของเขาเอง แต่เขาได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าเหมือนกับอาโรน 5 ในทางเดียวกัน พระคริสต์เองก็ไม่ได้ยกตัวเองเพื่อได้รับเกียรติในการเป็นมหาปุโรหิต แต่พระเจ้าผู้ตรัสกับพระองค์นั้นกล่าวว่า "เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้มาเป็นบิดาของเจ้า"

6 เหมือนกับที่พระองค์ได้ตรัสในตอนอื่นว่า "เจ้าเป็นปุโรหิตนิรันดร์ตามแบบของเมลคีเซเดค"

7 ในช่วงระหว่างการเป็นมนุษย์ของพระองค์นั้น พระคริสต์ได้มอบถวายทั้งคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนด้วยเสียงอันดังและด้วยน้ำตาไหลต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้รอดจากความตายได้ พระเจ้าทรงสดับฟังเนื่องจากชีวิตที่อยู่ในทางของพระเจ้าของพระองค์ 8 ถึงแม้พระองค์เป็นพระบุตรแต่พระองค์เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังผ่านทางการทุกข์ยากต่างๆ ของพระองค์

9 พระองค์ได้ถูกทำให้สมบูรณ์และได้มาเป็นต้นเหตุแห่งความรอดนิรันดร์สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ 10 พระองค์ได้รับการออกแบบโดยพระเจ้าเพื่อให้เป็นมหาปุโรหิตตามแบบเมลคีเซเดค 11 ยังมีอีกมากที่พวกเราจะพูดถึงพระเยซู แต่ก็ยากที่จะอธิบายเนื่องจากพวกท่านได้กลายเป็นคนที่เฉื่อยช้าในการฟังแล้ว

12 ถึงแม้เวลานี้ที่พวกท่านควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่พวกท่านก็ยังต้องการให้มีคนสอนพวกท่านถึงหลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับถ้อยคำของพระเจ้า พวกท่านต้องการน้ำนม ไม่ใช่อาหารแข็ง 13 เพราะใครก็ตามที่ดื่มน้ำนมก็ยังอ่อนหัดในเรื่องความชอบธรรม เพราะว่าเขายังเป็นเพียงเด็กทารก 14 แต่อาหารแข็งนั้นมีไว้สำหรับผู้ใหญ่ คนเหล่านี้คือคนที่ความเป็นผู้ใหญ่ทำให้พวกเขามีความเข้าใจที่ฝึกฝนพวกเขาให้แยกแยะสิ่งดีออกจากสิ่งชั่วได้

6

1 ดังนั้นแล้ว ขอให้พวกเราออกจากคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์และก้าวไปข้างหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ขอให้พวกเราที่จะไม่ต้องวางรากฐานเรื่องการกลับใจจากการงานแห่งความตายและเรื่องความเชื่อในพระเจ้าอีกครั้ง 2 หรือเรื่องรากฐานคำสอนเกี่ยวกับการบัพติศมา การวางมือ การฟื้นจากความตายของคนที่คนตายไปแล้ว และเรื่องการพิพากษานิรันดร์ 3 เราจะทำสิ่งนี้ถ้าหากพระเจ้าทรงอนุญาต

4 เพราะมันเป็นไปไม่ได้สำหรับคนเหล่านั้นที่เคยได้รับคำสอนมาแล้ว เคยได้ลิ้มชิมรสของประทานจากสวรรค์ เคยมีส่วนร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 และเคยลิ้มรสถ้อยคำอันดีงามของพระเจ้าและพลังของยุคที่จะมาถึง 6 แต่คนที่ล้มลงแล้วนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะรื้อฟื้นพวกเขาคืนสู่การกลับใจใหม่อีกครั้ง นี่เป็นเพราะพวกเขาได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าเพื่อตัวของพวกเขาเองอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายอย่างเปิดเผยต่อทุกคน

7 เพราะแผ่นดินที่ดื่มน้ำฝนที่โปรยลงมา และให้กำเนิดพืชผลย่อมเป็นประโยชน์ต่อคนที่ทำงานบนแผ่นดินนั้น นี่คือแผ่นดินที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า 8 แต่ถ้าแผ่นดินนั้นให้พืชที่มีหนามหรือวัชพืช มันก็ไม่มีค่าอันใด และอยู่ใกล้คำแช่งสาป ในที่สุดมันก็จะถูกเผาทิ้ง

9 พี่น้องที่รักทั้งหลาย ถึงแม้ว่าพวกเราจะพูดในทำนองนี้ แต่พวกเราก็ได้รับการทำให้สำนึกถึงสิ่งที่ดีกว่าเกี่ยวกับพวกท่าน คือสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับความรอด 10 เพราะพระเจ้ามิได้อยุติธรรมที่จะลืมการงานของพวกท่านและความรักที่ท่านสำแดงออกเพื่อพระนามของพระองค์เนื่องจากการที่พวกท่านได้ปรนนิบัติบรรดาผู้เชื่อและยังคงปรนนิบัติพวกเขาอยู่

11 พวกเราปรารถนาอย่างยิ่งที่พวกท่านแต่ละคนจะสำแดงถึงความพากเพียรจนถึงที่สุดเพื่อทำให้ความหวังของท่านแน่นอน 12 ทั้งนี้เพื่อพวกท่านจะไม่กลับกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่เลียนแบบบรรดาคนเหล่านั้นที่โดยความเชื่อและความอดทนทำให้พวกเขาได้รับพระสัญญาเป็นมรดก

13 เพราะเมื่อพระเจ้าทรงทำพันธสัญญาต่ออับราฮัมนั้น พระองค์สาบานโดยอ้างถึงพระองค์เอง เพราะไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่กว่าพระองค์ในการอ้างเพื่อสาบานได้ 14 พระองค์ตรัสว่า "เราจะอวยพรเจ้าอย่างแน่นอน และเราจะเพิ่มพูนอย่างยิ่งใหญ่ให้แก่เจ้า" 15 โดยเหตุนี้เอง อับราฮัมจึงได้รับตามพระสัญญาหลังจากที่เขาได้เพียรรอคอยด้วยความอดทน

16 เพราะมนุษย์นั้นสาบานโดยอ้างถึงใครบางคนที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเขา คำสาบานเป็นคำยืนยันสุดท้ายที่ทำให้การโต้เถียงกันสิ้นสุดลง 17 เมื่อพระเจ้าตัดสินใจที่จะสำแดงให้ชัดเจนมากขึ้นต่อบรรดาผู้รับมรดกตามพระสัญญาของพระองค์ถึงพระประสงค์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์นั้น พระองค์รับรองด้วยคำสาบานของพระองค์เอง 18 ที่พระองค์ทำเช่นนี้ก็เพื่อสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้สองอย่าง คือ พระเจ้าไม่สามารถมุสาได้กับพวกเรา ที่หนีเข้ามาลี้ภัยจะได้มีกำลังใจอย่างเข้มแข็งเพื่อยึดมั่นอย่างเต็มที่ในความเชื่อมั่นที่ได้วางไว้ต่อหน้าพวกเรานี้

19 พวกเรามีความมั่นใจนี้ที่เป็นเหมือนสมอที่ปลอดภัยและเชื่อใจได้สำหรับจิตวิญญาณของพวกเรา เป็นความมั่นใจเพื่อจะเข้าไปยังสถานด้านในหลังผ้าม่านนั้น 20 พระเยซูได้เข้าไปสถานแห่งนั้นแทนพวกเรา พระองค์ทรงเป็นมหาปุโรหิตนิรันดร์ตามแบบเมลคีเซเดค

7

1 คือเมลคีเซเดคผู้นี้ ผู้ที่เป็นกษัตริย์แห่งซาเล็ม ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ที่ได้พบอับราฮัมหลังจากที่กลับมาจากการรบชนะกับกษัตริย์ทั้งหลายและได้อวยพรเขา 2 คือผู้นี้ที่อับราฮัมได้ถวายสิบชักหนึ่งของทุกสิ่งให้กับเขา ชื่อของเขาคือ "เมลคีเซเดค" หมายถึง "กษัตริย์แห่งความชอบธรรม" ตำแหน่งของเขาอีกอย่างคือ "กษัตริย์แห่งซาเล็ม" หมายถึง "กษัตริย์แห่งสันติสุข" 3 เขาคือผู้ที่ไม่มีบิดา ไม่มีมารดา ไม่มีบรรพบุรุษ และไม่มีแม้แต่จุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เขาก็มีความคล้ายคลึงกับพระบุตรของพระเจ้า เพราะเขายังคงเป็นปุโรหิตนิรันดร์

4 ขอจงดูความยิ่งใหญ่ของผู้นี้เถิด แม้แต่อับราฮัมบรรพบุรุษของพวกเรายังได้ถวายสิบชักหนึ่งจากสิ่งทั้งหลายที่เขาได้มาจากการทำสงครามให้แก่ผู้นี้ 5 ในทางหนึ่ง บรรดาบุตรของเลวีผู้รับฐานะเป็นปุโรหิตได้รับคำสั่งจากบทบัญญัติให้รวบรวมสิบลดจากประชาชนคือจากพวกพี่น้องของพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมาจากเชื้อสายทางกายของอับราฮัมด้วยก็ตาม 6 แต่ตรงกันข้ามกับเมลคีเซเดคผู้ที่ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากพวกเขายังรับสิบลดจากอับราฮัมและอวยพรเขาผู้ที่ได้รับพระสัญญานั้น

7 การที่ผู้เล็กน้อยได้รับการอวยพรจากผู้ใหญ่ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ 8 ในกรณีนี้คือมนุษย์ที่ต้องตายที่รับสิบลด แต่ในกรณีเช่นนั้นจึงได้รับการพิสูจน์ยืนยันว่าเขาเป็นผู้มีชีวิตอยู่ 9 และถ้าหากจะพูดไปแล้ว คนเลวีผู้ได้รับสิบลดก็ต้องถวายสิบลดผ่านทางอับราฮัมด้วยเช่นกัน 10 เพราะว่าคนเลวีก็อยู่ในกายของบรรพบุรุษของเขาเมื่อครั้งที่เมลคีเซเดคพบอับราฮัม

11 บัดนี้ถ้าหากความสมบูรณ์พร้อมสามารถเป็นจริงได้โดยผ่านทางระบอบปุโรหิตของคนเลวีแล้ว (เพราะภายใต้สิ่งนี้ทำให้ประชาชนได้รับกฎบัญญัติ) แล้วทำไมจึงจำเป็นต้องมีปุโรหิตอีกคนตามแบบของเมลคีเซเดคที่ไม่ได้ตามแบบของอาโรน? 12 เพราะเมื่อระบอบปุโรหิตได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นกฎบัญญัติก็ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วย

13 สำหรับผู้นี้ที่กำลังได้รับการกล่าวถึงยังมาจากชนเผ่าอื่นซึ่งเป็นชนเผ่าที่ไม่เคยมีใครทำการปรนนิบัติที่แท่นบูชา 14 บัดนี้เป็นที่ชัดเจนว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ทรงถือกำเนิดมาจากเผ่ายูดาห์ เป็นชนเผ่าที่โมเสสไม่เคยกล่าวถึงการเป็นปุโรหิตเลย

15 สิ่งที่พวกเรากล่าวนั้นยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อปุโรหิตอีกคนหนึ่งเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันกับเมลคีเซเดค 16 จึงไม่ใช่ตามพื้นฐานของกฎบัญญัติที่เชื้อสายทางเนื้อหนังจะกลายมาเป็นปุโรหิต แต่เป็นไปตามพื้นฐานอานุภาพของชีวิตที่ไม่สามารถถูกทำลายลงได้ 17 เพราะพระคัมภีร์เป็นพยานถึงพระองค์ว่า "เจ้าเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์ตามแบบของเมลคีเซเดค"

18 เพราะได้มีการยกเลิกคำสั่งก่อนหน้านี้เนื่องจากมันอ่อนแอและไม่เกิดประโยชน์ 19 (เพราะกฎบัญญัติไม่ได้ทำให้สิ่งใดสมบูรณ์พร้อม) แต่มีคำแนะนำถึงความหวังที่ดีกว่า โดยผ่านการที่พวกเราเข้าหาพระเจ้า

20 และสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากการให้คำสาบาน คนเหล่านั้นที่เป็นปุโรหิตที่มิได้ให้คำสาบานใดๆ 21 แต่พระองค์ได้มาเป็นปุโรหิตเมื่อพระเจ้าตรัสถึงพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าสาบานและพระองค์จะไม่เปลี่ยนพระทัย นั่นคือ 'เจ้าเป็นปุโรหิตนิจนิรันดร์ของเรา"'

22 โดยสิ่งนี้พระเยซูจึงได้รับการรับรองถึงพันธสัญญาที่ดีกว่า 23 ก่อนหน้านี้มีหลายคนที่ขึ้นมาเป็นปุโรหิต แต่เนื่องจากความตายได้ขัดขวางทำให้พวกเขาไม่สามารถเป็นได้ต่อไป 24 แต่เพราะพระเยซูทรงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ พระองค์จึงทรงเป็นปุโรหิตที่ถาวร

25 ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงสามารถช่วยบรรดาคนเหล่านั้นที่เข้าหาพระเจ้าโดยผ่านทางพระองค์ให้รอดได้อย่างสมบูรณ์ เพราะพระองค์มีชีวิตอยู่เพื่ออธิษฐานวิงวอนเพื่อพวกเขาอยู่เสมอ 26 เพราะมหาปุโรหิตเช่นนี้ที่เหมาะสมสำหรับพวกเรา พระองค์ไม่มีบาป ปราศจากตำหนิ บริสุทธิ์ ถูกแยกออกจากคนบาป และได้เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าสวรรค์

27 พระองค์ไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาเป็นประจำทุกวันเหมือนกับพวกมหาปุโรหิตทั้งหลายที่ได้ถวายเพื่อความบาปของตนเองก่อน จากนั้นจึงถวายเพื่อความบาปของประชาชน พระองค์ทำสิ่งนี้เพียงครั้งเดียวพอแล้ว เมื่อพระองค์ได้ถวายพระองค์เอง 28 เพราะกฎบัญญัติแต่งตั้งมหาปุโรหิตที่เป็นมนุษย์ผู้มีความอ่อนแอ แต่ถ้อยคำแห่งการสาบานที่มาภายหลังกฎบัญญัติได้เจิมตั้งพระบุตร ผู้ที่ได้รับการทำให้สมบูรณ์แบบนิรันดร์

8

1 เวลานี้ประเด็นสำคัญที่พวกเรากำลังกล่าวถึงคือ พวกเรามีมหาปุโรหิตผู้หนึ่งที่ประทับอยู่เบื้องขวาของพระบัลลังก์ของพระเจ้าผู้เต็มไปด้วยพระบารมีในสวรรค์สถาน 2 พระองค์ทรงเป็นผู้รับใช้อยู่ในวิสุทธิสถาน เป็นพลับพลาที่แท้จริงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งขึ้นไม่ใช่มนุษย์

3 เพราะมหาปุโรหิตทุกคนได้รับการแต่งตั้งให้ถวายทั้งของถวายและเครื่องบูชา ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีบางสิ่งเพื่อมอบถวาย 4 ในเวลานี้ถ้าหากพระคริสต์อยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ก็จะไม่เป็นปุโรหิต เนื่องจากมีบรรดาคนเหล่านั้นที่ถวายตามกฎบัญญัติแล้ว 5 พวกเขารับใช้ในพลับพลาที่เป็นแบบจำลองหรือเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ เหมือนกับโมเสสที่ได้รับคำเตือนจากพระเจ้าเมื่อเขาสร้างพลับพลา พระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิด เจ้าสร้างทุกสิ่งตามรูปแบบที่เจ้าได้รับการสำแดงบนภูเขา"

6 แต่บัดนี้พระคริสต์ได้รับพันธกิจที่ดีกว่า พระองค์เป็นคนกลางสำหรับพันธสัญญาหนึ่งที่ดีกว่าซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระสัญญาทั้งหลายที่ดีกว่า 7 เพราะถ้าหากพันธสัญญาแรกไม่มีข้อผิดพลาดแล้วก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องมีพันธสัญญาที่สอง

8 เพราะเมื่อพระเจ้าได้พบข้อผิดพลาดเกี่ยวกับประชากรของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า "ดูเถิด วันเหล่านั้นจะมาถึง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับวงศ์วานของอิสราเอลและกับวงศ์วานของยูดาห์ 9 ซึ่งจะไม่เหมือนกับพันธสัญญาที่เราได้ทำกับบรรพบุรุษของพวกเขาในวันนั้นที่เราได้จูงมือพวกเขาและนำพวกเขาออกจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาไม่รักษาพันธสัญญาของเรา เราจึงไม่ใส่ใจพวกเขา พระเจ้าตรัสดังนี้

10 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับวงศ์วานอิสราเอลหลังจากวันเหล่านั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่บทบัญญัติเข้าไปในความคิดจิตใจของพวกเขา และเราจะจารึกพวกมันไว้บนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา

11 พวกเขาจะไม่สอนเพื่อนบ้านและพี่น้องของเขาแต่ละคนอีกต่อไปว่า 'จงรู้จักพระเจ้า' เพราะทุกคนจะรู้จักเราตั้งแต่ผู้ที่เล็กน้อยที่สุดจนถึงผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในพวกเขา 12 เพราะเราจะเมตตาต่อการกระทำอันไม่ชอบธรรมของพวกเขา และเราจะไม่จดจำความบาปของพวกเขาอีกต่อไป"

13 โดยการตรัสว่า "ใหม่" นั้นพระองค์ได้ทำให้พันธสัญญาแรกเก่าไป เพราะสิ่งที่ล้าสมัยและเก่าแล้วจะต้องสูญหาย

9

1 พันธสัญญาแรกนั้นมีข้อบังคับสำหรับการนมัสการและสถานนมัสการบนโลกนี้ 2 เพราะพลับพลาได้ถูกจัดเตรียมไว้ มีห้องแรกที่เอาไว้ตั้งคันประทีบ โต๊ะ และขนมปังเบื้องพระพักตร์ ซึ่งเรียกห้องนั้นว่าวิสุทธิสถาน

3 ด้านหลังผ้าม่านชั้นที่สองมีอีกห้องหนึ่งเรียกว่า อภิวิสุทธิสถาน 4 ในห้องนี้มีแท่นทองคำสำหรับเผาเครื่องหอมและมีหีบพันธสัญญาหุ้มด้วยทองคำ ซึ่งภายในหีบมีภาชนะทองคำบรรจุมานา ไม้เท้าของอาโรนซึ่งผลิตาออกมา และแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญา 5 เหนือหีบพันธสัญญานั้นมีเครูบที่เต็มไปด้วยเกียรติสิริกางปีกปกคลุมที่ลบมนทิลบาป ซึ่งพวกเราไม่สามารถพูดถึงรายละเอียดในเวลานี้ได้

6 หลังจากที่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้รับการจัดเตรียมเอาไว้แล้ว บรรดาปุโรหิตทั้งหลายก็จะเข้าไปยังห้องชั้นนอกเพื่อทำงานปรนนิบัติของพวกเขา 7 แต่มีเพียงมหาปุโรหิตเท่านั้นที่จะเข้าไปในห้องชั้นที่สองเป็นเวลาปีละหนึ่งครั้ง เขาไม่ได้เตรียมโลหิตเพื่อถวายให้กับตัวเองเท่านั้นแต่เพื่อความบาปที่ไม่ตั้งใจของประชากรด้วย

8 พระวิญญาณได้แสดงถึงหนทางเพื่อเข้าสู่วิสุทธิสถานนั้นจะไม่ได้รับการเปิดเผยตราบใดที่พลับพลาหลังแรกยังคงตั้งมั่นอยู่ 9 นี่เป็นภาพสำหรับยุคปัจจุบัน ทั้งของถวายและเครื่องบูชาที่ได้ถวายในตอนนี้นั้นไม่สามารถทำให้จิตสำนึกของผู้นมัสการสมบูรณ์ดีพร้อมได้ 10 ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องเพียงแค่อาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งต่างๆ สำหรับพิธีล้างชำระเท่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นข้อบังคับสำหรับเนื้อหนังที่ถูกจัดตั้งขึ้นจนกว่ากฎเกณฑ์ใหม่จะถูกสร้างขึ้น

11 พระคริสต์เสด็จมาแล้วในฐานะมหาปุโรหิตแห่งสิ่งดีทั้งหลายที่ได้มาถึง พระองค์ได้ก้าวผ่านพลับพลาที่สมบูรณ์แบบมากกว่าและยิ่งใหญ่กว่าซึ่งมิได้ถูกสร้างโดยมือของมนุษย์ และไม่ได้เป็นของโลกที่ถูกสร้างนี้ 12 ไม่ใช่โดยโลหิตของแพะหรือวัวผู้ แต่โดยพระโลหิตของพระองค์เองที่ทำให้พระองค์เข้าไปในอภิวิสุทธิสถานซึ่งพระองค์ทรงกระทำเพียงครั้งเดียวพอและสิ่งนี้ทำให้ได้มาซึ่งการทรงไถ่นิรันดร์ของพวกเรา

13 เพราะถ้าหากโลหิตของแพะและวัวผู้และเถ้าถ่านจากวัวตัวเมียที่ประพรมลงบนคนเหล่านั้นที่ไม่สะอาดได้นำมาถวายแด่พระเจ้าเพื่อการชำระเนื้อหนังของพวกเขาให้สะอาด 14 แล้วยิ่งกว่านั้นพระโลหิตของพระคริสต์ผู้ซึ่งโดยผ่านทางพระวิญญาณนิรันดร์ที่ได้ถวายพระองค์เองโดยปราศจากตำหนิแด่พระเจ้า จะชำระจิตสำนึกของเราจากการงานแห่งความตายเพื่อรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ได้มากกว่านั้นสักเท่าใด? 15 ด้วยเหตุผลนี้เอง พระองค์จึงเป็นคนกลางสำหรับพันธสัญญาใหม่ และการที่ความตายได้เกิดขึ้นก็เพื่อปลดปล่อยคนเหล่านั้นที่อยู่ภายใต้พันธสัญญาแรกให้เป็นอิสระจากความบาปของพวกเขา บรรดาคนเหล่านั้นที่ได้รับการทรงเรียกก็จะรับพระสัญญาแห่งมรดกนิรันดร์

16 เพราะเมื่อมีพินัยกรรม ความตายของบุคคลนั้นต้องได้รับการพิสูจน์ 17 เพราะพินัยกรรมจะมีผลใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีความตายเกิดขึ้น แต่ถ้าบุคคลที่ทำพินัยกรรมนั้นยังมีชีวิตอยู่ พินัยกรรมก็จะไม่มีผลใช้ได้

18 ดังนั้นจึงไม่ใช่เพียงแค่พันธสัญญาแรกเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยปราศจากโลหิต 19 เพราะเมื่อโมเสสได้ประทานคำบัญชาทุกประการในกฎบัญญัติให้กับประชากรทั้งหมด เขาได้นำเอาโลหิตวัวผู้ เลือดแพะ พร้อมกับน้ำ ขนแกะสีแดง และกิ่งหุสบมาประพรมหนังสือม้วนและประชากร 20 แล้วเขาจึงกล่าวว่า "นี่คือโลหิตแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาเอาไว้สำหรับพวกท่าน"

21 เช่นเดียวกัน เขาใช้โลหิตประพรมพลับพลาและเครื่องใช้ต่างๆ ที่ใช้ในพิธีกรรม 22 ตามกฎบัญญัติแล้ว เกือบทุกสิ่งสะอาดได้โดยโลหิต โดยปราศจากการหลั่งโลหิตก็ไม่มีการให้อภัย

23 ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่แบบจำลองของสิ่งต่างๆ ในสวรรค์สมควรได้รับการชำระให้สะอาดด้วยเครื่องสัตวบูชาเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นของสวรรค์เองนั้นต้องได้รับการชำระให้สะอาดโดยเครื่องบูชาที่ดีกว่า 24 เพราะพระคริสต์ไม่ได้เข้าไปในอภิวิสุทธิสถานที่ถูกสร้างด้วยมือของมนุษย์ซึ่งเป็นเพียงแบบจำลองของสิ่งที่แท้จริง แต่พระองค์ได้เข้าสู่สวรรค์โดยตรงซึ่งปรากฎต่อพระพักตร์พระเจ้าเพื่อพวกเราเวลานี้

25 พระองค์ไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อถวายพระองค์หลายครั้งเหมือนกับที่มหาปุโรหิตกระทำคือเข้าไปในอภิวิสุทธิสถานพร้อมกับโลหิตของผู้อื่นทุกๆ ปี 26 เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานหลายครั้งนับจากวางรากสร้างโลก แต่บัดนี้พระองค์ได้ทรงปรากฎในปลายยุคเพื่อกำจัดบาปโดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียว

27 มนุษย์ทุกคนถูกกำหนดให้ตายเพียงครั้งเดียวและหลังจากนั้นก็เข้าสู่การพิพากษา 28 เช่นเดียวกัน พระคริสต์ก็ถวายพระองค์เองเพียงหนึ่งครั้งเพื่อกำจัดบาปของคนมากมาย และจะมาปรากฎเป็นครั้งที่สองไม่ใช่เพื่อจัดการกับความบาป แต่เพื่อความรอดของคนเหล่านั้นที่กำลังอดทนรอคอยพระองค์อยู่

10

1 เพราะกฎบัญญัตินั้นเป็นเพียงเงาของบรรดาสิ่งดีที่จะมาถึง ไม่ใช่ตัวจริงของสิ่งเหล่านั้น บรรดาคนที่มาเข้าเฝ้าพระเจ้าไม่สามารถได้รับการทำให้สมบูรณ์แบบได้โดยเครื่องบูชาที่พวกปุโรหิตนำมาถวายทุกปี 2 เพราะไม่เช่นนั้น ก็คงจะไม่มีการถวายบรรดาเครื่องบูชาต่อไปมิใช่หรือ? เพราะถ้าหากพวกเขาได้รับการชำระให้สะอาดเพียงครั้งเดียวพอแล้ว ผู้นมัสการก็จะไม่รู้สึกตัวว่าตนเองมีความบาปอีกต่อไป 3 แต่โดยเครื่องบูชาเหล่านั้นจึงทำให้มีการเตือนให้ระลึกถึงความบาปทุกปี 4 เพราะเป็นไปไม่ได้ที่โลหิตของวัวผู้และแพะจะกำจัดความบาปออกไปได้

5 เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกนี้ พระองค์ตรัสว่า "ไม่ใช่เครื่องบูชาหรือของถวายที่พระองค์ปรารถนา แต่คือกายหนึ่งที่พระองค์จัดเตรียมเอาไว้สำหรับข้าพระองค์ 6 พระองค์ไม่ได้พอพระทัยต่อทั้งเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาลบบาป 7 แล้วข้าพระองค์จึงกล่าวว่า 'ดูเถิด ข้าพระองค์อยู่ที่นี่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ดังเช่นที่บันทึกไว้ในหนังสือม้วน'"

8 ครั้งแรกที่พระองค์ตรัสว่า "พระเจ้าไม่ได้ปรารถนาเครื่องบูชา ของถวาย เครื่องเผาบูชา หรือเครื่องบูชาลบบาป พระองค์ไม่ได้พอพระทัยในสิ่งเหล่านั้น" นี่คือเครื่องบูชาที่ถวายตามกฎบัญญัติ 9 แล้วจากนั้นพระองค์จึงตรัสว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่เพื่อทำตามพระทัยของพระองค์" พระองค์ทรงยกเลิกระเบียบปฏิบัติอย่างแรกเพื่อสถาปนาระเบียบปฏิบัติอย่างที่สอง 10 ในระเบียบปฏิบัติครั้งที่สองนั้น พวกเราถูกมอบถวายให้กับพระเจ้าตามน้ำพระทัยของพระองค์ผ่านทางการถวายร่างกายของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวเพื่อทุกคน

11 ปุโรหิตทุกคนต้องยืนเพื่อปรนนิบัติพระเจ้าทุกวัน เขาถวายเครื่องบูชาอย่างเดียวกันทุกวันถึงแม้ว่าเครื่องบูชาเหล่านั้นไม่สามารถกำจัดบาปได้เลยก็ตาม 12 แต่เมื่อพระคริสต์ได้ถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเพื่อลบความบาปชั่วนิรันดร์ พระองค์ประทับนั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 13 พระองค์กำลังรอคอยจนกว่าพวกศัตรูของพระองค์จะถูกกระทำให้เป็นแท่นรองเท้าของพระองค์ 14 เพราะโดยการถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ได้ทำให้บรรดาผู้ที่ถูกมอบถวายให้แก่พระเจ้านั้นสมบูรณ์แบบชั่วนิรันดร์

15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เป็นพยานให้แก่พวกเราด้วย พระองค์ตรัสครั้งแรกว่า 16 "นี่คือพันธสัญญาที่เราจะกระทำกับพวกเขาหลังจากวันเหล่านั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่กฎบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และเราจะจารึกบัญญัติเหล่านั้นไว้ในความคิดจิตใจของพวกเขา

17 เราจะไม่จดจำความบาปและความชั่วช้าของพวกเขาอีกต่อไป" 18 บัดนี้ที่ใดที่มีการให้อภัยสำหรับสิ่งเหล่านี้แล้ว ที่นั่นก็ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องบูชาสำหรับลบบาปอีกต่อไป

19 ด้วยเหตุนี้ พี่น้องทั้งหลาย พวกเราจึงมีความมั่นใจที่จะเข้าไปในอภิวิสุทธิสถานโดยทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ 20 นั่นคือหนทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิตที่พระองค์ได้เปิดให้สำหรับพวกเราโดยผ่านทางผ้าม่านนั้นซึ่งหมายถึงกายที่เป็นเนื้อหนังของพระองค์ 21 เพราะพวกเรามีปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่เหนือนิเวศของพระเจ้า 22 ขอให้พวกเราเข้าเฝ้าด้วยหัวใจจริงด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในความเชื่อ ให้หัวใจของพวกเราได้รับการประพรมให้สะอาดจากจิตสำนึกที่ชั่วร้ายและกายของพวกเราได้รับการล้างชำระด้วยน้ำที่บริสุทธิ์

23 ขอให้พวกเรายืนหยัดอย่างมั่นคงในความคาดหวังที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของพวกเรา ด้วยการไม่หวั่นไหว เพราะพระเจ้าผู้ได้สัญญาไว้แล้วนั้น ทรงเป็นผู้สัตย์ซื่อ 24 ขอให้พวกเราพิจารณาว่าทำอย่างไรจึงจะจูงใจกันและกันให้มีความรักและการกระทำดี 25 อย่าให้พวกเราหยุดการประชุมร่วมกันเหมือนกับที่บางคนได้ทำนั้น แต่จงหนุนใจกันและกันมากขึ้นและมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกท่านมองเห็นว่าวันนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว

26 เพราะเมื่อพวกเราทำบาปด้วยความตั้งใจหลังจากที่พวกเราได้รับความรู้ถึงความจริงแล้ว เครื่องบูชาลบบาปก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป 27 แต่มีเพียงความคาดหวังด้วยความกลัวถึงการพิพากษากับไฟแห่งพระพิโรธที่จะเผาผลาญบรรดาศัตรูของพระเจ้า

28 ใครก็ตามที่ได้ปฏิเสธกฎบัญญัติของโมเสสก็จะต้องตายในเมื่อมีพยานสองสามปากที่เป็นพยานถึงเขา 29 พวกท่านจงคิดดูว่าจะมีการลงโทษที่หนักเพียงใดหรือสำหรับคนที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า สำหรับคนที่ปฏิบัติต่อพระโลหิตแห่งพันธสัญญาราวกับว่าเป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ คือพระโลหิตที่พระองค์ได้มอบถวายแด่พระเจ้า สำหรับคนที่ดูหมิ่นพระวิญญาณแห่งพระคุณนั้น?

30 เพราะพวกเรารู้จักพระองค์ผู้ที่ตรัสว่า "การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะตอบสนองคืน" และอีกครั้งตรัสว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าจะพิพากษาประชากรของพระองค์" 31 การตกอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

32 แต่จงระลึกถึงวันเก่าก่อน ที่พวกท่านได้รับการทำให้รู้ชัดแล้ว ถึงการที่พวกท่านอดทนต่อความลำบากในการทนทุกข์อย่างยิ่งใหญ่ 33 พวกท่านถูกเยาะเย้ยต่อหน้าสาธารณชน ถูกดูหมิ่น และถูกข่มเหง และพวกท่านได้แบ่งปันช่วยเหลือบรรดาคนที่เดินผ่านความทุกข์ยากอย่างเดียวกัน 34 เพราะพวกท่านมีความเมตตาสงสารต่อคนเหล่านั้นที่ถูกกักขัง และพวกท่านยอมรับด้วยความชื่นชมยินดีเมื่อทรัพย์สมบัติของพวกท่านถูกฉกฉวยไป พวกท่านรู้ว่าพวกท่านเองมีทรัพย์สมบัติที่ดีกว่าและเป็นทรัพย์สมบัติอันเป็นนิรันดร์

35 ดังนั้นอย่าละทิ้งความมั่นใจของท่านซึ่งมีรางวัลอันยิ่งใหญ่ 36 เพราะพวกท่านจำเป็นต้องอดทนเพื่อพวกท่านจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาเอาไว้หลังจากที่พวกท่านได้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์แล้ว 37 "เพราะในอีกชั่วขณะหนึ่ง พระองค์ผู้กำลังเสด็จมาจะเสด็จมาอย่างแน่นอนและจะไม่ล่าช้า

38 คนชอบธรรมของเรานั้นดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ ถ้าหากเขาหันกลับ เราจะไม่พอใจเขาเลย" 39 แต่พวกเราไม่ได้เป็นคนเหล่านั้นที่หันกลับไปสู่วิบัติ พวกเราเป็นคนเหล่านั้นที่มีความเชื่อเพื่อรักษาจิตวิญญาณของพวกเราเอาไว้

11

1 บัดนี้ความเชื่อคือความแน่ใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ถูกคาดหวังเอาไว้อย่างเต็มที่ มีความมั่นใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่มองไม่เห็น 2 เพราะสิ่งนี้จึงทำให้บรรดาบรรพบุรุษได้รับการยอมรับในความเชื่อของพวกเขา 3 โดยความเชื่อพวกเราจึงเข้าใจว่าจักรวาลถูกสร้างขึ้นโดยพระดำรัสสั่งของพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงไม่ได้ถูกสร้างออกมาจากสิ่งที่มองเห็น

4 เป็นเพราะความเชื่อที่ทำให้เครื่องบูชาที่อาแบลถวายแด่พระเจ้านั้นดีกว่าคาอิน เพราะสิ่งนี้จึงทำให้เขาได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ชอบธรรม เขาได้รับการยอมรับเช่นนี้ก็เนื่องจากของถวายที่เขาถวายแด่พระเจ้า และเพราะสิ่งนั้นจึงทำให้อาแบลยังคงพูดอยู่แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วก็ตาม

5 เป็นเพราะความเชื่อที่ทำให้เอโนคถูกรับขึ้นไปเพื่อเขาจะไม่เห็นความตาย "เขาไม่ถูกค้นพบ เพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป" เพราะก่อนที่เขาถูกรับขึ้นไป มีพยานหลักฐานว่าเขาเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า 6 บัดนี้โดยปราศจากความเชื่อจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งเมื่อใครเข้ามาหาพระเจ้าจะต้องเชื่อว่าพระองค์ดำรงอยู่และพระองค์เป็นผู้ประทานรางวัลให้กับคนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์

7 โดยความเชื่อจึงทำให้โนอาห์ได้รับข้อความจากพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ยังมองไม่เห็น ด้วยความยำเกรงพระเจ้า เขาจึงสร้างเรือเพื่อช่วยกู้ครอบครัวของเขาให้รอด โดยการทำเช่นนี้ เขาได้กล่าวโทษโลกนี้และเขาได้กลายมาเป็นผู้รับมรดกของความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อ

8 โดยความเชื่อของอับราฮัม จึงเชื่อฟังเมื่อได้รับการทรงเรียก และเขาออกไปยังสถานที่ที่เขาจะได้รับเป็นมรดก เขาออกไปโดยไม่รู้ว่าเขากำลังไปที่ไหน 9 โดยความเชื่อเขาจึงใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งพระสัญญาในฐานะคนต่างชาติ เขาอาศัยอยู่ในเต็นท์ร่วมกันกับอิสอัคและยาโคบผู้ซึ่งร่วมรับมรดกในพระสัญญาเดียวกัน 10 เพราะเขาตั้งตารอคอยนครที่มีรากฐาน เป็นนครที่ได้รับการออกแบบและก่อสร้างโดยพระเจ้า

11 โดยความเชื่อนี้เองที่ทำให้อับราฮัมได้รับพลังเพื่อการปฏิสนธิถึงแม้ซาราห์จะเป็นหมันก็ตาม สิ่งนี้เกิดขึ้นแม้ว่าเขาเองก็ชรามากแล้ว นี่เป็นเพราะพวกเขาถือว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญาให้แก่พวกเขานั้นสัตย์ซื่อ 12 ด้วยเหตุนี้ จากชายคนเดียวที่แม้ว่าใกล้จะสิ้นใจตาย เขาได้ให้กำเนิดคนเหล่านั้นที่มีมากมายดุจดังดวงดาวบนท้องฟ้าและเหมือนกับเม็ดทรายบนชายหาดซึ่งไม่สามารถนับจำนวนได้

13 คนเหล่านี้ได้ตายไปในความเชื่อโดยที่ยังมิได้รับตามพระสัญญา แต่พวกเขามองเห็นและยอมรับสิ่งเหล่านั้นมาแต่ไกล พวกเขายอมรับว่าพวกเขาเป็นคนต่างชาติและพลัดถิ่นบนแผ่นดินโลกนี้ 14 สำหรับคนเหล่านั้นที่กล่าวเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังแสวงหาบ้านที่แท้จริง

15 ถ้าหากพวกเขาคิดถึงบ้านเมืองที่พวกเขาจากมา พวกเขาย่อมมีโอกาสกลับไปได้ 16 แต่เพราะพวกเขาปรารถนาบ้านเมืองที่ดีกว่าคือบ้านเมืองที่อยู่ในสวรรค์ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงไม่ละอายที่พระองค์ถูกเรียกว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขาเนื่องจากพระองค์ได้จัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับพวกเขาแล้ว

17 โดยความเชื่อที่เมื่ออับราฮัมถูกทดสอบเพื่อให้ถวายอิสอัคผู้ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของเขาและเป็นบุตรที่ได้รับตามพระสัญญา 18 คืออับราฮัมผู้นี้ที่ได้รับคำกล่าวว่า "โดยผ่านทางอิสอัค เชื้อสายของเจ้าจะถูกนับ" 19 อับราฮัมถือว่าพระเจ้าสามารถชุบอิสอัคให้ฟื้นขึ้นมาจากความตายได้ กล่าวเปรียบเทียบได้ว่า เขาได้รับอิสอัคกลับคืนมาจากคนที่ตายไปแล้ว

20 เช่นเดียวกัน โดยความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่จะมาถึง อิสอัคจึงอวยพรยาโคบและเอซาว 21 โดยความเชื่อเมื่อยาโคบอวยพรบุตรชายแต่ละคนของโยเซฟขณะที่เขากำลังใกล้สิ้นใจตาย ยาโคบนมัสการในขณะที่เขายันตัวเองบนหัวยอดไม้เท้าของเขา 22 โดยความเชื่อเมื่อโยเซฟใกล้ตาย เขาจึงกล่าวถึงการอพยพออกจากอียิปต์ของลูกหลานอิสราเอล และได้สั่งเอาไว้เกี่ยวกับกระดูกของเขา

23 โดยความเชื่อเมื่อโมเสสเกิดมา เขาจึงถูกพ่อแม่ซ่อนเขาเอาไว้เป็นเวลาสามเดือนเนื่องจากพวกเขามองเห็นว่าโมเสสเป็นเด็กที่น่ารัก พวกเขาไม่กลัวคำสั่งของกษัตริย์ 24 โดยความเชื่อเมื่อโมเสสเติบโตขึ้น เขาได้ปฏิเสธที่จะถูกเรียกว่าเป็นบุตรชายของธิดาของฟาโรห์ 25 แต่เขากลับเลือกที่จะทนทุกข์ร่วมกันกับประชากรของพระเจ้ามากกว่าจะใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินกับความบาปเพียงชั่วคราว 26 เขาถือว่าความเสื่อมเสียจากการติดตามพระคริสต์ก็ยังล้ำค่ากว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายของอียิปต์ เพราะสายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่ที่บำเหน็จรางวัลของเขา

27 โดยความเชื่อ โมเสสจึงได้ละจากอียิปต์ เขาไม่เกรงกลัวต่อความพิโรธของกษัตริย์ เขายืนหยัดอดทนเสมือนกำลังมองเห็นผู้หนึ่งซึ่งไม่ปรากฏให้เห็น 28 โดยความเชื่อ เขาจึงถือรักษาปัสกาและประพรมโลหิต เพื่อผู้พิฆาตบุตรหัวปีจะไม่สามารถแตะต้องบรรดาบุตรหัวปีของชนอิสราเอลได้

29 โดยความเชื่อ พวกเขาจึงเดินผ่านทะเลแดงเหมือนกับอยู่บนผืนดินแห้ง เมื่อพวกอียิปต์ลองเดินไปบ้าง พวกเขากลับถูกทำให้จมน้ำตาย 30 โดยความเชื่อกำแพงเมืองเยรีโคจึงพังทลาย หลังจากที่พวกเขาได้เดินล้อมรอบเป็นเวลาเจ็ดวัน 31 โดยความเชื่อ ราหับหญิงโสเภณีจึงไม่ได้ตายไปพร้อมกันกับพวกที่ไม่เชื่อฟัง เพราะเธอได้ต้อนรับผู้สอดแนมอย่างสันติ

32 จะให้ข้าพเจ้ากล่าวอะไรได้มากกว่านี้หรือ? ข้าพเจ้าไม่มีเวลามากพอที่จะกล่าวถึงกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธา ดาวิด ซามูเอล และถึงพวกผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย 33 โดยผ่านทางความเชื่อ พวกเขาจึงพิชิตราชอาณาจักรต่างๆ กระทำการอย่างยุติธรรม และได้รับตามพระสัญญา พวกเขาปิดปากของบรรดาราชสีห์ 34 พวกเขาดับอำนาจของไฟ รอดพ้นจากคมดาบ ได้รับการรักษาให้หายโรค ได้กลายมาเป็นผู้กล้าในการสงคราม และได้ปราบเหล่ากองทัพของคนต่างชาติให้พ่ายแพ้

35 พวกผู้หญิงได้รับคนของพวกเธอกลับคืนมาโดยการเป็นขึ้นจากความตาย บางคนถูกทรมานและไม่ยอมรับการปลดปล่อย เพื่อพวกเขาจะได้การเป็นขึ้นมาจากความตายซึ่งดีกว่า 36 บางคนถูกทดสอบโดยการเยาะเย้ยและโบยตี ถูกล่ามโซ่และกักขัง 37 พวกเขาถูกหินขว้างตาย พวกเขาถูกเลื่อยเป็นสองท่อน พวกเขาถูกฆ่าตายด้วยดาบ พวกเขานุ่งห่มหนังแกะหนังแพะพเนจรไป พวกเขายากจนข้นแค้น ถูกกดขี่ และถูกกระทำทารุณ 38 โลกนี้ไม่ควรค่าสำหรับคนเช่นพวกเขา พวกเขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดาร อยู่ตามภูเขาตามถ้ำ และขุดหลุมอยู่ในดิน

39 ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงรับรองบรรดาคนเหล่านี้เหตุเพราะความเชื่อของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้รับตามพระสัญญา 40 พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีกว่าสำหรับพวกเรา เพราะถ้าปราศจากพวกเรา พวกเขาจะไม่ได้รับการทำให้สมบูรณ์

12

1 ด้วยเหตุนี้ ในเมื่อพวกเรามีพยานหมู่ใหญ่ที่ล้อมรอบอยู่เช่นนี้แล้ว ก็ขอให้พวกเราทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่และความบาปที่เกาะพวกเราแน่นได้อย่างง่ายดาย ขอให้พวกเราวิ่งแข่งตามที่ถูกกำหนดไว้สำหรับพวกเรานั้นด้วยความอดทน 2 ให้เราจดจ่อที่พระเยซู ผู้เริ่มต้นและทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ เพราะความชื่นชมยินดีที่วางไว้ต่อหน้าพระองค์ พระองค์จึงยอมอดทนต่อกางเขนและการดูหมิ่นอันน่าอับอาย และพระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาที่พระบัลลังก์ของพระเจ้า 3 ดังนั้นขอให้คิดถึงพระองค์ผู้ที่ยอมอดทนต่อการถูกกดขี่ข่มเหงจากพวกคนบาปที่ต่อต้านพระองค์ เพื่อหัวใจของพวกท่านจะไม่อ่อนล้าและยอมแพ้เสียก่อน

4 พวกท่านยังไม่ถึงกับต้องต่อต้านหรือต่อสู้กับความบาปจนเสียโลหิต 5 และพวกท่านได้หลงลืมการหนุนใจที่เป็นคำสั่งสอนแก่พวกท่านในฐานะบุตรว่า "ลูกของข้าพเจ้า อย่าละเลยการอบรมสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าเหนื่อยล้าเมื่อท่านได้รับการว่ากล่าวแก้ไขจากพระองค์" 6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าอบรมสั่งสอนทุกคนที่พระองค์รัก และพระองค์ทำโทษทุกคนที่พระองค์ยอมรับมาเป็นบุตร

7 จงอดทนต่อความทุกข์เสมือนว่านั่นคือการอบรมสั่งสอน พระเจ้าปฏิบัติต่อพวกท่านในฐานะที่พวกท่านเป็นบุตร เพราะมีบุตรคนใดบ้างที่บิดาของเขาจะไม่อบรมสั่งสอนเขา? 8 แต่ถ้าหากพวกท่านไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน โดยที่ทุกคนได้รับ พวกท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมายและไม่ใช่บุตรของพระองค์

9 นอกจากนี้ พวกเรามีบิดาในโลกนี้ที่เป็นผู้อบรมสั่งสอน และพวกเราก็เคารพนับถือพวกเขา แล้วพวกเราจะยิ่งไม่สมควรเชื่อฟังพระบิดาแห่งวิญญาณและทรงพระชนม์อยู่หรือ? 10 เพราะในทางหนึ่ง บิดาทั้งหลายอบรมสั่งสอนพวกเราเพียงชั่วเวลาหนึ่งตามที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะสม แต่ในอีกทางหนึ่ง พระบิดาทรงกระทำเพื่อผลดีต่อชีวิตของเราและเราจะสามารถเข้าส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์ 11 เมื่อเวลาที่มีการอบรมสั่งสอนก็ดูเหมือนไม่น่าพึงพอใจ มีแต่ความเจ็บปวด แต่ภายหลังจะก่อให้เกิดผลแห่งความชอบธรรมที่เต็มไปด้วยสันติสุขสำหรับบรรดาคนที่ได้รับฝึกอบรมนั้น

12 ดังนั้นจงเสริมกำลังมือที่อ่อนล้าและเข่าที่อ่อนแรงของพวกท่าน 13 จงสร้างทางตรงสำหรับย่างเท้าของพวกท่าน เพื่อว่าขาที่กะโผลกกะเผลกนั้นจะไม่เคล็ด แต่จะได้รับการรักษาให้หาย

14 จงตั้งเป้าที่จะอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน และอยู่ในความบริสุทธิ์ เพราะถ้าไม่มีความบริสุทธิ์ก็จะไม่มีใครได้เห็นพระเจ้าเลย 15 จงระมัดระวังเพื่อจะไม่มีคนใดขาดจากพระคุณของพระเจ้า และเพื่อจะไม่มีรากขมขื่นงอกขึ้นมาซึ่งจะสร้างความเดือดร้อน และเพื่อคนมากมายจะไม่ถูกทำลาย 16 จงระมัดระวังอย่าให้มีการทำผิดศีลธรรมทางเพศ หรือมีคนอธรรมเหมือนกับเอซาวที่ขายสิทธิบุตรหัวปีของตนแลกกับอาหารเพียงมื้อเดียว 17 เพราะพวกท่านก็รู้อยู่แล้วว่าหลังจากนั้นเมื่อเขาปรารถนามรดกที่เป็นการอวยพร เขาก็ถูกปฏิเสธ เพราะไม่มีโอกาสให้เขาได้กลับใจแม้ว่าเขาจะแสวงหาโอกาสนั้นด้วยน้ำตาไหลก็ตาม

18 เพราะพวกท่านไม่ได้มายังภูเขาที่แตะต้องได้ ภูเขาที่ลุกเป็นไฟ ในที่มืดมิด หมดหวัง และมีพายุ 19 พวกท่านไม่ได้มายังเสียงแตรกระหึ่ม ไม่ได้มายังเสียงที่กล่าวถ้อยคำต่างๆ ซึ่งพวกผู้ฟังร้องขอว่าอย่ากล่าวถ้อยคำใดๆ แก่พวกเขาอีก 20 เพราะพวกเขาไม่สามารถทนต่อสิ่งที่เป็นคำบัญชาว่า "แม้แต่พวกสัตว์ที่แตะต้องภูเขานั้น ก็จะต้องถูกหินขว้างตาย" 21 สิ่งที่เห็นนี้น่ากลัวยิ่งนักจนโมเสสกล่าวว่า "ข้าพเจ้าหวาดกลัวและตัวสั่น"

22 แต่พวกท่านได้มายังภูเขาศิโยนและนครของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ มายังเยรูซาเล็มในสวรรค์ มายังทูตสวรรค์นับหมื่นๆ ในการเฉลิมฉลอง 23 พวกท่านได้มายังที่ชุมนุมของบุตรหัวปีผู้ที่ถูกนับชื่อในสวรรค์ พวกท่านได้มายังพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาแห่งทั้งปวง และได้มายังบรรดาวิญญาณของบรรดาผู้ชอบธรรมที่ได้รับการทำให้สมบูรณ์แล้ว 24 และพวกท่านได้มาถึงพระเยซู ผู้เป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ และมายังพระโลหิตที่ถูกประพรมซึ่งส่งเสียงดังกว่าโลหิตของอาแบล

25 ดูเถิด พวกท่านอย่าปฏิเสธพระองค์ผู้ที่กำลังตรัสอยู่ เพราะถ้าพวกเขาหนีไม่พ้นเมื่อพวกเขาปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเตือนเขาบนโลกนี้ แล้วพวกเราจะยิ่งหนีไม่พ้นมากกว่าเท่าใดถ้าหากพวกเราหันหนีจากพระองค์ผู้กำลังเตือนเราจากสวรรค์ 26 ครั้งหนึ่งที่เสียงของพระองค์ทำให้แผ่นดินโลกสั่นสะเทือน แต่ในเวลานี้พระองค์ได้สัญญาและตรัสว่า "อีกครั้งหนึ่ง เราจะทำให้สั่นสะเทือนไม่เพียงแค่แผ่นดินโลก แต่ทั้งฟ้าสวรรค์ด้วย"

27 ถ้อยคำเหล่านี้ "อีกครั้งหนึ่ง" หมายถึง การเขย่าเอาสิ่งต่างๆ ที่ถูกทำให้สั่นคลอนได้ออกไป คือ สิ่งต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมา และสิ่งต่างๆ ที่ไม่สามารถถูกทำให้สั่นคลอนได้ก็จะยังคงอยู่ 28 ด้วยเหตุนี้จงรับเอาราชอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งมิอาจถูกทำให้สั่นคลอนได้ ให้พวกเราขอบพระคุณและนมัสการพระเจ้าด้วยความครั่นคร้ามและยำเกรง 29 เพราะพระเจ้าของพวกเราเป็นไฟที่ลุกโชนอยู่

13

1 ขอให้ดำเนินต่อไปในความรักแบบพี่น้อง 2 อย่าลืมให้การต้อนรับคนแปลกหน้า เพราะโดยการทำเช่นนี้ บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว

3 จงระลึกถึงผู้ที่ถูกจองจำเหมือนกับพวกท่านได้ถูกจองจำร่วมกับพวกเขา จงระลึกถึงคนเหล่านั้นที่ถูกกระทำทารุณเหมือนกับว่าร่างกายของพวกท่านก็ถูกทารุณร่วมกับพวกเขาด้วย 4 ให้ทุกคนเคารพให้เกียรติการสมรส ให้เตียงสมรสนั้นบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าจะพิพากษาผู้ที่ทำผิดศีลธรรมทางเพศและผู้ที่ล่วงประเวณี

5 จงให้การประพฤติของพวกท่านเป็นอิสระจากการรักเงินทอง จงพอใจในสิ่งต่างๆ ที่พวกท่านมีอยู่ เพราะพระเจ้าเองได้ตรัสเอาไว้ว่า "เราจะไม่ละทิ้งเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า" 6 ขอให้พวกเรามีความพอใจเพื่อพวกเราจะกล่าวด้วยความกล้าได้ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ประทานความช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้?"

7 จงเคารพบรรดาผู้นำของพวกท่าน คือ ผู้ที่กล่าวพระวจนะของพระเจ้าให้แก่พวกท่าน และจงพิจารณาผลจากการประพฤติของพวกเขา และจงเลียนแบบพวกเขา 8 พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเหมือนเดิมเมื่อวานนี้ วันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์

9 อย่าหลงไปกับคำสอนแปลกๆ ที่มีมากมาย เพราะเป็นสิ่งที่ดีที่หัวใจสมควรได้รับการเสริมกำลังด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยกฎต่างๆ เรื่องอาหาร ซึ่งไม่ได้ช่วยผู้คนเหล่านั้นที่ดำเนินด้วยสิ่งนี้เลย 10 พวกเรามีแท่นบูชาที่บรรดาคนเหล่านั้นที่ปรนนิบัติอยู่ในพลับพลาไม่มีสิทธิ์ที่จะรับประทาน 11 เพราะโลหิตของสัตว์ที่ถูกฆ่าเพื่อล้างบาปนั้นถูกนำเข้าไปในวิสุทธิสถานโดยมหาปุโรหิต ในขณะที่ซากของสัตว์เหล่านั้นก็ถูกเผาภายนอกค่าย

12 ดังนั้นพระเยซูจึงทนทุกข์อยู่ภายนอกประตูนครด้วย เพื่อเป็นการถวายผู้คนโดยผ่านทางพระโลหิตของพระองค์เอง 13 ด้วยเหตุนี้ให้พวกเราไปหาพระองค์ที่ภายนอกค่ายและแบกรับความอับอายของพระองค์ 14 เพราะพวกเราไม่มีนครอันถาวรที่นี่ แต่พวกเรากำลังรอคอยนครหนึ่งที่จะมาถึง

15 โดยผ่านทางพระองค์ จึงขอให้พวกเราถวายเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญแด่พระเจ้าเสมอ คำสรรเสริญเป็นผลของริมฝีปากซึ่งยอมรับพระนามของพระองค์ 16 อย่าให้พวกเราหลงลืมการทำความดีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาเช่นนี้ที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยอย่างมาก 17 จงเชื่อฟังและยอมอยู่ภายใต้บรรดาผู้นำของพวกท่าน เพราะพวกเขาเฝ้าดูเหนือจิตวิญญาณของพวกท่านเสมือนผู้ที่ต้องกล่าวรายงาน จงเชื่อฟังเพื่อว่าบรรดาผู้นำของพวกท่านจะทำสิ่งนี้ด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ด้วยการคร่ำครวญ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์อันใดต่อพวกท่านเลย

18 ขอจงอธิษฐานเผื่อพวกเรา เพราะพวกเรามั่นใจว่าพวกเรามีจิตสำนึกที่บริสุทธิ์และพวกเราปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในทุกสิ่ง 19 ข้าพเจ้าหนุนใจให้พวกท่านทำสิ่งนี้มากขึ้น เพื่อข้าพเจ้าจะกลับมาหาพวกท่านเร็วๆ นี้

20 บัดนี้ ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข ผู้ทรงนำให้พระผู้เลี้ยงแกะที่ยิ่งใหญ่ คือ องค์พระเยซูเจ้าของพวกเรา ฟื้นขึ้นมาจากความตาย โดยทางพระโลหิตแห่งพันธสัญญานิรันดร์ 21 ทรงโปรดให้พวกท่านสมบูรณ์พร้อมด้วยสิ่งดีทุกอย่างเพื่อกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ขอพระองค์กระทำการอยู่ภายในพวกเราตามชอบพระทัย โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งได้รับเกียรติสิริชั่วนิรันดร์ อาเมน

22 บัดนี้พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหนุนใจให้พวกท่านอดทนรับถ้อยคำแห่งการหนุนใจที่ข้าพเจ้าได้เขียนมาถึงท่านสั้นๆ นี้ 23 ขอให้พวกท่านรู้เถิดว่าน้องชายของพวกเราคือ ทิโมธี ได้รับการปล่อยตัวแล้ว และเมื่อเขามาถึงเร็วๆ นี้ ข้าพเจ้าก็จะไปพบพวกท่านพร้อมกับเขา

24 ฝากความคิดถึงไปยังบรรดาผู้นำของพวกท่านและบรรดาผู้เชื่อทั้งหมด พวกพี่น้องจากอิตาลีก็ฝากความคิดถึงมายังพวกท่านด้วย 25 ขอพระคุณสถิตอยู่กับพวกท่านทุกคน